สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวว่า โครงการรถคันแรกกำลังสร้างปัญหาอย่างหนักให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งมือหนึ่งและมือสอง ไม่ว่าจะเป็นยอดขายรถป้ายแดงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและดีมานด์รถมือสองที่หดตัวอย่างหนัก
ธนาคารโลกประเมินว่า โครงการคืนภาษีรถคันแรกทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 77,000 ล้านบาท โครงการนี้มีเป้าหมายกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์หลังประสบปัญหาน้ำท่วมในปี 2011 แต่การใช้มาตรการภาษีส่งผลให้โครงสร้างตลาดผิดเพี้ยนไป ทำให้เกิดความต้องการซื้อรถที่พุ่งสูงอย่างมากก่อนที่จะดิ่งลงอย่างรุนแรง ซึ่งรอยเตอร์ใช้คำว่า "พังทลาย" เมื่อสิ้นสุดโครงการเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ผลวิจัยของ IHS Global Automotive ระบุว่า ราว 10% ของลูกค้าชาวไทยจำนวน 1.2 ล้านคนที่จับจองรถในโครงการรถคันแรกนั้นได้เปลี่ยนใจไม่รับรถหรือยกเลิกใบจอง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการไม่สามารถจ่ายค่าผ่อนงวดรายเดือนได้
ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งครอบครองส่วนแบ่งตลาดรถไทย 80% มียอดขายปรับตัวลดลงถึง 30% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้
สำหรับรถที่ถูกยึดจากลูกค้าจะถูกจำหน่ายเป็นรถมือสองต่อไป แต่ความต้องการซื้อรถมือสองในตลาดที่ลดลงทำให้ราคจาำหน่ายปรับตัวลดลงตามไปด้วย เต็นท์รถมือสองหลายแห่งต้องปิดกิจการ
รอยเตอร์ระบุด้วยว่า ยอดหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มียอดหนี้สูงสุดในเอเชีย
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ชี้ว่าโครงการนี้มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้าน โดยฝ่ายสนับสนุนระบุว่าโครงการนี้ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยบอกว่าโครงการนี้ไม่เพียงทำให้โครงสร้างตลาดเสียหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตลาดรถมือสองและใช้งบประมาณสิ้นเปลืองเกินไป
ความคิดเห็น