สำหรับช่วง Motor Drive ในสัปดาห์นี้ ถือเป็นภาคต่อของ Veloster ยานสปอร์ตหน้าหล่อดีไซด์เก๋ได๋ แบบ 2+1 ประตู ซึ่งตอนที่แล้วเราได้ร่วมผจญภัยไปด้วยกันถึงประเทศกัมพูชา โดยในภาคนี้พระเอกของเราคือเจ้า Veloster 1.6 MPI รุ่น NA ที่สวมบท Playboy ออกท่องราตรีกันอีกครั้งที่เมืองไทย ซึ่งนอกจากหน้าตาที่กระชากใจสาวแล้ว Veloster คันนี้จะมีสมรรถนะร้อนแรง หรือจะออกแนวหล่อไม่เสร็จกันแน่ ถ้าพร้อมแล้วเราไปชมกันเลย
Veloster's Time
Hyundai Veloster เปิดตัวครั้งแรกในเวอร์ชั่น Concept รหัส HND-3 ที่งาน Soul Motor Show ตั้งแต่ ปี 2007 และเปิดตัว Production Car ซึ่งพร้อมจำหน่ายในตลาดโลก เมื่อปี 2011 ก่อนที่ ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จะตัดสินใจนำเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา และเปิดตัว “Hyundai Veloster” อย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา บนภาพลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยการดีไซน์ตัวถังแบบ Hatchback Coupe สไตล์ 2+1 ประตู ภายใต้แนวคิด Fluidic Sculpture Design ที่ต้องการรวมความเป็นสปอร์ตเข้ากับความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นที่มาของชื่อ Veloster ซึ่งมาจากคำว่า Velocity + Roadster
โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น คือตัวท๊อป Veloster Sport Turbo ค่าตัว 1,739,000 และ รุ่น 1.6 MPI ซึ่งเป็นตัวไม่มีเทอร์โบ ราคา 1,299,000 บาท ซึ่งนอกจากความแรงที่แตกต่างกันแล้ว ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังมีออฟชั่นและดีไซน์การตกแต่งที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่า จากราคาที่ห่างกันอยู่ 4 แสนกว่าบาทได้อยู่พอสมควร ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายใน รวมถึงขุมพลังใต้ฝากระโปรงและเทคโนโลยียิบย่อยที่มองไม่เห็นอีกหลายรายการ ซึ่งเดี๋ยวเรามาไล่ดูกันว่าเจ้า Veloster รุ่นสแตนดาร์ดคันนี้ จะคุ้มค่าในราคาประหยัดมากน้อยแค่ไหน
Design & Interior
โดยเริ่มต้นที่ดีไซน์ภายนอกนั้น คงต้องยอมรับว่า ชม.นี้ไม่มีคู่แข่งหน้าไหนเด่นเกินหน้า Veloster อีกแล้ว งานนี้จึงต้องเทียบความหล่อกันเองกับตัว Turbo บนมิติตัวถังที่ยาว 4,220 มม. กว้าง 1,790 มม. และส่วนสูงสไตล์สปอร์ตที่ 1,399 มม. ซึ่งมองเผินๆแล้วมันไม่ได้หล่อน้อยกว่าจนรู้สึกได้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้าที่เน้นเส้นสายที่มีเหลี่ยมมุมมากกว่า เส้นโค้งในรุ่น Turbo ซึ่งก็เพื่อให้รับกับกระจังหน้าที่มีแนวกันชนคาดกลางและไฟตัดหมอกทรงเหลี่ยม ที่ดูหรูหรากว่าด้วยกรอบโครเมี่ยมที่ทำให้โลโก้ Hyundai ดูเด่นขึ้น ต่างกับตัว Turbo ที่มามาดดุ ด้วยช่องดักลมขนาดใหญ่ชิ้นเดียวและไฟตัดหมอกทรงกลม เช่นเดียวกับไฟหน้าเฉียบดีไซน์เล่นระดับกับเส้นสายของกันชนทำให้ดูมีมิติมากขึ้น และดูเท่เข้าไปอีกด้วยการแบ่งช่องภายในโคมด้วยเส้นสายที่พริ้วไหวของวัสดุโครเมี่ยมพร้อมไฟ LED Day Time ดีไซน์เก๋ที่ขอบด้านล่าง ส่วนระบบส่องสว่างนั้นเป็นแบบฮาโลเจน ไม่ใช่ Projector Len เหมือนตัว Turbo ฝากระโปรงยังคงดีไซน์เล่นระดับแบบ 2 Plane พร้อมช่องดักลมอีก 2 ช่องเพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ตขึ้นมาอีกนิด
ส่วนด้านข้างนอกจากรูปทรงที่มาในแนวสปอร์ตคูเป้ผสมแฮทซ์แบ็คกับเส้นหลังคาที่ลาดต่ำรวมถึงเส้นสายที่ดูพร้ิวไหวแล้ว จุดขายหลักคือประตูผู้โดยสารตอนหลังซึ่งมีแค่ฝั่งซ้ายมาให้เพียงบานเดียว ส่วนด้านขวาจะถูกปิดทึบไสตล์เดียวกับสปอร์ต Coupe ถ้าไม่ได้สังเกตุอาจไม่รู้ว่ามันมีประตูบานหลังฝั่งเดียว ซึ่งแม้แต่ผู้ทดสอบเองยังเผลอจะเปิดประตูหลังเพื่อหยิบของอยู่บ่อยๆ และนี่ถือเป็นความโดดเด่นที่ทำให้ Veloster ดูเท่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งอาจลดทอนประโยชน์ใช้สอยไปบ้าง เพื่อแลกกับความเท่ระดับนี้ถือว่าคุ้ม ส่วนล้ออัลลอยนั้นคันนี้จัดไซด์ 17 นิ้ว พร้อมยางซิ่งขนาด 215/45R17 มาให้ ต่างจากตัว Turbo ที่เป็นขนาด 18 นิ้ว ลาย 5 ก้านแบบเดียวกัน แต่มีการปัดเงาเป็นสีโครเมี่ยมให้ดูโหดขึ้นอีกนิด และที่สำคัญคือคันนี้ไม่มีหลังคาเท่ๆ แบบ Panoramic Glass Roof ไว้เปิดรับลมโชว์เหนือให้สมกับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม ก่อนจะปิดท้ายความดุดันด้วยชุด Diffuser และปลายท่อคู่ทรงเหลี่ยม ตรงกลางกันชนหลัง ส่วนตัว Turbo ปลายท่อจะเป็นทรงกลมเพื่อให้เข้ากับตัดหมอกหลังรูปทรงเดียวกัน
เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารที่ให้บรรยากาศในแบบสปอร์ต คล้ายกับตัว Elantra ซึ่งเลือกใช้โทนสีดำเป็นหลักตัดกับชิ้นส่วนสีเงินด้านแบบ Silver Accent กับสีดำเงา Glossy Black และแสงไฟสีฟ้าจากมาตรวัดเรืองแสง Super Vision ที่สว่างชัดและทำให้ห้องโดยสารของ Veloster ดูหรูหราและทันสมัยตามสไตล์ Hyundai โดยมีส่วนที่แตกต่างจากรุ่นเทอร์โบอยู่บ้าง ตั้งแต่ เบาะนั่งแบบปรับมือที่หุ้มด้วยผ้าสีดำ Tricot พร้อมปักคำว่า Veloster ไว้ที่เบาะคู่หน้า ส่วนตัว Turbo จะเป็นเบาะหนังสีดำแบบปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง รวมถึงพวงมาลัยแบบ Multi-Fuction ที่ใช้ควบคุมได้แบบครบในตัวท็อป แต่ในรุ่น NA จะตัด Cruise Control, Paddle Shift และ Bluetooth ออกไป
ฟังชั่น Entertainment นั้นจัดมาให้มาตรฐานเดียวกันคือ วิทยุ / CD / MP3 แบบ 1 แผ่น หน้าจอ Touch-Screen ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน พร้อมพอร์ท AUX , USB และฟังชั่น Bluetooth ขาดเพียงระบบสั่งงานด้วยเสียง หรือ Voice Commnad ซึ่งมีแค่ในตัวท็อปเท่านั้น
ก่อนจะจบด้วยลูกเล่นที่เป็นไฮไลท์ อย่างภาพกราฟิกแสดงสถานะในโหมดปรับอากาศ รวมถึงฟังชั่นเก๋ๆในแบบ Eco Game ในโหมด Blue Max ให้ขับแบบประหยัดเก็บแต้มแก้เหงา ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ Veloster เป็นรถที่ขับเพลินในบรรยากาศที่ทันสมัยพร้อมฟังชั่นที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้ตอนรถติดได้เป็นอย่างดี
ส่วนทัศนวิสัยมีติแค่ตรงกระจกบานหลังแบบ 2 ชิ้น ที่อาจมองยากสักหน่อยในช่วงแรก ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะชิน ส่วนกระจกบานหน้าใหญ่โตชัดเจหายห่วง สุดท้ายคือความสะดวกสบายของห้องโดยสารสไตล์สปอร์ตสปอร์ต แน่นอนว่าด้านหลังอาจนั่งยากไปสักนิดแต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด ด้วยตำแหน่งเบาะที่วางต่ำจึงทำให้มีช่วง Head-Room ที่กว้างกว่ารถตัวถังสไตล์นี้อย่าง CR-Z เป็นต้น ส่วนด้านหน้านั่งสบายและหยิบจับอุปกรณ์ต่างๆได้สะดวกจากตำแหน่งเบาะที่ครอบคลุมการใช้งานได้อย่างลงตัว ถึงตรงนี้ Veloster ตัวสแตนดาร์ดคันนี้ ถือว่ายังดูคุ้มค่าอยู่เมื่อเทียบราคากับออฟชั่นที่ไม่จำเป็นที่ถูกตัดออกไป
Engine & Performance
ทีนี้มาดูในส่วนของขุมพลังกันบ้าง ซึ่งคันนี้แน่นอนว่าไม่ใช่รุ่น Turbo ซึ่งต้องทำใจว่ามันคงไม่จี๊ดจ๊าดเหมือนกับตัวท็อปเครื่องที่มีตัวช่วยอยู่แล้ว โดยในรุ่นนี้จะใช้ขุมพลังเบนซิน Gamma 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC MPI รหัส G4FCความจุ 1,591 ซีซี เครื่องเดียวกับ Elantra ตัว 1.6 ในตลาดต่างแดนและเป็นหนึ่งในลายของเครื่องยนต์ทั้งหมดอีก 4 บล็อก ที่ประจำการอยู่ใน Veloster ทั่วโลก ซึ่งแบ่งเป็นเครื่อง NA และ Turbo อย่างละครึ่ง โดยเครื่องที่แรงที่สุดคือตัวเทอร์โบสเป็คอเมริกาที่มีม้ามาให้ถึง 204 ตัว ส่วนตัวเทอร์โบบ้านเราแค่ 187 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์ของคันนี้คือบล็อกเล็กสุด ที่ให้พละกำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 6,300 รอบ/นาที พร้อมแรงบิด 157 นิวตันเมตร ที่ 4,850 รอบ/นาที และถ่ายทอดกำลังทั้งหมดสู่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์ออโต้ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift
โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้นอกจากจะไม่มีระบบอัดอากาศมาคอยช่วยแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีต่างๆถือว่าด้อยกว่าตัวท็อปอยู่เล็กน้อย มีเพียงแค่วาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดีและไอเสียแบบ D-CVVT มาให้เหมือนกัน ส่วนหัวฉีดนั้นยังใช้แบบ Multi-Point หรือ MPI ไม่ใช่แบบฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้แบบ Gasoline Direct-Injection หรือ GDI เหมือนกับรุ่น Turbo ซึ่งทั้ง 2 รุ่น นั้นไม่มีท่อร่วมไอดีแปรผันมาให้เหมือนกัน ประกอบกับอัตราส่วนกำลังอัดที่น้อยกว่าของคันนี้ จึงทำให้มันมีพละกำลังที่แตกต่างกันกว่า 50 แรงม้า กับแรงบิดที่หายไปเป็นร้อย ซึ่งนี่เองน่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ราคาทั้ง 2 รุ่นนั้นแตกต่างกันอยูพอสมควร
ซึ่งสมรรถนะที่ได้จากการทดสอบก็เป็นไปตามคาด เครื่องยนต์เล็กที่แบกน้ำหนักมาก ออกอาการตื้อและตอบสนองได้ค่อนข้างช้าตั้งแต่ออกตัว อารมณ์เดียวกับตอนขับ Ford Focus 1.6 หรือรถทั่วๆไปในรุ่นประหยัดที่ไม่เน้นอัตราเร่งมากนัก ทำให้ Veloster คันนี้ต้องใช้รอบเครื่องค่อนข้างสูงเพื่อเค้นสมรรถนะออกมา ดีที่เกียร์ 6 สปีดลูกนี้ยังช่วยให้ขับได้ Smooth และต่อเนื่องในช่วงเปลี่ยนอัตราทด จนทำให้ลืมอาการตื้อของเครื่องยนต์ไปได้บ้าง โดยที่ 100 กม./ชม. รอบจะอยู่ที่ 2,250 รอบ/นาที ก่อนขยับเป็น 2,700 รอบ ที่ความเร็ว 120 กม./ชม. และยิ่งดีดสูงขึ้นไปอีกตอนวิ่งที่ 140 กม./ชม. ด้วยรอบเครื่อง 3,700 รอบ และทำสถิติ 0 - 100 กม./ชม. ได้ด้วยเวลา 12.2 วินาที ก่อนจะจัดการกดคันเร่งกันยาวๆไปจนสุดแทร็กทางตรงย่านพระราม 5 ซึ่งได้ผลออกมาที่ 180 กม./ชม.
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองนั้น จากการขับทดสอบที่ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 45 กม./ชม. บนระยะทางกว่า 120 กม. นั้น Veloster บริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 12.6 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดูดีกว่าที่คิด เรียกว่างานนี้ถึงสมรรถนะจะซิ่งได้ไม่มันนัก แต่มันก็ไม่ซดจนรับไม่ได้สำหรับ Veloster รุ่นไม่มีเทอร์โบคันนี้ ซึ่งถ้าใครรู้ว่าตัวเองเป็นขาซิ่ง คงต้องเก็บตังค์เพิ่ม..แล้วขยับไปเล่นตัว Turbo รับลองสนุกแน่
Handling & Ride & Brake
จากนั้นมาต่อกันที่ระบบกันสะเทือนที่ Hyundai ยังคงเลือกใช้แบบคานบิด หรือ ทอร์ชั่นที่ด้านหลัง โดยไม่แคร์คู่แข่งซึ่งใช้ช่วงล่างแบบอิสระ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งด้านหน้านั้นใช้แบบมาตรฐานคืออิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ที่ปรับเซ็ทมาค่อนข้างเฟิร์ม และช่วยให้ Veloster มีบุคลิกในการขับขี่ที่เร้าใจในแบบสปอร์ต ที่รู้สึกได้ถึงช่วงรีบราวน์ที่ค่อนข้างน้อย กับอาการกระด้างนิดให้พอได้ฟิวรถซิ่ง พร้อมการบังคับควบคุมผ่านพวงมาลัยแบบไฟฟ้า (MDPS) ซึ่งแปรผันน้ำหนักได้เบามือขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำและให้ความคล่องตัวที่เกินคาดด้วยวงเลี้ยวที่แคบเพียง 5.2 เมตร พร้อมการปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้น้ำหนักหน่วงกำลังพอดีไม่วอกแวกขณะที่ขับด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 160 กม./ชม. พร้อมจังหวะการหักเลี้ยวที่คมและแม่นยำในสไตล์รถสปอร์ต แต่ถ้าเข้าแรงๆก็อาจมี Under-Steer หรือหน้าดื้อให้ได้ดึงพวงมาลัยแก้อยู่บ้างในระดับที่ไม่น่ากลัวและจัดอยู่ในขั้น Sport Handling
สุดท้ายคือออฟชั่นในส่วนของความปลอดภัย ที่ Veloster รุ่น Standard นั้นมีมาให้เพียงพอสำหรับขับใช้งานทั่วไปได้ ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่ทำจากเหล็กพิเศษ พร้อมถุงลมนิรภัยที่คู่หน้า ตามด้วยระบบเบรกที่มั่นใจได้ แบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อมจานเบรกหน้าขนาด 280 มม. และคู่หลังไซด์ 262 มม. พร้อมระบบ ABS และ BA หรือระบบเสริมแรงเบรก โดยตัดออฟชั่นของระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP , ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS และระบบจัดการเสถียรภาพรวม หรือ VSM รวมถึงระบบ HAC หรือระบบช่วยออกตันบนทางชัน ออกไป ซึ่งทั้ง 4 รายการหลังนี้จะมีให้แต่ใน รุ่น Turbo เท่านั้น
Tester Verdict
สรุปแล้ว..ถึงแม้ว่า Veloster คันนี้จะเป็นรุ่นประหยัดแบบ Low Cost ที่ผู้ซื้อจะต้องทำใจว่ามันคงไม่ "เยอะ" เหมือนตัว Turbo แน่นอน แต่สิ่งที่คุณจะได้จากคันนี้ชัวร์ๆ ก็คือหน้าตาที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เรียกว่าขับไปไหนก็มีแต่คนมอง จนทำให้คุณแอบปลื้ม ซะจนลืมสิ่งที่ขาดหายไปจากตัวเทอร์โบ และขับมันโชว์หล่อต่อไป แบบเข้าใจได้ถึงความสมเหตุสมผลของค่าตัวเพียง "ล้านต้น" ที่คุณได้รับจาก Hyundai Veloster คันนี้อย่างสบายใจ หรือไม่ก็กัดฟันเก็บตังค์ต่อไปเพื่อจะข้ามไปเล่นใน รุ่น Turbo แทน ก็เท่านั้น..เป็นอันจบแบบ Happy
Specification : Hyundai Veloster 1.6 MPI
รายละเอียดการผลิต
รุ่นปี: 2012
ประเทศผู้ผลิต: Korea
ผู้จำหน่ายในประเทศไทย: บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ประเภทรถยนต์: Sport 2+1
ราคา (ล้านบาท) 1.299
Dimension: (มม.)
Length: 4,220
Width: 1,790
Height: 1,399
Wheelbase: 2,650
Front/Rear track: 1,561/1,574
Weight 1,256
Engine
รุ่น Gamma 1.6 MPI
รหัส G4FG
แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว D-CVT
ความจุ (ซีซี) 1,591
อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 :1
ความกว้างกระบอกสูบxช่วงชัก (มม.) 77x85.4
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง MPI
กำลังสูงสุด(ps.@rpm.) 130@6,300
แรงบิดสูงสุด(Nm.@rpm.) 157@4,850
เชื้อเพลิง เบนซิน 91,95 แก๊สโซฮอล์ 95 (E10)
ความจุถังน้ำมัน(ลิตร) 50
Drivetrain
ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
เกียร์อัตโนมัติ 6 Speed Step-Gate พร้อมโหมด Sequential Shift
คลัทซ์ Torque Convertor
Steering
แบบ แร็คแอนด์พิเนียนพร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (MDPS : Motor Driven Power Steering System)
วงเลี้ยวแคบสุด (ม.) 5.2
Suspension
หน้า อิสระแม็กเฟอร์สันสปริงตรัท
หลัง ทอร์ชั่นบีม CTBA (Couple Torsion Beam Axle)
Brake
หน้า ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน/จานเบรกขนาด 280 มม.
หลัง ดิสก์เบรก /จานเบรกขนาด 262 มม.
พร้อมระบบ ABS/BA/EBD/ESP/TSC
Wheel+Tire
ล้ออัลลอย 17x7.0J
ยาง 215/45R17
Test Result : Hyundai Veloster 1.6 MPI
รอบเครื่องยนต์ที่ความเร็วต่างๆที่เกียร์ 6
km./h rpm.
80 1,800
100 2,250
120 2,750
140 3,500
รอบเครื่องยนต์สูงสุด (Stop) 6,500
Acceleration (km./h) sec.
0-60 3.9
0-80 6.1
0-100 9.7
0-120 14.3
0-140 20.2
0-160 28.9
Quarter Mile 0-402 m. 16.4
Top Speed 180+
Consumption (km./l.)
AVR. 12.6
ขอบคุณ
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เรื่อง : อาณัติ สุทธิบุตร
ความคิดเห็น