เมื่อเดือนที่แล้ว ทาง Autospinn ได้นำเสนอข่าว New Hilux Invincible ตัวท๊อปไลน์ ที่มีการปรับปรุงเสริมในด้านของออปชั่น ทั้งตกแต่งภายนอก และลูกเล่นภายใน แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะสำหรับตลาดยุโรปเท่านั้น จนมาถึงช่วงสองสัปดาห์ก่อน Toyota Motors ประเทศไทย ได้มีการเปิดเผยข้อมูลของ Toyota Hilux Vigo โฉมปรับปรุงใหม่ล่าสุดในบ้านเรา ซึ่งเป็นโฉมปรับเล็ก ในด้านของออปชั่นภายในเพิ่มเติม ก่อนที่จะตามมาด้วยตัว Toyota Fortuner อีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทางเราได้รับเชิญให้ไปร่วมทดสอบ Toyota Hilux Vigo ใหม่ล่าสุดนี้ โดยไปลุยไกลกันถึงเชียงใหม่ ขับเล่นโค้งบนดอยอินทนนท์ ขึ้นสู่จุดสูงสุด ชื่นชมอากาศ ระดับ 20 องศาเซลเซียส
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ ขอขอบคุณ Toyota Motors ประเทศไทย สำหรับการเชิญไปร่วมทดสอบ Groupt Test ในคราวนี้ โดยทางเราได้ขับรถหมายเลข 12 Toyota Hilux Vigo Smart Cab Prerunner 2.5G A/T (Navi) สีบรอนซ์ทอง Silky Gold Mica Metallic ราคา 8.19 แสนบาท
ภายนอก นั้นยังคงเหมือนเดิม กับตัว Vigo Champ โฉมเมื่อปีก่อนทุกประการ โดยในรุ่น Prerunner Smartcab คันนี้ มีออปชั่นพื้นฐาน ครบไม่ว่าจะเป็น ไฟตัดหมอก, กันชนท้ายโครมเมียม, กาบบันได เพื่อสะดวกต่อการขึ้น-ลง, กระจกมองข้างโครเมียม พร้อมไฟเลี้ยวในตัว ล้ออัลลอย ขอบ 16” หุ้มยางขนาดใหญ่ 265/70/16 เอกลักษณ์ของ Hilux Vigo ทุกรุ่น นั่นคือ สูกู๊ปดักลม ติดอยู่บนฝากระโปรงขนาดใหญ่ ช่วยในการระบายความร้อน สู่ห้องเครื่องได้ดี และจุดที่สำคัญที่ได้เพิ่มเติมเข้ามานั่นคือ มีการติดตั้งกล้องมองหลัง บริเวณ ฝาปิดกระบะท้าย
ภายใน การตกแต่งโทนสีได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม คือ ตกแต่งสีดำล้วน และตกแต่งแบบ 2-Tone จุดปรับปรุงเพิ่มเติม คือ เครื่องเสียงที่ดีขึ้น รองรับการเชื่อมต่อ USB และ AUX in และหน้าจอ Navi ได้ปรับปรุงเพิ่มให้รองรับ Bluetooth ซึ่งได้เพิ่มสวิทช์คำสั่งบนพวงมาลัย ด้านขวาเข้ามา และเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังทันทีที่เข้าเกียร์ R ส่วนระบบนำทาง ก็รองกับ App Smart G-Book อีกด้วย พร้อมปรับปรุงพวงมาลัย และหัวเกียร์เป็นแบบหุ้มหนัง ยกระดับการขับขี่ยภายในห้องโดยสารยิ่งขึ้น และออปชั่นความปลอดภัย อย่างถุงลมนิรภัยในคู่หน้า SRS และเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับในทุกรุ่น
ขุมพลังเครื่องยนต์ สำหรับในรุ่น 2.5 นี้ ยังคงมีสมรรถนะเหมือนเดิม ทุกกระเบียดนิ้ว รหัสเครื่องยนต์ดีเซล 2KD-FTV (VNT) แบบ 4 สูบ VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 144 แรงม้า @3,400rpm มีแรงบิด 343Nm @1,600-2,800rpm ในรุ่น 2.5G และ 2.5E ABS นอกนั้น 2.5J และ 2.5E จะเป็น เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ธรรมดา มีแรงม้า 120 @3,600rpm และแรงบิด 325Nm @2,000rpm โดยคันที่เราได้ขับนี้ เป็นรุ่น 2.5G ซึ่งใช้เครื่อง VN เทอร์โบ
สำหรับ เครื่องยนต์ ของ Hilux Vigo Champ ตัว 2.5 VN เทอร์โบ นี้ การการขับขี่ใช้งาน ทั่วไป ในช่วงออกตัว ถือว่า ทำงานได้ดี ออกตัวได้ ไม่ขี้เหล่ เนื่องจากแรงบิดที่มีมาให้เท่ากับตัว 3.0 แถมมาตั้งแต่รอบต่ำ เริ่มตั้งแต่ 1,600rpm ขึ้นไป ถึง 2,800rpm การออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง เร่งทะยานในช่วงต้น จึงทำได้ดี แต่ทว่า การขับในจังหวะเร่งแซง เมื่อกระแทกคันเร่งลง รอบเครื่องตวัด ขึ้นไป ถึง 3,000rpm+ จะเริ่มรู้สึกว่า พละกำลัง เริ่มหน่วง ลง แล้ว จนเมื่อ เลย 3,500rpm จะรู้สึกได้ ชัดเจนว่า รอบตื้อแล้ว กำลังเครื่องหมด ซึ่งถ้าดูจากกราฟ จะไม่แปลกใจเลย เพราะ แรงบิด หมดตั้งแต่ก่อน 3,000rpm และดิ่งหัวลง ในขณะที่ แรงม้ายังลากได้ถึง 3,400rpm ที่สูงสุดของภูเขา หลังจากนั้น ม้าจะตกเหว ตายหมด ซึ่งการขับขี่เร่งแซง ถ้าจังหวะ ไม่ชัวร์จริงๆ แล้วไม่ได้ดู รอบเครื่อง ให้ดี หรือเลี้ยงรอบเครื่องอยู่ในจังหวะที่เหมาะสมก่อน เร่งแซง นั่น อาจเกิดอันตรายได้ และยิ่งช่วง ขับขึ้นดอยอินทนนท์
ระบบส่งกำลัง สำหรับคันนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 Speed ซึ่งได้ถูกเพิ่มเข้ามาใน Hilux Vigo Champ รุ่น Double Cab Prerunner โดยข้อดีของมันคือ ใช้น้ำมันเกียร์ Toyota Genuine AFT WS ซึ่งไม่ต้องเปลี่ยนเลยตลอดอายุการใช้งานของเกียร์
ด้านการใช้งานเกียร์อัตโนมัติ ตัวนี้ ถ้าเทียบกับรุ่น 4 Speed ก็ต้องยอมรับว่า เดินได้นุ่มนวลขึ้น แต่ถ้าเทียบกับรถยนต์เก๋ง หลายรุ่น ที่เป็น AT เช่นกัน ยังรู้สึกได้ถึงช่วงรอยต่อของเกียร์อยู่ บ้าง การตอบสนองในจังหวะ Kick Down ยังรู้สึกว่า มี Lag Time อยู่ และในหลายครั้งที่ Kick ลงไปแล้ว เกียร์ ไม่ตัดลงให้ หรือ ลงเพียง 1 เกียร์ ซึ่งยังเรียกพละกำลังแรงบิดได้ไม่เพียงพอ ในช่วงที่เราทำการไต่เขา จึงอาจต้องโยก ล๊อกเกียร์ให้เข้ามาที่ L2 แทน แต่เราก็ พบปัญหา เนื่องจาก เกียร์แบบขั้นบันได ที่ดูจะใช้งานยากไปหน่อย โดยเริ่มจาก ตบคันเกียร์เข้าหาตัว เพื่อลดมาเป็น D4 ดึงลง เป็น 3 จาก 3 ลงมาเป็น L2 ต้องตบมาซ้าย ก่อนที่จะดึงลง และจาก L2 ไป 1 ต้องดันเข้าไปทางซ้ายอีกครั้ง ซึ่งในหลายครั้งที่เราเข้าโค้งบนเขา ขณะที่สายตาต้องจับจ้องอยู่กับเส้นทางโค้งนั้น มือซ้ายก็ พยายามควานหาเกียร์ และพยายามละโยกเพื่อลดเกียร์ แต่ใน ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ชิน ก็ ยังคงมึนกับตำแหน่งล๊อคของเกียร์ อยู่ ซึ่งเราคิดว่า มันทำให้ใช้งานได้ค่อนข้างยาก อีกทั้ง ในจังหวะ ลงมาเกียร์ L2 เกียร์มันจะหน่วงลงค่อนข้างช้า เนื่องจากอัตราทดที่ค่อนข้างห่าง ซึ่งมีส่วนที่การเซ็ตเกียร์ให้ตอบสนองช้า มาจากการคำนวณเพื่อป้องกัน การเสียหายของเกียร์จากการ Shift Down ลงแล้วรอบยังสูงอยู่ แต่ทว่าเรากลับพบว่ามันเสียเวลา ยิ่งโค้งต่อ โค้ง ตัว S ด้วยแล้ว เราจึงอยากได้ เกียร์ที่เป็นโหมด M มาให้โยก + - เอาเลย ง่ายกว่า ไม่ต้องมานั่งจำเกียร์ว่าเข้าตำแหน่งใด แล้วโยกให้มันเข้าล๊อค เพราะค่อนข้างเสียเวลามาก ซึ่งเราคาดว่าใน Hilux โฉมใหม่ น่าจะมีโหมด M มาให้เล่นควบคุมเกียร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแร๊คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง การตอบสนองใช้งาน ในรูปแบบบรรทุก ทั่วไป วงเลี้ยว หนักแน่นพอดีมือ แต่ที่ช่วงความเร็วสูง นั้นน้ำหนักเบามือเกินไป ช่วงความเร็ว ไต่ 120 กม.ชม. เลยไปแล้ว การควบคุม พวงมาลัยในโค้ง พวงมาลัยดูจะไม่คืนตัว หน่วงๆ อยู่หน่อย ดูยังไม่ค่อย ฉับไว เท่าใด ว่ากันไป มันก็เป็นพวงมาลัยตามสไตล์รถกระบะ นั่นแหละ
เบรก ดิสก์ล้อหน้า แบบมีครีบระบายความร้อน และ คู่หลังเป็นดรัมเบรก พร้อมวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก Super LSPV และ LTS สไตล์การเบรก ก็ยังเป็นเหมือนเดิม กับสไตล์ เบรกกระบะ คือต้องจุ่มแป้นเบรก ลึกๆ และ อาจต้องย้ำ กันบ่อย เมื่อซัดมาที่ความเร็วสูง อาการเบรกไถล ไม่ค่อยอยู่ ยังคงมีให้เห็นเช่นเดิม ช่วงชะลอไฟแดง ยังคงต้อง ลงเท้าหนัก จนเกือบหัวทิ่มเอา เหมือนกัน
ระบบกันสะเทือน แบบ DTS (Diamond Tech Suspension) เอกสิทธิ์ Toyota ที่อ้างว่า ขับนุ่ม เข้าโค้งนิ่ง ทรงตัวแน่น เหล่านี้ถือเป็นจุดที่โดดเด่นสุดของ Toyota Vigo Champ คันนี้เลยก็ว่าได้
ช่วงล่างด้านหน้าเป็น อิสระปีกนกคู่ ซึ่งใช้แบบเดียวกับตัว Off-Road แกร่ง อย่าง Toyota Prado ซึ่งดีไซน์ให้หน้ายางสัมผัสเต็มพื้นผิวถนน ช่วยให้มีการยึดเกาะแน่น และใต้ท้องรถยังมีการติดตั้ง Air Splasher (แผ่นกระจายลมประทะหน้ายาง) ซึ่งช่วยลดแรงลมเข้าไปบริเวณซุ้มล้อและยาง จึงช่วยด้าน Aerodynamics เพิ่มการจิกเกาะรถไม่ลอยทรงตัวดีขึ้น ที่ความเร็วสูง (จะมีให้ในรุ่นยกสูงเท่านั้น) ด้านหลังเลือกใช้แหนบ Berlin Eye ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษ (แต่เป็นแหนบเหนือเพลา เพื่อเน้นประสิทธิภาพการยึดเกาะ) และเป็นการรวมข้อดีของ ช่วงล่างแบบแหนบ กับคอยล์สปริงมารวมกัน คือ ยังคงเกาะถนน แต่ไม่กระด้าง ให้ความนุ่มนวลได้พอตัว
สำหรับการขับใช้งานจริง พบว่า ที่ความเร็วสูง ระดับ 140 กม./ชม. ยังถือว่า เกาะถนนอยู่พอสมควรในระดับรถ ยกสูง เมื่อพื้นผิวถนนเรียบ รถไม่ดูโดดลอย มากเท่าใด ในขณะที่การขับขี่ในทางโค้งคดเคี้ยว ถือว่าทำได้ดีพอตัว แต่รู้สึกว่าจะพบ อาการทั้ง Under และ Oversteer ในจังหวะ หักหัวเข้าโค้ง ดูหน้าจะดื้อๆ ไปเล็กน้อย เหมือนอาการหัวรถหนักๆ จะดูเลี้ยวเข้าลำบากเล็กน้อย ซึ่งต้องเผื่อวงเลี้ยวไว้สักนิดหนึ่ง ก่อนตัดเข้าโค้ง ขณะที่ช่วงบานออกปลายโค้ง ถ้าเติมคันเร่งเยอะไปหน่อย อาการท้ายปัด จะออก ให้เห็นบ้าง เนื่องจากรถกระบะ ขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ได้บรรทุกใดๆ ที่กระบะท้าย แต่เมื่อเริ่มชิน หลังจากผ่านโค้งไป เรื่อยๆ จะพบกับความสนุกสนาน ของเจ้า Vigo Champ ที่ใช้ ช่วงล่าง DTS คันนี้ คือ การควบคุมในโค้งที่จริงไม่ถึงกับยากมาก ถ้าเริ่มรู้ระยะ การเข้า ซึ่งเราดูแล้ว ในจังหวะเข้าโค้งบนดอยอินทนนท์ ใช้ความเร็วอยู่ราว 90 กม./ชม. ซึ่ง ถ้าไม่ได้ขับมาเป็นขบวน คาราวาน อาจจะ เข้าได้ความเร็วสูงถึงระดับ 110 กม./ชม. – 120 กม./ชม. โดยที่ยังไม่มีสูญเสียอาการรถ แต่อาจเริ่มมีเสียงยาง เล็ดลอดเข้ามาบ้าง
สรุป Toyota จัด Rebranding Hilux Vigo Champ กันครั้งสุดท้าย ก่อนมาใหม่ของโฉม All New ในปีหน้า โดยปล่อยออปชั่นภายในเพิ่ม เพื่อยกระดับมาตรฐาน Pickup ให้มีความสะดวกสบาย เทียบเคียงรถยนต์เก๋ง ในด้านสมรรถนะ ยังคงเช่นเดิมกับตัว Toyota Hilux Vigo Champ ซึ่งโดดเด่นเรื่องช่วงล่าง DTS ผู้ที่สนใจอยากออกกระบะในช่วงปีนี้ และเชื่อมั่นในความเป็น Toyota ออปชั่นใกล้เคียงรถยนต์เก๋ง บวกกับแคมเปญ ที่น่าสนใจจาก Toyota ลองเดินเข้ามาโชว์รูมดู เผื่อท่านอาจจะถูกใจ ถอย Pickup ตัวแกร่ง มีจมูกบนฝากระโปรง กับ Toyota Hilux Vigo Champ โฉมปรับปรุงใหม่นี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-Toyota-Vigo-Minorchanged-Review/
ความคิดเห็น