เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ชาวไทยจะได้สัมผัสตัวเป็น ๆ ของรถยนต์ในโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เสียที หลังจากที่คู่แข่งต่างก็ทยอยเปิดตัวกันมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งหมด
ถามว่าโตโยต้าทำไมเปิดตัวช้าจัง ก็ต้องย้อนกลับไปในอดีตที่โตโยต้าเองเป็นค่ายรถรายสุดท้ายที่กระโดดเข้าร่วมโครงการดังกล่าว หลังจากทำท่าเหมือนจะไม่อยากเข้าร่วมในตอนแรก แต่ในที่สุดก็กลัวตกขบวน และมาปรากฎชื่อว่าสนใจโครงการในช่วงเกือบจะสุดท้ายของการรับสมัคร
หลังจากที่สามารถหักล้างประเด็นเรื่องขนาดของตัวรถที่จะเข้าโครงการได้ ก็มีกระแสข่าวลือว่าโตโยต้าเองพร้อมที่จะปรับรถยนต์แฮชท์แบ็กที่ทำตลาดอยู่ในประเทศไทยอย่างยาริสใหม่ เข้ามาสวมเครื่องยนต์ขนาดเล็กตามข้อกำหนด และใช้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไร เพราะหลังการเปิดตัวยาริสรุ่นใหม่ในประเทศจีน ซึ่งแม้จะใช้เครื่องยนต์ 1.3 1และ 1.5 ลิตร ถือว่ามีความใกล้เคียงในการนำมาปรับเป็นรถยนต์อีโคคาร์ในประเทศไทยมากที่สุดแล้ว
ล่าสุด มีข่าวแว่วมาแล้วว่ารถยนต์อีโคคาร์ที่จะนำมาทำตลาดในบ้านเราก็หนีไม่พ้นหน้าตาพิมพ์เดียวกับยาริส แอลทุกประการ เพียงแต่เครื่องยนต์ที่นำมาใช้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ขนาด 86 แรงม้า และมาพร้อม 4 รุ่นย่อยให้เลือก ซึ่งที่น่าแปลกคือ ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาให้เลือกแต่อย่างใด
จุดขายที่สำคัญของยาริสใหม่ ก็คือขนาดห้องโดยสารที่กว้างและยาวที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอีโคคาร์ แฮชท์แบ็กด้วยกัน และยังพาลไปใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์แฮชท์แบ็กในกลุ่มบี-เซกเมนต์ ขณะที่หน้าตาได้รับการออกแบบมาให้มีความสปอร์ตในคราบของรถยนต์เล็กเลยทีเดียว
วางจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 4 เกรด ตามรายงานที่ได้มาคือเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติซีวีทีทั้งหมด ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเซอร์ไพร์สอะไรอีกหรือไม่ โดยเกรดต่ำสุดจะใช้ชื่อว่า J ECO สำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องงบประมาณ ขณะที่เกรดถัดมาอย่าง J และ E จะเพิ่มออพชั่นต่าง ๆ มากขึ้น และรุ่นท๊อปจะเป็นรุ่น G ซึ่งมีอุปกรณ์ครบครัน รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ รอบคันรถ
มิติตัวถังภายนอก ยาว 4,115 มม. กว้าง 1,700 มม. และสูง 1,475 มม. มีความกว้างฐานล้อ 2,550 มม. เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์รหัส 3NR-FE ขนาด 1,197 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยสามารถรองรับเชื้อเพลิงอี20 ได้ และตัวรถมาพร้อมถังน้ำมัน 42 ลิตร
อุปกรณ์พื้นฐานมีมาให้มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นถึงลมเสริมความปลอดภันคู่หน้า พวงมาลัยไฟฟ้าแบบปรับระดับสูง-ต่ำได้ ระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรกและระบบเสริมแรงเบรก มาพร้อมแผงคอนโซลหน้าสีเงินเข้ม เบาะผ้าสีดำ และยางอะไหล่แบบกระทะขอบ 14 นิ้ว
รุ่นท๊อปมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วและยางขนาด 185/60/R15 ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพับไฟฟ้า คิ้วฝากระโปรงท้ายและมือจับแบบโครเมียม ระบบ Push Start และ Smart Entry พวงมาลัยแบบ 3 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และจอแสดงข้อมูลการขับขี่
อุปกรณ์จะลดหลั่นกันลงไปเรื่อย ๆ ในรุ่น E จะเปลี่ยนมาใช้ล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว และลดเป็นล้อกระทะ 14 นิ้วในรุ่นล่างทั้ง 2 รุ่น รวมถึงตัดออพชั่นบางตัว เช่น กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้าออก ซึ่งดูแล้ว หากต้องการใช้งานเป็นหลักก็อาจจะไม่ต้องไปถึงตัวท๊อปก็ได้ เพราะอุปกรณ์พื้นฐานก็ถือว่ามีมาอย่างครบครัน
สำหรับสีภายนอกของตัวถังนั้น มีมาให้เลือกถึง 7 สี และมีสีใหม่เอี่ยมมากถึง 3 สี ประกอบไปด้วย สีฟ้า Frozen Blue Metallic สีส้ม Orange Metallic และสีแดง Red Mica Metallic ส่วนสีมาตรฐานอีก 4 สี ก็ประกอบไปด้วยสียอดนิยมอย่าง สีขาว Super White สีบรอนด์เงิน Silver Metallic สีเทา Gray Metallic และสีดำ Attitude Black Mica
ตามกำหนดการจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ในระดับราคาที่ว่ากันว่าจะแพงกว่าอีโคคาร์ทั่วไปเล็กน้อย จะจริงเท็จประการใด อีกไม่นานก็คงได้รู้กัน...
ความคิดเห็น