เหตุเกิดตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้วลากยาวมาจนทุกวันนี้ ผมยังได้ยิน Spot โฆษณา ของเจ้า Ford Focus อยู่ตามช่องวิทยุ FM หรือช่อง TV อยู่เลย ซึ่งล่าสุดกับ โฆษณาทาง TV ที่โชว์ศักยภาพของ Active City Stop เล่นเอาชาย ที่เหลียวมองสาว ชนเข้ากับเสาอย่างจัง มันช่างโดนใจผมอย่างมาก (แต่มันกลับทำผมรำคาญเอาเหมือนกัน กับการใช้งานจริง) cและอีกหนึ่งระบบที่หลายคน โดยส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะชอบ นั่นคือ ระบบช่วยจอด Active Park Assist แต่สิ่งที่ผมสนใจจริง กลับไปใช่ เทคโนโลยี 2 อย่างนี้ แต่มันคือ สมรรถนะของขุมพลังเครื่องยนต์ Direct Injection 2.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงที่สุดใน Compact บ้านเรา ซึ่งสามารถสัมผัสสมรรถนะระดับนี้ได้ในราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท สำหรับรุ่น Titanium และ Sport นับตั้งแต่เปิดตัวมาจนถึง วันนี้เป็นเวลานานนมถึงปีกว่าแล้ว ผมพึ่งได้มีโอกาสสัมผัสเจ้า รถอัจฉริยะคันนี้แบบเต็มๆ เสียที ซึ่งที่จริงในตอนแรกผมได้ขอเป็นรุ่น 2.0 Titanium+ ไป ซึ่งเป็นรุ่น Sedan แต่กลับไม่มีตัว 4 ประตูให้ทดสอบ จึงได้ให้ 5 ประตูคันนี้มาแทน เอาเป็นว่าลองมาดูกันกับสมรรถนะของเจ้านี่ ที่มีสโลแกนว่า “นี่ไม่ใช่รถ แต่นี่คือ Ford Focus”
สำหรับการทดสอบในครังนี้ขอขอบคุณ ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) ที่ได้เอื้อเฟื้อรถ Ford Focus 5 ประตู Ti-VCT GDi Sport+ สีเหลือง Mustard Olive สนนราคา 1,079,000 บาท
รูปโฉมภายนอก Ford Focus ใหม่ดูมีความเฉียบคมขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่ไฟหน้า และไฟท้ายที่มีแนวเส้นสาย มิติตัวรถยาวxกว้างxสูง 4358 x 1823 x 1484 โดยผมมีโอกาสได้จอดเข้าซองข้างๆ กับ Ford Focus โฉมเก่า มองด้วยตาจะเห็นได้ทันทีว่าโฉมใหม่นี้ เตี้ยลง, ขนาดตัวใหญ่ขึ้น และ ยาวกว่า โฉมก่อนหน้า สำหรับรุ่น 2.0 นี้ จะมีจุดที่แตกต่างกับรุ่น 1.6 ก็คือไฟหน้าเป็นโปรเจ็คเตอร์แบบ Bi-Xenon HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติพร้อมที่ฉีดทำความสะอาด / ไฟช่วยส่องสว่างขณะเลี้ยว / ไฟหรี่แบบ LED ซึ่งมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ด้านระบบปัดน้ำฝนก็เป็นแบบอัตโนมัติในด้านหน้า พร้อมใบปัดน้ำฝนด้านหลัง หลังคา sunroof แบบปรับไฟฟ้าแนวเอียงและสไลด์ ไฟเบรกที่ติดอยู่บนสปอยเลอร์ท้ายจะเป็นสีขาว ล้ออัลลอยเป็นขอบ 17” สำหรับ 5 ประตู ถ้า 4 ประตู จะได้ขอบ 16” แทน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และไฟส่องนำทาง
อีกไฮไลท์หนึ่งเห็นจะเป็น กระจังหน้าเปิด-ปิดช่องดักลมได้อัตโนมัติ (Active grille shutter) ที่มีให้ทุกรุ่น มันช่วยด้านอากาศพละศาสตร์เมื่อขับที่ความเร็วสูง และช่วยระบายความร้อนเมื่อใช้ความเร็วต่ำ และนี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ Focus จะให้ได้ เพราะคุณไม่สามารถหาได้ใน Compact Car คันอื่น รวมถึงสีภายนอกที่มีให้เลือกถึง 8 สี ได้แก่ แดง Candy Red, ขาว Frozen White, เงิน Ingot Silver, น้ำตาล Lunar Sky, เทา Midnight Sky, เหลือง Mustard Olive, ดำ Panther Black, น้ำเงิน Winning Blue
ภายในห้องโดยสาร หลังจากเปิดประตู ห้องโดยสารได้อย่างง่ายดาย เพียงเอาปลายนิ้วสัมผัสที่ขอบด้านบนมือจับประตู ประตูก็จะปลดล๊อคให้ทันที มองมาภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ วัสดุเบาะเป็นผ้าผสมหนังแบบสปอร์ตสีดำ ในรุ่น Sport และ Sport+ (5 ประตู) บริเวณคอนโซลภายหน้า มันดูล้ำสมัย เพราะเต็มไปด้วย ปุ่มฟังก์ชั่น ต่างๆ นานา ซึ่งใช้งานยากเหมือนกันในช่วงแรกที่ยังไม่ชิน
เริ่มไล่จากพวงมาลัย 4 ก้านหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมจอ MID และมีปุ่มรับสายโทรศัพท์, ปุ่มปรับระดับเสียง, Voice Command นอกจากนั้นยังมีปุ่ม Cruise Control (ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมจำกัดความเร็ว) มาตรวัดระยะทางพร้อมจอแสดงผล LCD TFT ขนาด 4.2” พร้อมแสดงอัตราสิ้นเปลืองแบบ Eco Mode ที่บริเวณด้านซ้ายมือของพวงมาลัยจะฝังปุ่ม Ford Power Start ไว้อยู่ ถัดมามองทึ่คอนโซลกลาง ปุ่ม Central Lock และปุ่มไฟ Hazard จะดูเล็กไปสักหน่อย สำหรับการใช้งานจริง ด้านเครื่องเสียงจาก Sony รองรับได้หลากหลาย Gadget มาพร้อมลำโพง 9 ตัว พร้อมระบบเชื่อมต่อ SYNC และ Bluetooth ดูให้เสียงที่ใส และมีมิติพอตัว แต่พอเร่งเสียงเพิ่ม ในบางเพลงที่มีเบสแน่น ในคันนี้ลำโพงด้านหลัง ขวา จะสะเทือน เหมือนลำโพงจะแตก สำหรับ USB Port และ AUX ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นชักฝั่งคนนั่งดูจะใช้งานลำบากไปอีก นี่ยังไม่รวมที่เปิดฝากระโปรงหน้าที่ดันไปอยู่ฝั่งผู้นั่งโดยสารด้านซ้าย เมื่อลองใช้งานระบบ Voice Command พบว่ามันดูฉลาดขึ้นกว่า Fiesta เยอะ และใช้เวลาในการประมวลผลได้สั้นลง แต่ถ้าหากสำเนียงเสียงไม่ดี มันก็ยังไม่รู้เรื่องเช่นเดิม กระจกมองหลังให้แบบตัดแสง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระได้ซ้าย-ขวา ด้านล่างปุ่มปรับอากาศจะมีปุ่ม Park Assist และ เสียงสัญญาณช่วยจอด เบาะนั่งตอนหลังพับได้ 60:40 พร้อมที่เท้าแขน แต่เบาะผู้ขับ กลับไม่ใช่เบาะปรับไฟฟ้า แบบที่ให้มาในรุ่น Titanium และ Titanium+ (4 ประตู)
ด้านวิสัยทัศน์ในการขับขี่พบว่ามันค่อนข้างแย่ เนื่องจากมีมุมอับ มากหลายจุด ร่วมกับตำแหน่งเบาะที่ค่อนข้างต่ำ กระจกมองข้างด้านขวา ไม่สามารถเก็บรถ คันด้านข้าง ที่มาอยู่ในระยะ 1 ช่วงคันรถได้ ซึ่งในรุ่น Sport+ คันนี้กลับไม่มี ระบบ Blind Spot มาให้ บริเวณเสา D บังในจังหวะถอยจอดเข้าซอง และการกะระยะจากด้านท้ายรถทำได้ค่อนข้างยาก ซึ่งอาจต้องใช้สัญญาณเตือนช่วย ในขณะถอย บริเวณกระจกบานหน้า จะมีแผงเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่เกะกะสายตาพอสมควร และถ้าสังเกตุดีๆ บริเวณกระจกบานหน้าจะมีขีดเส้นๆ ไว้สำหรับไล่ฝ้าด้วย
ขุมพลังเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน Duratec 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันอิสระคู่ Ti-VCT ซึ่งแปรผันทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย GDi เป็นแบบเครื่องยนต์หัวฉีดตรง Direct Injection ซึ่งแตกต่างจากบล๊อก 1.6 ที่เป็นหัวฉีด Electronic Multipoint สำหรับบล๊อก 2.0 นี้ สร้างพละกำลังได้ 170 แรงม้า ที่รอบ 6,600rpm และ แรงบิดสูงสุด 202 Nm ที่รอบ 4,450rpm และรองรับน้ำมัน E20
สมรรถนะในด้านการขับขี่ การตอบสนองของแป้นคันเร่ง ดูค่อนข้างจะแข็งไป ออกตัวได้อย่างหนืดๆ หน่วงๆ ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก Hill Launch Assist (ระบบช่วยออกตัว) ด้วย ถ้าขับขี่แบบเรื่อยๆ เนือยๆ ตามแบบคนเท้าเบา ดูรถจะอืดๆ หนักๆ ออกตัวได้เชื่องช้า กว่ารถ Sub-Compact หลายรุ่น แต่เมื่อกระแทกคันเร่งแบบคนเท้าหนัก หรือ Kickdown ในช่วงเสี้ยวอึดใจที่รอเกียร์ที่ตอบสนองช้าไปสักหน่อย กำลังเครื่องถูกถ่ายทอดแทบทั้งหมดลงสู่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า รถสามารถพุ่งทะยานเร่งแซงรถคันอื่นได้อย่างง่ายดาย ในจังหวะที่กลับรถถ้ากระแทกคันเร่งลงมากเกินไป ประมาณ ¾ ของแป้นคันเร่ง รถจะเกิดอาการสไลด์ ออกในสไตล์รถ Drift ทันที จากแรงม้า ที่มีจำนวนมากถูกถ่ายเทลงสู่ล้อ ก่อนที่รถจะกลับมาตั้งลำตรง ได้อย่างไม่ยากเย็น จากระบบช่วยเหลือ ต่างๆ ที่มี เมื่อกระแทกคันเร่งมิดในช่วงออกตัว รอบเครื่องลากไปชน Redline ที่ราว 6,500rpm ก่อนตัดขึ้นเกียร์ใหม่ แต่เมื่อเข้าช่วงเกียร์ 3 ขึ้น 4 รอบเครื่องจะลากไปไกลขึ้นอีกที่ ราว 7,000rpm ก่อนตัดขึ้นเกียร์ต่อไป ถึงแม้พละกำลังเครื่องจะแรงสั่งได้ แต่การตอบสนองของเกียร์ที่ช้า ในจังหวะเร่งแซง อาจต้องมีทดเวลาเผื่อไว้ด้วย หรือใช้ โหมด S เพื่อลากรอบยาวไปทีเดียว
ลองทดสอบสมรรถนะด้วย OBD อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 9.675 วินาที 1/4Miles ใน 17.073 วินาที ที่ความเร็ว 137 กม./ชม. ด้าน Top Speed ถูกล๊อค ที่ 200 กม./ชม. นั่นเป็นตัวเลขที่ทำได้ดีที่สุด ในกลุ่ม C-Segment เลย ชนะ Preve, Civic 2.0, Elantra รวมไปจนถึง Accord 2.4 อีกด้วย
- หมายเหตุ ในการทดลองอัตราเร่ง และ ¼ miles ในวันที่ทดสอบ ฝนตกพื้นถนนค่อนข้างลื่น และใช้โหมด D แต่เมื่อใช้ โหมด S ตัวเลขจะแย่กว่าเล็กน้อยเสี้ยววินาที ประมาณ 0.07 วินาที
ด้านอัตราสิ้นเปลือง โดยเฉลี่ยสำหรับการเดินทางไกล บนหน้าจอแดชบอร์ด ทำได้ 14.7 กม./ลิตร โดยขับขี่ใช้ความเร็วเฉลี่ย 100-120 กม./ชม. มีเร่งแซงบ้างบางจังหวะ แต่เมื่อดูแบบ Real Time ล๊อค Cruise Control ไว้ที่ 100 กม./ชม. จะได้ที่ 16.67 กม./ลิตร
ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ Power Shift 6 Speed ซึ่งเป็นเกียร์แบบ Dual Clutch ดูจะเป็นอีกหนึ่งจุดขายของรถคันนี้ ซึ่งที่จริงเกียร์แบบ Power Shift เริ่มเข้ามาในไทยให้เรารู้จักกัน เกือบ 4 ปีมาแล้ว โดย Ford เริ่มนำมาใช้กับ Ford Focus TDCi และก็ได้นำมาโฆษณาใช้แบบจริงจังใน Ford Fiesta และก็ได้นำมายกวางใน Ford Focus โฉมล่าสุดนี้ ว่ากันตามตรงโดยหลักการทำงานของ Dual Clutch แล้ว จังหวะเปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว และ Smooth นุ่มนวล (ในเชิงทฤษฎี มันดีมาก) แต่การตอบสนองของ ปุ่ม Shift เกียร์ กลับตอบสนองช้ามาก (ในเชิงปฏิบัติ กลับไม่ดีอย่างที่คิด) ECU เกียร์ยังไม่ค่อยฉลาดเท่าที่ควร ในจังหวะวนขึ้นลานจอด 10 กว่าชั้น ใช้โหมด D เกียร์ยังไม่เรียนรู้ที่จะลากรอบไปก่อน เกียร์จะ Shift ขึ้นให้ ก่อนที่จะต้องเบรก และกระตุกลดเกียร์ลงอีกครั้ง แต่สำหรับการขับขี่แบบปกติในโหมด D เกียร์ก็จะขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น แต่เมื่อมาเล่นโหมด S โดยกดปุ่มเองบนหัวเกียร์ซึ่งคล้ายกับ Toggle Switch ของ Chevrolet Sonic การ Shift เกียร์เองในโหมด S นี้กลับตอบสนองช้า น่าใจหาย ซึ่งเหมือนกับการตอบสนองใน Chevy Sonic เลย ซึ่งการขับในโหมด D ไม่สามารถ Shift เกียร์ได้ ต้องใช้โหมด S เท่านั้น แต่เมื่อกระแทกคันเร่งลากยาวไปเรื่อยจนถึง Redline เกียร์ก็จะ Shift ขึ้นให้เอง เพื่อป้องกันการลากรอบจนอาจเกิดความเสียหาย
ลองวัดความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ 3 ค่า ได้ดังนี้
80 กม./ชม. = 1700rpm
100 กม./ชม. = 2150rpm
120 กม./ชม. =2600rpm
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า EPAS ในส่วนของ Handling มีน้ำหนักเบาหว๋อง คล่องมือ สามารถใช้นิ้วเพียงแค่ 2 นิ้ว ก็สามารถหักเลี้ยวได้อย่างไม่ยากเย็น ในจังหวะสาวจอด หรือการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ซึ่งข้อดีคือ มันมีความคล่องตัวสูงสำหรับการใช้ในตัวเมือง และที่ความเร็วเพิ่มขึ้น พวงมาลัย จะมี่ความหนืดเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงกับหนักจนเกินไป ถือว่ามีความคมแม่นยำ ดีมาก ตอบสนองได้อย่างฉับไวดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับพวงมาลัยไฟฟ้าในคันอื่นๆ เมื่ออยู่ในวงเลี้ยว พวงมาลัยจะคืนตัวให้เองอย่างว่องไว แต่เมื่อเทียบกับรุ่น 1.6 ที่เคยขับไปก่อนหน้า ซึ่งถือว่าน้ำหนักค่อนข้างมาก ตั้งแต่ความเร็วต่ำ แต่เมื่อความเร็วช่วงกลางขึ้นไป ผมกลับชอบตัว 1.6 มากกว่า เพราะมันดูมีน้ำหนัก ที่ให้ความหนักแน่น และรู้สึกว่าจะแม่นยำกว่าด้วยเล็กน้อย โดยภาพรวม
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่หน้ามีช่องระบายความร้อน มาพร้อมระบบ ABS (ป้องกันล้อล๊อค), EBD (ระบบกระจายแรงเบรก ) และ EBA (เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน) บริเวณผ้าเบรกปั๊มโชว์โลโก้ Ford แต่ในส่วนฟีลลิ่งการเบรกคันนี้กลับแตกต่างจากตัว 1.6 ที่เคยขับก่อนหน้ามาก ซึ่งได้ชมไปว่ามันโครตหนึบ แต่พอมาในคันทดสอบ 2.0 นี้ กลับพบว่ายังเบรกไม่ค่อยอยู่ ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่ว่า ผ้าเบรก ใกล้หมด หรือยังไม่ได้เปลี่ยน เนื่องจากขณะที่เราได้มานี้เลขไมล์ ไปถึง 21,000 กม. แล้ว คงได้ผ่านเท้านักข่าวมาหลากหลายคน คงไม่แปลกที่เบรกจะเฟดหายไปมาก ถ้าจะเบรก เอาให้อยู่ต้องลงน้ำหนักแบบมาตามเท้าสั่ง และเมื่อขับที่ความเร็วจะต้องระวังให้ดียิ่งขึ้น เพราะสมรรถนะอย่างเครื่อง 2.0 ที่แรงที่สุดในกลุ่ม ยิ่งต้องการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ที่สูงขึ้นด้วย เพราะ ถ้าหากคิดจะพึ่งการใช้ E-Brake (ลดเกียร์) ช่วย อาจจะไม่ทันการ ในกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากการตอบสนองของเกียร์เชื่องช้า
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นอิสระคอนโทรล เบรด มัลติลิงค์ คอยล์สปริง ซึ่งผมได้เคยบอกไปว่า มันเป็นช่วงล่าง เป็นรถยนต์ในกลุ่ม Compact บ้านเรา ที่มีความโดดเด่นที่สุด นุ่มแต่หนึบไว้ใจได้ ไม่นุ่มจนย้วย แต่ก็หนึบแบบไม่เข้าขั้นกระด้าง คือไม่ต้องมาเลือกว่า หนึบแล้วต้องกระด้าง หรือนิ่มแล้วต้องไม่เกาะถนน เพราะ Ford Focus ให้ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน การดูดซับแรงทำได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อผ่านทางหลุมขรุขระ หรือทางรถไฟ รถไม่ดีดดิ้น จนท้องไส้ปั่นป่วน กันให้เห็น
ซึ่งมันทำให้ผมยืนยันว่า Focus เป็นรถที่เซ็ตช่วงล่างออกมาได้อย่างลงตัวที่สุดในกลุ่มรถทั้งหมดที่ด้านหลังเป็นแบบ มัลติลิงค์ ด้วยกัน จากความยอดเยี่ยมในการเข้าโค้ง เพราะมันทำหน้าที่ในโค้งได้อย่างดีที่สุดแล้ว คอนเฟิร์ม โดยการทดสอบบนโค้งสะพานกลับรถยาวๆ เมื่อเข้าด้วยความเร็ว เปิดไลน์โค้ง และพยายามจะตัดชิดเข้าขอบใน เมื่อกดคันเร่งหนักๆ ตามหลักแล้ว รถจะมีการดื้อโค้งออก (UnderSteer) แล้ว จึงดึงพวงมาลัยกลับเข้ามาในไลน์ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการท้ายปัด (OverSteer) แต่ทว่า การที่เราได้ทำกับเจ้า Focus คันนี้ มันกลับไม่ให้เรารู้สึกสูญเสียอาการ จนน่ากลัวแต่อย่างใด ซึ่งต้องขอขอบคุณ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (Torque Vectoring Control) ที่ช่วยควบคุมสมดุลในการเข้าโค้งโดยการกระจายกำลังของล้อหน้าซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน ไม่ให้แรงบิดออกมาเยอะจนเกินไป และอีกระบบที่ช่วยควบคุมการทรงตัวของตัวรถนั่น ก็คือ ESP ที่ทำให้ รถไม่โคลงเคลง พยายามรักษาเสถียรภาพการทรงตัวในโค้งได้ดีที่สุด มันจึงเป็นรถที่เข้าโค้งได้ดีที่สุด ในกลุ่ม Compact ด้วยกัน แม้ว่าคุณเข้าผิดไลน์ไปบ้าง ซึ่งถ้าไม่ได้เข้ามาที่ความเร็วจนเกินไป และโค้งแบบแคบๆ หักศอก โอกาสที่จะแหกโค้ง เป็นไปได้ยากมาก ถ้าไม่ประมาทจนเกินไป
สำหรับการขับที่ความเร็วสูง มันก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม มีการยุบตัวของช่วงล่างตามจังหวะลอนถนนบ้าง เล็กน้อย แต่ถ้าจะให้บอกกันตามตรง ถ้าขับที่ความเร็ว ในระดับโหดๆ กันอย่าง 180 กม./ชม. ขึ้นไป ผมยังรู้สึกว่ามันยังไม่เยี่ยมที่สุด เพราะ The Best ในการเกาะถนนที่ความเร็วสูง ผมยังคงให้ Proton Preve อยู่ดี
ระบบความปลอดภัย มีมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ ESP พร้อมระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และป้องกันการลื่นไถล TCS และจุดไฮไลท์ สำคัญ คือ ระบบเบรกที่ความเร็วต่ำ Active City Stop จะช่วยได้สำหรับคนที่ชอบเล่นมือถือ ขณะรถติด หรือ ผู้หญิงที่ชอบแต่งหน้าขณะกลับรถ ไม่เว้นแม้แต่ ผู้ชายที่ชอบเหม่อเหล่สาวๆ และ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist ซึ่งเหมาะกับคนที่จอดเทียบฟุตบาทไม่คล่อง แต่จากที่ผมได้พยายามจะลองใช้มัน 2 ครั้ง ก็รู้สึกว่า จะต้องรอให้มัน scan เจอก่อน ซึ่งค่อนข้างเสียเวลา ผมจึงไม่ค่อยจะชอบหรือ อยากจะใช้ระบบช่วยจอดนัก
สรุป Ford Focus 2.0 อีกหนึ่งรถดีที่คุ้มค่า เทคโนโลยีอัจฉริยะ ร่วมกับสมรรถนะที่ดีสุดในระดับเดียวกัน แต่อย่างว่า ไม่มีรถใด Perfect ไปเสียทุกอย่าง ข้อเสียรถคันนี้ หลักๆ คือ พื้นที่การโดยสารที่ค่อนข้างอึดอัดหาก มีผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึง มุมมองในการขับขี่ที่มีมุมสายตาเยอะ, เกียร์ Power Shift ที่แม้จะดีในเชิงกลไก แต่ในการใช้งานจริง ยังตอบสนองได้ไม่ดีเท่าที่ควร, ออปชั่นบางอย่างดูขัดกัน เหมือนจะกั๊ก ก็ไม่เชิง ใน 5 ประตูไม่ให้เบาะนั่งปรับไฟฟ้า และ ไม่มีระบบ Blind Spot ซึ่งกลับมีในรุ่น 4 ประตู ที่ราคาถูกกว่า แต่อย่างไรก็ตาม มองภาพรวมแล้ว เรายังคิดว่ามันเป็นรถที่คุ้มค่าราคาเกินค่าตัว อยู่ดี เพราะรถ Compact 2.0 ลิตร สมรรถนะเยี่ยมขนาดนี้ สามารถหาเป็นเจ้าของได้ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมันก็ยอดเยี่ยมแล้วล่ะ ถ้าคุณเป็นผู้ใช้รถที่เน้นความทันสมัย ลูกเล่นเยอะ มันถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะ “นีไม่ใช่รถ แต่นี่คือ Ford Focus” ผมขอเอาสโลแกน นี้กลับมาให้นิยาม กับเจ้า Compact Hatchback ที่ขับสนุกคันนี้ อีกครั้ง
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2012-Ford-Focus2000-TestDrive/
ความคิดเห็น