ทดลองขี่ Kawasaki Z800 น้องเล็กโมเดลล่าสุดจากตระกูล Z โดดเด่นสะกดทุกสายตา ขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 806cc DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ
รีวิว Kawasaki Z800
Kawasaki Z800 น้องเล็กโมเดลล่าสุด (แต่ตัวไม่เล็ก) จากตระกูล Z ที่ถือเป็นตำนานอันเลื่องชื่อ ในรถสไตล์ Naked Bike จากค่ายยักษ์เขียว Kawasaki มานานกว่า 40 ปี ซึ่งถือเป็นรถ Bigbike เครื่องยนต์ 4 สูบ ที่ทำตลาดบ้านเราแบบจริงๆ จังๆ เป็นคันแรก ในราคาและสมรรถนะ ที่สมเหตุผล ซึ่งทาง Autospinn เราได้เกาะติดกันตั้งแต่งานเปิดตัว Pacific Rim เมื่อราว 3 เดือนก่อน และติดตามกันต่อเนื่องมาจนถึงวันเปิดตัว ยันวันแรกที่สามารถไปทดลองขับขี่ได้
แต่นั่นยังไม่พอ ทางเราต้องการจะเก็บภาพและถ่าย VDO สวยๆ ให้กับเจ้ายักษ์ส้ม Z800 คันนี้ เพื่อนำมาฝากแฟนๆ โดยเฉพาะ จึงได้ขอยืมมาทำรีวิวกันอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้ขออนุญาติ ลงในส่วนของ รีวิวในส่วนเนื้อหาก่อน VDO จะตามมาในภายหลังให้ชมกันอีกที
สำหรับรถทดสอบในครั้งนี้ ขอขอบคุณ Kawasaki Motors ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบคันนี้ Kawasaki Z800 สีส้ม-ดำ ราคาสุทธิ 375,000 บาท
รูปลักษณ์ของตัวรถ Kawasaki Z800
Kawasaki Z800 ถือเป็นรถที่มีความโดดเด่นสะกดทุกสายตา ที่ผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปทรงที่ตัวใหญ่บึกบึน ดูมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ดีไซน์ไฟหน้าที่ดูดุดัน ตามแบบของ Z250 ร่วมกับไฟท้ายแบบ LED ที่เป็นรูปตัว Z อันโดดเด่นมีความเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกับเบาะนั่งที่ปักลายตัวอักษร Z
ท่อไอเสียรูปทรงเหลี่ยมแบบเดียวกับ Z1000 แต่ออกข้างเดียว รูปลายท่อไอเสียออกคู่ ดูให้ความดุดันราวกับ ปลายกระสุนปืน มีสเป็กขนาดยาง ล้อหน้าสวมยางขนาด 120/70/R17 และล้อด้านหลังสวมขนาด 180/55/R17
สำหรับ z800 ในคันที่เราได้มาทดสอบนี้ ได้มีการสวมใส่ชุดแต่งเพิ่มเติมมาให้ นั่นคือ ชิลด์บังลมด้านหน้า, กันล้มที่ด้านข้างของเครื่องยนต์ และครอบที่นั่งท้ายตูดมด ซึ่งทำให้ไม่สามารถซ้อนท้ายได้ แต่สวยงามขึ้น
ในด้านเฟรมตัวถัง เป็นแบบ Tubular Backbone, High-Tensile Steel (เฟรมท่อเหล็ก Backbone) แตกต่างกับ Z1000 ที่ใช้เฟรม อลูมีเนียม จึงทำให้มีน้ำหนักที่มากกว่าถึง 20kg
หน้าจอมาตรวัดแบบ LCD Digital ซึ่งแยกจอออกเป็นสามจอด้านซ้าย บอกอุณหภูมิเครื่องยนต์, Odometer,นาฬิกา จอกลาง บอกความเร็วรอบเครื่องยนต์ เป็นสเกลในแนวตั้ง จอด้านขวาบอกความเร็ว km/h, อัตราสิ้นเปลือง, ระดับน้ำมันคงเหลือในถัง พร้อมมีไฟ Eco แจ้งเตือนเมื่อขับขี่อย่างประหยัด ระบบกุญแจให้เป็นแบบ Immobilizer อย่างรถยนต์
ในส่วนของมิติตัวรถ ยาวxกว้างxสูง (2100x800x1050)mm มีน้ำหนักรถอยู่ที่ 229 กก. ความสูงเบาะ 834mm
ท่าทางการนั่งขับขี่
ด้วยความสูงเบาะที่สูงถึง 834mm ตามสไตล์รถท้ายโด่งให้ดูสวยงาม สำหรับคนที่สูง 174cm อย่างผมยังเหยียบไม่ค่อยเต็มเท้านัก ทำให้เวลาที่จะต้องขยับตัวรถ ยังต้องเขย่งเท้าอยู่
ซึ่งดูแล้วรถคันนี้น่าจะเหมาะกับผู้ที่มีส่วนสูงอย่างน้อยเกือบๆ 180cm และมีน้ำหนักในระดับ 70kg ขึ้นไป น่าจะสามารถขับขี่ได้อย่างดูดี และควบคุมรถได้สะดวกยิ่งขึ้นกว่าผมที่มีน้ำหนักตัวอยู่ราว 58kg ซึ่งเทียบกับส่วนสูงถือว่าตัวไม่ใหญ่นัก ซึ่งตัวถังน้ำมันขนาดใหญ่ที่ดูอ้วนโตและโค้งมน มีความจุ 17 ลิตร มันดูไม่ค่อยจะกระชับเข้ากับลำตัวและท่อนขานัก
และนอกจากนั้นยังมีจุดที่น่ารำคาญ คือเวลาที่ผมตั้งขาตั้ง เพื่อที่จะจอดรถด้วยการใช้เท้าซ้ายเตะขาตั้งออก ก็มักประสบปัญหาคือ มันจะติดพักเท้าคนขี่ตลอด แต่ถึงแม้จะน่ารำคาญแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับน้ำหนักตัว และขนาดที่ดูเทอะทะ ซึ่งทำให้เวลาเข็นเล่นเอาเหงื่อตก โดยเฉพาะเวลาถอย กับคันนี้ที่ใส่ตูดมด (ไม่มีที่จับเบาะท้าย)
เครื่องยนต์ Z800
ขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 806cc DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ แรงม้าสุทธิ 113 ตัว ที่ 10200rpm และแรงบิด 83Nm ที่ 8000rpm
การขับขี่ออกตัว เริ่มตั้งแต่กำคลัช เตะลงเกียร์ 1 ออกตัว รู้สึกว่าคลัชมีน้ำหนักพอประมาณ ไม่แข็งจนเกินไป (น้ำหนักคลัชเบากว่า Z1000 แต่ก็ไม่เบาเท่า Ninja300 ที่เพิ่งขี่มาล่าสุด) แต่เมื่อใช้กับการขับขี่ในกทม.ที่อยู่ในช่วงฝนตก และรถติดแบบนรก ซึ่งผมแทบจะขยับเขยื้อนได้เหมือนเป็นรถยนต์น้อยๆ หนึ่งคัน เล่นเอาปวดนิ้วชี้กับนิ้วกลางซ้ายจากน้ำหนักคลัชเป็นอย่างมาก
เมื่อเปิดคันเร่งแล้วจึงปล่อยคลัชออก เครื่องยนต์ออกตัวอย่างนิ่มนวลราบรื่น ดูแตกต่างกับบุคลิกรูปลักษณ์ที่ดุดันเป็นอย่างมาก มันขี่ง่ายกว่า 650 มาก ในช่วงออกตัวไม่มีกระโชกโฮกฮากที่ดูดุดันก้าวร้าวแต่อย่างใด รอบเครื่องยนต์เดินขึ้นเรียบ นิ่ง อย่างต่อเนื่อง และเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงถึงระดับ 4000rpm ขึ้นไปจะเริ่มฟังดูลื่นหูเป็นอย่างมาก ไพเราะเพราะพริ้ง และจะสัมผัสถึงแรง G ที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรอบยิ่งสูงขึ้นไปซึ่งการใช้งานในถนน กทม. นี้ แทบจะไม่มีทางที่ผมจะใช้รอบเครื่องยนต์เกิน 7000rpm ได้โดยปลอดภัยเลย
ถ้าเทียบกับการใช้งานโดยทั่วไป ถ้าหากไม่ได้เปิดคันเร่ง แรงๆ หรือลากรอบจนถึงรอบที่เครื่องยนต์เริ่มส่งพละกำลังออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน สมรรถนะไม่ได้ดูด้อยกว่า Z1000 แบบน่าเกลียดแต่อย่างใดเลย ซึ่งต้องถือว่า มีแบบเหลือๆ เกินพอที่จะทำให้คุณเร่งแซง รถแต่งทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการขี่ทดสอบสมรรถนะในครั้งนี้ ต้องบอกตามตรงว่าแทบจะไม่ได้ทำการทดสอบเลยทั้งในด้านอัตราเร่ง และความเร็วปลาย เนื่องจากฝนตกหนักตลอด ทุกวัน
แต่ในด้านอัตราสิ้นเปลือง ที่ได้ลองขี่ในการเดินทางกับการจราจรรถติดใน กทม. อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ราว 12km/l แต่ในช่วงที่ขี่บนเส้นทางที่ค่อนข้างโล่งบนถนน พระราม 9 เพื่อที่จะไปถ่ายทำ VDO ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จะได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ ราว 15km/l
ระบบส่งกำลัง
เกียร์ 6 speed ใช้จานคลัชเปียกแบบ multiplate ซึ่งในคันทดสอบนี้ เราพบปัญหากับการเข้าเกียร์ที่เข้าเกียร์ได้ยาก ซึ่งแตกต่างกับคันแรกสีดำที่เราได้ทดลองขี่ 1st Ride ในศูนย์เป็นอย่างมาก คือในคันสีดำนั้นจะเข้าเกียร์ได้ค่อนข้าง Smooth กว่าคันนี้มาก ลักษณะของการเข้าเกียร์จะ เป็นแบบ Short Shift (ช่วงฟรีของการเตะคันเกียร์มีน้อย) เช่นกัน แต่กับเจ้าส้มนี้การเข้าเกียร์ เข้า1-> 2 หลากครั้งจะติดเกียร์ N ซี่งตอนแรกเข้าใจว่าในช่วงเกียร์ 1-> 2 นี้ อาจจะต้องงัดให้แม่นยำมากหน่อย เพราะจากลักษณะแบบ Short Shift ร่วมกับการเข้าเกียร์ที่เวลาลงล๊อค จะค่อนข้างแข็งไม่นิ่มนวล เหมือนอย่างคันแรก
แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ คือ พบในจังหวะที่ขึ้นเกียร์จาก 5->6 หลายครั้ง ไม่ลงล๊อก กลายเป็นเกียร์ว่าง ทำให้รถไหล ซึ่งต้องรีบมาไล่เกียร์ ควานหาเกียร์กันใหม่ให้ลงล๊อค ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ และมิหนำซ้ำ ในช่วงที่มีการลดเกียร์ลง ปรากฏว่า เกียร์ไม่เข้าล๊อค และมีเสียงแกร็กๆ เหมือนเกียร์ จะรูด ซึ่งถ้าหาก เกิดอาการแบบนี้ในช่วงที่กำลังจะลดเกียร์ เพื่อเตรียมเข้าโค้ง หรือ E-Brake (เบรกโดยใช้กำลังเครื่องยนต์ช่วย) แบบกระทันหัน นั่นค่อนข้างเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
ด้วยหน้าจอวัดรอบแบบ Digital ซึ่งตัวเลขบอกรอบเครื่องยนต์ เป็นสเกลในแนวตั้ง ทำให้มองดูรอบเครื่องยนต์ได้ลำบาก และไม่ชินนัก ได้ลองสังเกตความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ได้ 2 ค่า 100km/h = 4500rpm 120km/h = 6000rpm
ระบบกันสะเทือนและการควบคุมแฮนด์ลิ่ง
โช้คอัพคู่หน้าเป็นแบบหัวกลับ(Upsidedown) ขนาดแกน 41mm จาก KYB หน้าปรับ Preload และ Rebound ได้ โช้คอัพหลังเดี่ยวเป็นแบบแก๊ส Uni-Trak ปรับ Preload และ Rebound ได้ จาก KYB เช่นกัน มีการเลื่อนตำแหน่งให้ไปทางซ้าย 20mm เพื่อปรับความสมดุลในด้านน้ำหนักทั้งฝั่งซ้าย และขวา
พูดถึงการดูดซับแรง ทำได้ดีนุ่มนวลตามสไตล์โช้คอัพแบบหัวกลับ การเซ็ตช่วงล่างออกมาแบบเดิมๆ จากโรงงาน ทำให้ขับขี่ได้อย่างสบายๆ ไม่เมื่อยก้น หรือสะเทือนท้องน้อยนัก แต่ว่าการขับขี่บนเส้นทางที่มีรอยต่อของถนนเยอะ อย่างช่วงข้ามสะพานข้ามคลอง มันดูจะนิ่มเกินไปสักหน่อย แต่คงไม่ใช่ปัญหา ถ้าสามารถปรับเซ็ตอัพค่าที่เหมาะสมต่อการใช้งานได้
สำหรับแฮนด์ลิ่งการขับขี่ ด้วยความเป็นรถในสไตล์ Naked ที่มีหน้าสั้น แฮนด์บาร์ดูกว้าง แต่ต่ำ และมีวงเลี้ยว 31 องศา ในการหักเลี้ยวทั้งซ้ายและขวา ซึ่งถือว่าค่อนขว้างกว้างพอสมควร แต่จากที่ได้กล่าวไป ในการหักวงเลี้ยวสุดเพื่อเลี้ยวรถต้องระวังให้ดีจากองศาที่หักไปกว้าง และน้ำหนักตัวรถ ถ้าประคองไม่ดี มีโอกาสที่จะพับล้มลงได้
การที่มีแฮนด์บาร์ตำแหน่งที่ต่ำ ช่วยให้ท่าทางการนั่งเป็นไปได้อย่างสบาย ไม่เมื่อยจนเกินไป สำหรับการขี่เดินทางไกล และท่าทางในการวางแขนที่ดูจะเท่ห์กว่าปกติอีกด้วย แต่กับการหักเลี้ยวเพื่อหลบหลีก ยังดูยากกว่าพวกแฮนด์บาร์สูง ใช้งานบนถนน พบว่าตำแหน่งของก้านกระจกมองข้างที่ดูสูง ทำให้มันดูเกะกะ และไปเบียดเบียนกระจกพวกรถกระบะ และรถตู้ในจังหวะที่มุดหลบหลีกการจราจรที่ติดขัด
ระบบห้ามล้อ
เป็นจานดิสก์เบรกคู่ สำหรับล้อหน้าขนาดจาน 310mm พร้อมปั๊มเบรกแบบ 4 ลูกสูบจาก Nissin และเบรกดิสก์หลังเดี่ยวขนาดจาน 250mm แบบ 1 ลูกสูบจาก Nissin เช่นกัน แต่ไม่มีระบบ ABS
สำหรับในการใช้งานจริง ดูเบรกแล้วจะไม่ค่อยอยู่มือนัก จากตัวรถที่มีน้ำหนักมากทำให้มีแรงเฉื่อยคอยฉุดรถให้ไหลอยู่ ซึ่งในการเบรกแบบฉุกเฉินกระทันหัน อาจต้องระวังเป็นพิเศษกับรถที่มีน้ำหนักมาก และระบบเบรกไม่มี ABS ซึ่งถ้าหากขับมาเร็ว และต้องกำเบรกฉุกเฉินในครั้งเดียว และล้อเกิดล๊อค กับรถที่มีน้ำหนักตัวระดับนี้ ถ้าทักษะไม่คล่องรถอาจพับเอาง่ายๆ ซึ่งอาจจะต้องมีการเบรก ยั้งเบรกไว้หน่อย พร้อมกับการใช้ E-Brake (ลดเกียร์ลงช่วย) เพื่อให้กำลังเครื่องยนต์คอยฉุดหน่วงตัวรถไว้อีกที น่าจะเป็นการคุมที่ดีและปลอดภัยกว่า
สรุปรีวิว Kawasaki Z800
Kawasaki Z800 Naked Bike 4 สูบ ผลิตในประเทศ ทำราคาจับต้องได้ มากับสมรรถนะที่ถือว่าคุ้มค่ากับราคาค่าตัว แต่โดยส่วนตัวสำหรับตัวผม คงไม่ชอบนัก ถ้าจะต้องซื้อเพื่อนำมาขี่ใช้งานในกทม. ถือแม้จะเป็นรถสไตล์ Street Fighter ใช้งานบนท้องถนนก็เถอะ (ไม่ใช่ท้องถนนบ้านเรา) ผมขอกลับไปขี่ Ninja250 ที่สามารถมุดการจราจรได้อย่างคล่องตัว แถมประหยัดน้ำมันกว่าราวเท่าตัว
แต่ถ้าผู้ที่ซื้อเพราะชอบใจรัก 4 สูบจริงๆ หรือคิดเพื่อซื้อมาขี่ท่องเที่ยว เป็นงานอดิเรก ไม่ได้ใช้งานในชีวิตประจำวัน ถือว่าเป็นรถที่คุ้มค่าน่าเล่นกับสมรรถนะ
เสียอย่างเดียวที่ไม่ให้ออปชั่น ABS มาให้ (เว้นแต่ Kawa จะ อินดี้ จับยัดสเป็ก ABS ในปีหน้า) แต่ถ้าผู้ที่ขี่รถในพิกัดระดับนี้ อย่างน้อยคงจะมีทักษะพอตัว สามารถที่จะเบรกร่วมกับการใช้ E-Brake ช่วย ซึ่งโดยรวมแล้วคงจะไม่มีอะไรที่น่าจะต้องกังวลนัก กับเจ้า Z800 นี้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ถ้าผมจะขี่เจ้านี่ได้อย่างปลอดภัย ผมควรที่จะมีส่วนสูงอย่างน้อย 180cm ร่วมกับน้ำหนักตัวที่มากกว่านี้ หรือไม่ก็อาจจะต้องไปโหลดรถลง พร้อมกับฟิตหุ่น ให้บึกกว่านี้
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น