รีวิว 2014 Ford Fiesta Ecoboost ประหยัดสุด, แรงสุด, สมรรถนะดีสุด ในกลุ่ม B-Segment เหลือแต่ราคา ?
2014 Ford Fiesta Ecoboost
เมื่อพูดถึงรถยนต์ในกลุ่ม Sub-Compact (B-Segment) บ้านเรา ณ ตอนนี้ ส่วนใหญ่เลือกใช้เครื่องยนต์ขนาดความจุ 1.4-1.6 ลิตร แทบทั้งสิ้น แต่แล้ว Ford ก็ได้ แหกกฎ นั้นออกด้วยการจับเจ้า Fiesta ใส่เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ปีซ้อน (International Engine of The Year 2012 และ 2013) ซึ่งที่จริงแล้ว เครื่องยนต์ชุดนี้ก็มีใช้ในต่างประเทศ อีกหลากหลายรุ่น ไม่ได้มีเพียงแต่ Ford Fiesta เท่านั้น ได้แก่ Focus, B-Max, C-Max, Ecosport
ที่จริงแล้วเมื่อต้นปีที่งาน Motor Show ทาง Ford ก็ได้นำเจ้า Fiesta นี้มาโชว์ตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีการประกาศว่าจะทำตลาดที่แน่นอนเมื่อไร โดยนำออกมาโชว์ตัวพร้อมกับ Ford Ecosport ซึ่งได้เปิดตัวแคมเปญ Urban Discoveries กันไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่แล้วทาง Ford ก็ได้ให้นักข่าวได้มีโอกาสขับทดสอบเจ้าเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีนี้กันก่อน และนั่น ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยม ที่ทาง Ford ได้รับเชิญให้ Autospinn เราได้ร่วมการขับทดสอบแบบ กรุ๊ปสื่อมวลชนในครั้งนี้
สำหรับการขับทดสอบในครั้งนี้ ขอขอบคุณ Ford ประเทศไทย ที่ได้รับเชิญเราให้ไปร่วมทดสอบถึงจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรถทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู ให้ทางเราได้ทำการทดสอบกัน
รูปโฉมภายนอก ได้รับการปรับโฉมหน้าตาใหม่ ทั้ง 4 ประตู และ 5 ประตู ซึ่งโฉมนี้ดูจะมาแนวหน้าปลาบู่ Aston Martin เสียมาก ดูให้ความดุดัน และมีเส้นสาย Muscular ซึ่ง ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะชอบ แต่เมื่อถามผู้หญิง กลับชอบหน้าเดิมมากกว่า เนื่องจากดูสวยหวาน
สำหรับรายละเอียด ด้านหน้าได้มีการเปลี่ยนใหม่แทบทั้งหมด ตั้งแต่ ฝากระโปรงหน้า, กันชน, กระจังหน้าแบบโครเมียม, กรอบไฟตัดหมอกใหม่, ไฟหน้า แก้มข้าง กระจกมองข้าง แบบใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่ และสีใหม่ Celestial Blue
ในด้านท้าย รุ่น 5 ประตู จะแตกต่างจากเดิม เพียง 2 จุด คือไฟท้าย และสปอยเลอร์แบบใหม่
ขณะที่ท้ายรุ่น 4 ประตู จะแตกต่างจากเดิมแทบทั้งสิ้น ไฟท้ายใหม่, สปอยเลอร์หลังแบบตูดเป็ด, กันชนท้ายใหม่ที่มีแถบโครเมียมทำให้ดูมีบั้นท้ายกว้างขึ้น และฝากระโปรงหลังใหม่
โดยการดีไซน์ใหม่นี้ ทำให้ ลดสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงราว 3% รุ่น 5 ประตู อยู่ที่ 0.331 รุ่น 4 ประตู อยู่ที่ 0.312
ห้องโดยสารภายใน หลังจากเปิดประตูห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless และ Push Start ที่มีในรุ่น Focus 2.0 แล้ว จะพบกับภายในสี 2 tone สำหรับรุ่น 4 ประตู พร้อมเบาะหนัง และภายในสีดำล้วน เบาะหนังกึ่งผ้า ในรุ่น 5 ประตู ซึ่งดูๆ ไปจุดที่โดดเด่นสะดุดตากว่าตัวเก่านั้นก็ คือ แผงคอนโซลกลาง Trim จะเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีดำล้วน ดูให้ความดุดัน
และ เทคโนโลยี Sync จาก Microsoft ซึ่งช่วยให้คุณไม่ต้องละสายตา ในการกดปุ่มคำสั่งต่างๆ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว จากการสั่งคำสั่งด้วยเสียงผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth, USB, AUX พร้อมส่งมอบพลังเสียงที่ใส มีมิติ และทรงพลัง กระจายส่งออกทางลำโพงทั้ง 6 ตัว
นอกจากนั้นการเก็บเสียงจากภายนอก ยังทำได้ดียิ่งขึ้น อีกด้วย จากการพัฒนาวัสดุ และเพิ่มเติมในเรื่องของจุดดูดซับเสียงต่างๆ แต่อีกจุดหนึ่งภายในที่น่าจะมีการปรับได้แล้ว คือ การย้ายสวิทช์ไฟ มาอยู่ทางด้านขวามือ เนื่องจาก ใน Ranger และ Focus ได้ย้ายมาทางด้านขวาแล้ว แต่ Fiesta ยังคงอยู่ที่ด้านซ้ายอยู่เช่นเดิม
และเพิ่มเติมในโฉมใหม่นี้ได้ใส่ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติมาให้ด้วย
ขุมพลังขับเคลื่อนเครื่องยนต์ 3 สูบ Ecoboost ความจุ 999cc ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ ระบบฉีดน้ำมันแบบ Direct Injection พร้อมเสริมพลังจาก เทอร์โบชาร์จ และระบบวาล์วแปรผัน Twin VCT ให้พละกำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร โดยมีกำลังสูงสุด 125 แรงม้า และแรงบิด 170Nm ซึ่งแรงบิดมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ 1,400-4,500rpm ซึ่งมาต่อเนื่องแบบ Flat Torque มีให้ใช้ลากยาวต่อเนื่อง ขับสนุกกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ที่มาไวหมดไว
การขับใช้งานจริง เมื่อจับคู่กับเกียร์ Power Shift 6 Speed ซึ่งยกมาจาก Focus 1.6 แต่มีการปรับจูนให้รองรับ กับแรงบิดของเจ้า Ecoboost นี้ แต่จากนิสัยของ Power Shift นั้นยังคงเดิม คือ เมื่อจังหวะที่เรา Kick Down หรือออกตัวแรงๆ จะมีจังหวะหน่วง ของเกียร์ แต่หลังจากเกียร์ตอบสนองทำงานแล้ว ด้วยเทอร์โบลูกเล็ก จึงไม่มีอาการ Turbo Lag ให้เห็น แรงดึงมาตั้งแต่ ประมาณ 1,500rpm มีมาให้ใช้งานแบบทันใจ จังหวะเร่งแซง รถทั่วไปไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด ยกเว้น ในบางจังหวะที่ต้องการแซงรถคันหน้า อาจต้องใช้โหมด S เพื่อให้รอบมารอไว้ก่อน เนื่องจาก การ Kick Down จะมีจังหวะหน่วงของเกียร์ Power Shift อยู่ ซึ่งจะเสียเวลาในช่วงนั้น รวมถึงในจังหวะ Shift เกียร์เองจากสวิทช์บนหัวเกียร์ ก็จะมีจังหวะหน่วงเล็กน้อยก่อนที่เกียร์จะปรับ+ - ตามคำสั่งนิ้ว
ด้านตัวเลขตามเคลม พบว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ประหยัดน้ำมันขึ้น 20% (19 กม./ลิตร) และลดการคายไอเสีย CO2 ลงถึง 15% (121 กรัม/กม.) ด้านเลขสมรรถนะ 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 11.4 วินาที และ Top Speed ทำได้ถึง 192 กม./ชม.
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยไฟฟ้า EPAS ซึ่งถือเป็น DNA Handling ของ Ford มาในหลากหลายรุ่น การตอบสนองของระบบบังคับเลี้ยวยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ที่ความเร็วต่ำน้ำหนักแปรผันกับความเร็วได้เหมาะสม ให้ความคล่องตัว และที่ความเร็วสูงก็มีความหนืดหนักอย่างพอเหมาะ การขับขี่ที่ระดับความสูง 140 กม./ชม. ขึ้นไป พวงมาลัยยังให้ความหนักแน่นมั่นคง ซึ่งทำให้เรามีความมั่นใจแม้กระทั่งการขับขี่ที่ความเร็วสูง และการที่พวงมาลัยมีขนาดวงที่เล็ก จึงให้วงเลี้ยวที่คล่องตัวและแม่นยำ การเล่นโค้งต่อโค้งให้ความสนุกสนาน ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับการควบคุมพวงมาลัยในโค้ง ร่วมกับการใช้ปุ่มสวิทช์ +- ที่หัวเกียร์ด้วยแล้ว ทำให้การขับขี่ในโค้งลึกๆ หรือ โค้งหักซอก ซิกแซกต่างๆ ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้า มีการปรับจูนใหม่ให้รองรับกับน้ำหนักเครื่องยนต์ที่ลดลงกว่าเดิม และด้านหลังมีการเพิ่มบุช สำหรับดูดซับแรงกระแทก ซึ่งจากการใช้งานพบว่าช่วงล่างมีความกระชับเฟิร์มดี ไม่ถึงกับนิ่มนวลนั่งสบายนัก แต่ก็ไม่ได้กระด้าง การเล่นโค้งลงเขา ช่วงล่างที่ดีอยู่แล้ว ร่วมกับ Handling ที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเข้าโค้งต่อโค้งได้มั่นใจที่สุดในรถระดับเดียวกันนี้ แต่เมื่อเข้าโค้งแบบผิดไลน์ไปเล็กน้อยจะพบว่ามีอาการ Understeer (หน้าดื้อ) ออกให้เห็นเล็กน้อย แต่อาการน้อยกว่าโฉมเก่า นอกจากนั้นระบบ ESP ยังช่วยให้การทรงตัวของรถยังอยู่ในไลน์ได้ดี ไม่มีอาการโคลงเคลงถึงขั้นหวิวแบบสูญเสียความสมดุล นอกจากนั้นผู้เขียนได้ลองเล่น จังหวะเลี้ยวตามทางแยก ซึ่งซัดตามขบวนมาอย่างเร็ว ก่อนที่จะเบรก พร้อมโยนพวงมาลัยเข้า หวังให้มีอาการ สะบัดออกของตัวรถแบบพองาม แต่ผิดคาดไม่มีอาการใดๆ ออกให้เห็น เหลือแต่เพียง Grip การยึดเกาะถนนที่หนึบยังกะตุ๊กแก โดยเฉพาะยาง Continental ไซส์ 195/50/16 ตัวนี้ซึ่งยังใหม่ และให้การยึดเกาะได้อย่างดีเยี่ยม
ระบบเบรก แบบดิสก์เบรกในล้อคู่หน้า และดรัมเบรกสำหรับล้อคู่หลัง การตอบสนอง นั้นยังให้ความรู้สึกไม่น่าประทับใจ แป้นเบรกเซ็ตออกมาสำหรับคนเท้าเบา ขับขี่แบบธรรมดา ทั่วๆไป เนื่องจากในทริปนี้นักข่าวหลายท่านขับรถกันค่อนข้างเร็ว และในจังหวะเบรกที่ต่อท้ายกันเป็นขบวน มันดูจะไม่อยู่เท้านัก ต้องเบรกลงลึกกันจนหัวทิ่ม ซึ่งแนวทางแก้ไขที่น่าจะช่วยให้ดีขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เปลี่ยนผ้าเบรก และน่าจะใส่ดิสก์คู่หลังเพื่ออัพเกรดด้วย นอกจากนั้นการเซ็ตลักษณะของแป้นเบรกให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับสไตล์รถที่ขับขี่อย่างสนุกสนาน ดูน่าจะเหมาะสมกว่าด้วย
สรุป 2014 Ford Fiesta Ecoboost อย่ามองที่คำว่า Eco ขึ้นหน้า และเห็นเครื่องยนต์แค่ 3 สูบ 1000cc แล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็น Eco Car รถอืดๆ เพราะว่าหลังจากที่ผู้เขียนได้ลองขับ Ecoboost แล้วไม่แปลกใจเลยที่มันได้เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ถึง 2 ปีซ้อน เพราะสมรรถนะดีเกินคาดถือเป็น The Best in Class อย่างแท้จริง อัตราส่วนกำลัง/ความจุ ถือว่าทำได้น่าประทับใจในระดับ Supercar เลย เพราะแรงม้า/cc อยู่ที่ 0.125แรงม้า/cc (458 Italia อยู่ที่ 0.126แรงม้า/cc) ในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ คิดว่าน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Compact พิกัด 2.0 ได้ นอกจากนั้นอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ดีเยี่ยม ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงราคาที่จะเปิดตัวในงาน Motor Expo สิ้นเดือนนี้เท่านั้น เพราะจะนำมาทดแทน รุ่น 1.6 คงเหลือเพียงรุ่น 1.5 และ รุ่นท๊อป 1.0 Ecoboost เท่านั้น ทางเราคาดการณ์ ราคาน่าจะไม่ต่ำกว่ารุ่น Sport Ultimate ซึ่งถือเป็นรุ่น ท๊อปสุดของ Ford Fiesta 1.6 ดังนั้น ราคาควรจะอยู่ที่ 7.5 – 7.9 แสน ไม่ควรเกินนี้ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ราคาทับกันเองกับ Focus 1.6 ที่ราคาเริ่มต้นที่ 7.59 แสน ซึ่งยังไงก็คงต้องอดใจรอกันอีกนิด เพราะราคาจะเปิดตัวในงาน Motor Expo นี้อย่างแน่นอน
และที่สำคัญอย่าลืม ผมอยากให้ทุกคนมีโอกาสัมผัสเจ้า เครื่องยนต์ตัวนี้ด้วยตัวเองจริงๆ ว่ามันดีอย่างที่ผมพูดจริงหรือไม่
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น