หลังจากที่ Ducati Thailand ได้เปิดตัวรถใหม่ Ducati Hypermotard และ Hyperstrada รถสไตล์ Motard แบบ Fun To Ride พร้อมรองรับการขับขี่ในรูปแบบ Touring วันนี้ (7 พย. 2556) ทางเราได้รับเชิญไปทริปขี่ทดสอบ เจ้า Hyperstrada ตัวใหม่นี้ เป็นระยะทางกว่า 400 กม. เดินทางไป-กลับ โชว์รูม Ducati วิภาวดี – มวกเหล็ก สระบุรี
สำหรับการเดินทางในทริปนี้ ต้องขอขอบคุณ Ducati Thailand ที่ได้ให้เกียรติเชิญเราเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ออกทริป ขี่ทดสอบสุดมันส์ ในครั้งนี้ ประกอบ ไปด้วยรถ Hypestrada 7 คัน สำหรับสื่อมวลชน และ Hypermotard อีก 3 คัน ของพี่ Marshall ที่คอยดูแลเราเพื่อความปลอดภัยตลอดทริปนี้
เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า ได้มีการนัดหมายที่โชว์รูมวิภาวดี เพื่อบรีฟรายละเอียดของตัวรถ และระเบียบของการขับขี่เป็นขบวนในวันนี้ พร้อมถ่ายภาพหมู่ ก่อนเริ่มขบวนออกจากถนน วิภาวดี มุ่งหน้าไปยังสุทธิสาร โผล่เส้นรัชดาฯ เพื่อพบกับสภาพการจราจร ในตัวเมือง ให้ได้ลองใช้ Urban Mode ขับขี่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์รถติด และหลังจากนั้น ก็วิ่งวนกลับออกมาทางวิภาวดีอีกครั้ง มุ่งหน้าขาออกจากกรุงเทพฯ ตรงยาวออก ไปยังสระบุรี ซึ่งตั้งแต่ช่วงนี้ ได้ปรับเป็น Touring Mode แช่ยาวตลอด และในวันนี้ ฟ้าฝนก็เป็นใจได้ตกลงมาให้เป็นอุปสรรคในการขับขี่อีกด้วย ถึงแม้จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ที่ต้องกังวลนัก เนื่องจากระบบความปลอดภัย Ducati Safety Pack ซึ่งทำให้เราขับขี่กันได้อย่างมั่นใจเต็มที่
พูดถึงรูปลักษณ์ของ Ducati Hypermotard ผมจำความได้ว่า ได้รู้จักเจ้าปากนกตัวนี้ จากภาพยนตร์ เรื่อง Yes Man ปี 2008 ที่จิม แครี่ เล่น มีฉากขี่เจ้า Hypermotard แบบ Stunt โชว์สมรรถนะสุดเท่ห์ และตามมาตอกย้ำกันอีกครั้งจากเรื่อง Knight and Day ปี 2010 ซึ่งมันทำให้ผมชอบอยากได้มันมาก เพราะ Tom Cruise ขี่ลุยฉาก Action มันช่างดูเท่ห์สุดๆ แต่แล้วมารู้ทีหลังว่า เป็น Ducati ปลอม เพราะที่จริงมันคือ Aprilia SXV มาแต่งหลอกเป็น Hypermotard เท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง Ducati Hypermotard โฉมเก่านั้น ดูมีความดุดัน กว่าโฉมปัจจุบันนี้มาก ไล่ตั้งแต่ปั๊มบนลอยทั้ง 2 ฝั่ง (เบรกและคลัช), ท่อไอเสียคู่ออกท้าย, กระจกมองข้างที่พับได้บริเวณ ปลายแฮนด์ ทั้งหมดนี้ มันเท่ห์ โดนใจผมมากๆ แต่สำหรับ Ducati Hypermotard โฉมใหม่ปี 2013 นี้ ได้เปลี่ยนเป็นคลัชสาย และปั๊มเบรกแบบทั่วไป, ท่อไอเสียออกข้าง, กระจกมองข้าง ขนาดกระทัดรัดอยู่ตำแหน่งปกติ และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้รถ Motard นี้สามารถรองรับการใช้งานเดินทาง ทั้งใกล้และไกล จึงได้จัดแพ็ค เปลี่ยนร่างจากรถแนว Motard เป็น Touring โดยติดชิลด์บังลมหน้า, กระเป๋าข้าง มือจับสำหรับผู้ซ้อน, โช้คอัพหลังเดี่ยว ปรับ Preload และ Rebound ได้, ยาง Pirelli Scorpion, ขาตั้งคู่ พร้อมยกแฮนด์สูงขึ้นอีก 20mm ทั้งหมดนี้ช่วยให้วันหยุดเป็นไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งชุดเสริมทั้งหมดนี้ จ่ายเพิ่มจาก Hypermotard 50,000 บาท จะได้ชื่อว่าเป็น Hyperstrada คันนี้
เมื่อได้ลองคร่อม Hyperstrada พบว่าเบาะนั่งปาดลงแบบเอเชีย สเป็ก ที่มีความสูงเพียง 810mm (เตี้ยกว่าสเป็กยุโรป 20mm) ทำให้ส่วนสูง 174cm ของผม เกือบเหยียบได้เต็มเท้า มันไม่สูงจนควบคุมรถลำบากเกินไป ซึ่งถ้าใส่บูทส้นสูงๆ น่าจะเหยียบได้เต็มเท้า สำหรับการก้าวขึ้น-ลง จะลำบากเป็นพิเศษจากกระเป๋าข้าง ซึ่งจะต้องใช้วิธีเหยียบที่พักเท้าด้านซ้าย ก่อนหย่อนขาขวาลงไป และทำกลับกันขณะที่ก้าวลงจากรถ เล่นเอาเมื่อยเกร็งขาแข้งกันพอสมควร นอกจากนั้นขณะที่จอดรถก็พบกับความน่ารำคาญอย่างหนึ่ง เมื่อเตะขาตั้งข้างมักจะติดขาตั้งคู่ ซึ่งต้องค่อยๆ และระมัดระวังให้ขาตั้งข้างกางออกสนิทก่อนที่จะทิ้งน้ำหนักรถลงได้อย่างมั่นใจ สำหรับท่านั่งการขับขี่ บริเวณช่วงต้นขาดูไม่ค่อยกระชับกับตัวถังน้ำมันเท่าใดนัก เนื่องจากขนาดของเบาะนั่งที่ถูกปาดเว้าลง และดูกว้างไปเล็กน้อย เทียบกับขนาดสะโพกของผม ทำให้ไม่กระชับนัก แต่ ก็ไม่ได้เป็นปัญหา ในการขับขี่แต่อย่างใด และ แฮนด์บาร์ที่สูงขึ้นอีก 20mm ทำให้ขี่ได้อย่างไม่เมื่อยและควบคุมได้ง่าย เพราะในช่วงที่มีการจราจร ที่ยังพอมีช่องให้พอมุดได้ ด้วยตัวรถที่เพรียว และน้ำหนักไม่มาก จึงสามารถคุมรถได้อย่างไม่ยากเย็น เว้นเสียแต่ ช่องทางแคบเกิน ซึ่งจะต้องระมัดระวัง กระเป๋าข้าง ที่ยื่นออกมาให้ดี และอุปสรรคเดิมที่ผมพบ คือ ถึงแม้รถไม่หนักมากจนเกินไปเพียง 204 กก. แต่การเข็นรถถอยหลังขณะคร่อมรถที่ยังเหยียบได้ไม่เต็มเท้า ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่เช่นเดิม การลงจากรถแล้ว ค่อยพยุงเข็นจากด้านข้าง ดูจะง่ายกว่ากันมาก
ด้านขุมพลังขับเคลื่อนใหม่ แบบ L-Twin Testastretta 11 ° 821cc ระบบวาล์ว Desmodromic ได้มีการปรับเปลี่ยนจากแบบเดิมที่มีเพียง 2 วาล์ว/สูบ เป็น 4 วาล์ว/สูบ และเพิ่มหม้อน้ำ ช่วยในการระบายความร้อนที่ดีขึ้น ไม่ร้อนจนเกินไป (แต่ถึงอย่างไรก็ร้อนอยู่ดี เพียงติดเครื่องยนต์ 15 วินาที ไอร้อนจะมาสัมผัสบริเวณตาตุ่มเท้าขวาทันที) ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า@9,750rpm และแรงบิด 89Nm@7,500rpm เริ่มออกตัว กำคลัช เตะเกียร์ 1 เปิดคันเร่งเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงแรงฉุดของกำลังเครื่อง ที่มี Torque มาให้เล่นตั้งแต่ออกตัว หากเปิดคันเร่งหนักๆ รถออกตัวเหมือนม้าดีดกระโหลก สร้างความบันเทิงได้อย่างสนุกสนาน เหมาะกับการขับขี่แบบ Fun to Drive จริงจัง ในการเดินทางเริ่มต้นออกจากโชว์รูปกับ Urban Mode ก่อนโดยโหมดนี้ จะปล่อยแรงม้าสูงสุดเพียง 75 ตัว ซึ่งเพียงพอในการใช้แซงรถบ้านทั่วๆไป แต่ทว่า คันเร่งมันยังไม่ติดมือ ตอบสนองยังไม่มันนัก หลังจากฝ่าการจราจรในตัวเมือง กลับออกมาเส้นวิภาวดีอีกครั้ง จึงปรับมาใช้ Touring Mode โดยจะต้อง กดปุ่มที่ปิดไฟเลี้ยว เพื่อเลือก โหมด แล้ว ปิดคันเร่งลง ก่อนกดปุ่มค้างเอาไว้ เพื่อยืนยันโหมด ส่งผลให้สมรรถนะการขับขี่ออกมาเต็ม 110 แรงม้า แต่การตอบสนองความไวของคันเร่ง ยังไม่ปรู๊ดปร๊าดนัก จะมีจังหวะ หน่วงคันเร่งอยู่นิดๆ และตัดรอบหากลากรอบเครื่องยนต์สูงเกินไป เมื่อเปิดคันเร่งลากยาว ไปถึงช่วง 7,000rpm-8,000rpm ซึ่งเป็นช่วงที่แรงบิดสูงสุดเลยออกไปแล้ว ความรู้สึกถึงแรง G แบบมหาศาล ที่แทบจะพาพัดให้ร่างตกจากรถ ถ้าหากไม่จับแฮนด์บาร์ให้ดี ร่วมกับกระแสลมที่ปะทะ มันทำให้เราได้ระบายความอัดอั้นจาก การขับขี่รถที่มีสภาพการจราจรที่น่าเบื่อในตัวเมือง Enjoy Riding ได้อย่างเต็มเปี่ยม Torque มีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ จนถึง 5,000rpm ช่วงนี้ความเร็วจะขึ้นเร็วมาก สำหรับขับขี่แบบเดินทางทั่วๆไป รอบเครื่องเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะ 5,000rpm ความเร็วอยู่ 120 กม./ชม. แล้ว กับรถที่ทรงสูงท้าลมเช่นนี้ เมื่อลากรอบเครื่องยนต์ต่อไป เพื่อเค้นพลังออกมา พละกำลังเครื่องยนต์มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนราว 8,000rpm ซึ่งช่วงนี้กำลังเครื่องเริ่มอยู่ตัวแล้ว ตามสไตล์รถที่ Torque จัดจ้านตั้งแต่รอบต่ำ
สำหรับการขับขี่ในช่วงแรก ยังไม่ค่อยชินกับรถในสไตล์ Touring เพราะลมปะทะแรงเอาเรื่องตั้งแต่ความเร็ว 120 กม./ชม. ขึ้นไป และ ตั้งแต่ 140 กม./ชม. ขึ้นไป ต้องจัดสรรท่านั่งให้เหมาะสม เริ่มก้มหน้าให้กระแสลมไหลผ่านชิลด์บังลมผ่านไปยังหมวก แต่การนั่งแบบนี้ก็ไม่ถนัดอีก เนื่องจากเบาะ ปาดเว้าลงบล๊อกท่านั่ง ทำให้ไม่มามารถขยับตัวไปด้านหลัง และหมอบลำตัวลงชิดถังน้ำมัน ท่านั่งจึงดูแปลก ไปหน่อย กับแขนที่แบะออก เนื่องจากแฮนด์บาร์กว้าง แต่ยังคงต้องพยายามหุบแขนหนีบตัวถัง และก้มหน้าให้ชิดกับชิลด์บังลม ซึ่งไม่อยากคิดภาพท่านั่งตัวเองตอนนี้ คงดูตลกไม่น้อย ความเร็วที่ยืนพื้นกันในขบวน ขณะถนนโล่ง ก็อยู่กันที่ราว 150 กม./ชม. ไม่น้อยกว่า 140 กม./ชม.เป็นอย่างต่ำ และ Top Speed ที่ผมได้ลองบิดดู อยู่ที่ 190กม./ชม.+ ซึ่งถ้าไม่ยกคันเร่งก่อน มีได้เห็นทะลุ 200 แน่ สำหรับช่วงขากลับ ได้ลองเล่น Sport Mode ที่ถึงแม้กำลังจะออกมาที่ 110 ม้า เท่ากับ Touring Mode แต่การตอบสนองของคันเร่งดีกว่ามาก เปิดคันเร่งนิดเดียว ม้ามารออยู่ที่ข้อมือทันที บิดติดมือสุดๆ ขับขี่ได้อรรถรส แถมลากรอบได้ไม่ตัดอีกด้วย ซึ่งรู้อย่างนี้ น่าจะเปิด Sport Mode ตั้งแต่การขับขี่ในช่วงขามาตอนแรก การขับมุดสภาพกพการจราจรขาเข้า กทม. ที่รถเริ่มเยอะ ซึ่งต้องขับขี่แบบ ซิกแซก หลบหลีกรถ ตามพี่ๆ คันหน้า ช่างสนุกเร้าใจเสียจริง เพียงแช่เกียร์ 6 ตลอด ก็ สามารถแซงรถทุกคันได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่ต้องคำนวนในหัวให้เสียเวลา ว่าจะแซงพ้น หรือไม่ (เพียงแต่ต้องเผื่อช่องให้กระเป๋าข้างอีกหน่อยเท่านั้น)
ด้านอัตราสิ้นเปลือง ตาม Dashboard ค่าเฉลี่ยของการขับขี่อยู่ที่ 4.5 ลิตร/100 กม.(22 กม./ลิตร) เฉลี่ยทั้งทริป และ 4 ลิตร/100 กม. (25กม./ลิตร) จากค่า constant ขณะรักษาความเร็วที่ 100 กม./ชม. ซึ่งถือว่าประหยัดพอสมควรกับการซัดที่ความเร็วค่อนข้างโหด แบบนี้
ระบบเกียร์ 6 Speed ขับเคลื่อนด้วยโซ่ ใช้สเตอร์หน้าขนาด 15 ฟัน และ หลัง 45 ฟัน ใช้คลัชเปียกหลายแผ่นแบบ Wet Multiplate พร้อม Slipper Function และระบบ self-servo ซึ่งโมเดลนี้ปรับมาใช้เป็นคลัชสาย แทนคลัชน้ำมัน ในช่วงแรกผมมีปัญหา กับ คลัชเป็นอันมาก เนื่องจากพยายามปรับความแข็งของสายคลัช ด้วยตัวเอง แต่มันก็ยังนิ่มไปอยู่ดี ซึ่งต้องระมัดระวัง ในช่วงการออกตัว เพื่อไม่ให้รถดับ ก่อนที่ทาง Engineer จะมาช่วยตั้งให้มันแข็งขึ้นในระดับที่เหมาะสม และอีกสิ่งที่รู้สึกจะเป็นปัญหามาก คือ การเข้าเกียร์แข็งมาก งัดเกียร์ ตบเกียร์ ต้องใช้กำลังข้อเท้าพอสมควรเพื่อให้ลงล๊อคแกร๊ก ไม่มีช่วงฟรีของคันเกียร์เลย นอกจากนั้น เกียร์ N ก็หาเจอยากมาก ซึ่งผมใช้วิธี ดับเครื่องตั้งขาตั้ง และค่อยหาเกียร์ N ในช่วงนี้ ซึ่งง่ายกว่ากันมาก จนทาง Engineer แนะนำว่า ให้ใช้นิ้วทั้ง 4 กำคลัชจนสุด จะช่วยให้เข้าเกียร์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากคลัชนั้นค่อนข้าง Sensitive หากใช้เพียง 2 นิ้วกำคลัช อย่างที่ผมทำจะดูลำบาก เฮ้อ! และในบางจังหวะ การเข้าเกียร์ 4->5 และ 5->6 หลายครั้ง ที่ผมเข้าเกียร์พลาด ไปติดเป็นเกียร์ว่าง ซึ่งพี่นักข่าวท่านอื่น ก็น่าจะพบอาการเดียวกันอยู่บ้าง เนื่องจากบางจังหวะได้ยิน เสียงเบิลเครื่องทิ้ง ในจังหวะเปลี่ยนเกียร์เช่นกัน
สำหรับการใช้ E-Brake (ลดเกียร์) พบว่ามีแรงฉุดของกำลังเครื่องอยู่เล็กน้อย แบบพอสัมผัสได้ แต่ไม่ถึงกับล้อปัด Slip ออก ยกเว้นว่าไปทำ E-Brake ในโค้ง นั่นมีส่ายให้เห็นบ้าง แต่การที่มีระบบ DTC ช่วย จึงทำให้ไม่ออกมาน่ากลัวจนเกินไป
ระบบเบรก จานคู่หน้า ขนาด 320mm แบบ semi-floating คาลิปเปอร์ radially mounted Monobloc ของ Brembo 4 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS และจานหลังเดี่ยวขนาด 245mm คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ พร้อม ABS นี่ล่ะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับราคารถ ได้เบรก Monobloc จาก Brembo ถือว่าคุ้มค่ามาก การเบรกทำได้ดีมาก หน่วงความเร็ว ลงได้อย่างน่าประทับใจ ทันท่วงที ในจังหวะฉุกเฉินแทบจะไม่ต้องง้อ E-Brake ช่วยเลย เพราจังหวะ ที่ผมเข้าเกียร์พลาด ติดเกียร์ว่าง ทำให้รถไหลด้วยความเร็ว แต่เมื่อแตะก้านเบรก ความเร็วลดลงอย่างดีเยี่ยม จนไม่ต้องตกใจกลัวรถจะพุ่งไปสอย คันข้างหน้า ยิ่งการทำงานร่วมกับระบบ ABS ที่ปรับได้ 2 ระดับ จาก Bosch ระดับ 1 สำหรับ hi performance สำหรับ Sport Mode และ ระดับ 2 สำหรับ Touring และ Urban Mode ยิ่งทำให้กำเบรกได้อย่างหนักแน่น มั่นใจ และ ควบคุมตัวรถได้แม่นยำดีเยี่ยม
ระบบกันสะเทือน โช้คอัพคู่หน้าแบบ UpSideDown ขนาดแกน 43mm ช่วงล่างด้านหลัง ใช้สวิงอาร์มเดี่ยว แบบอลูมินัม ตามสไตล์ Ducati ร่วมกับ โช้คอัพหลังเดี่ยว Mono Shock ที่ปรับ Preload ของ สปริงได้ (Soft-Hard) ได้โดยการหมุน ปุ่มปรับที่อยู่ด้านซ้าย และยังสามารถปรับค่า Rebound Damping ได้ (การคืนตัวของโช้คอัพ) ทั้งหมดนี้ให้การยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี การขี่ที่ความเร็ว ระดับ 140 กม./ชม. เจอบริเวณรอยต่อของถนน หรือ เนินเล็กๆ บริเวณสะพานข้ามคลอง สามารถข้ามผ่านมันไปได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่มีอาการดีดเด้ง แบบรถจะเหิน นอกจากนั้นยาง Pirelli Scorpion Trail ที่เป็นยางแบบอเนกประสงค์ ทำให้ มันขี่ลุย ทางกึ่ง Offroad ได้อย่างดี หรือแม้กระทั่งขณะเจอฝน ก็ยังให่ Grip ที่ดีอยู่ ถึงแม้จะยังใช้ความเร็วสูงก็ตาม
สรุป Ducati Hyperstrada รถ Midsize Tourer สำหรับคนที่ไม่ต้องการ Fullsize Tourer อย่าง Multistrada โดยเการนำ Hypermotard มาแต่งเติมเสริมองค์ประกอบ ให้กลายเป็นรถสำหรับเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด สำหรับผม มันเป็นรถที่ยอดเยี่ยมด้านสมรรถนะ และเทคโนโลยี แถมขี่ได้สนุกติดมือมากใน Sport Mode (ไม่ชอบเพียงแต่เกียร์ที่แข็ง และหาเกียร์ N ยากเหลือเกิน) เมื่อเทียบกับราคา มันคงเป็นรถ Ducati ที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุด ณ ตอนนี้ เพราะในต่างประเทศ Hyperstrada ราคาแพงกว่า Triumph Tiger 800XC 2013 เสียอีก
แม้ว่าดีไซน์ความดุดันจะลดลงกว่าเดิม แต่สมรรถนะที่ดีเยี่ยมของขุมพลัง และการขับขี่ มันก็ยังเป็นรถที่ผมอยากได้ มาครอบครองอยู่ดีล่ะ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-Ducati-Hyperstrada-GroupTest-Pon/ และ http://photos.autospinn.com/2013-Ducati-Hyperstrada-GroupTest-PhotoTeam/
ความคิดเห็น