สำหรับในช่วง MT-School ในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบเทคโนโลยีของระบบส่องสว่างรถยนต์ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องมาตั้งแต่หลอดแบบไส้ธรรมดาก่อนที่จะกลายมาเป็นหลอดแบบ Halogen และที่ฮือฮาที่สุดกับแสงไฟแบบ HID หรือ Xenon เจ้าปัญหา จากนั้นเป็นยุคของไฟแบบ LED ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ รวมถึงเทคโนโลยีของไฟรถยนต์แบบอื่นๆ ที่เราจะได้ใช้กันในอนาคตอันใกล้..มาฝากกัน
โดยเริ่มต้นตามกระแสกับไฟแบบ LED ที่ย่อมาจากคำว่า (Light Emitting Diode) หรือ ไดโอดแบบเปล่งแสงได้ นับเป็นอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์แบบหนึ่งที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านและจะปล่อยแสงสว่างออกมาได้ ซึ่งมีใช้กันอยู่ทั่วไป แต่ถือเป็นนวัตกรรมเก่าที่เอามาเล่าใหม่อีกครั้งแบบจัดเต็มในแวดวงยานยนต์
จุดเด่นของหลอด LED นั้นอยู่ที่การให้พลังงานแสงสว่างได้ในระดับสูงถึง 70 ลูเมน/วัตต์ หรือสูงกว่าหลอดไฟแบบขดลวดที่มีประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างแค่15 ลูเมน/วัตต์ และจะให้แสงสว่างต่ำกว่าหลอดแบบ HID แต่จะได้เปรียบตรงที่แสงสว่างของ LED จะส่องไปเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น ดังนั้นประสิทธิภาพของ LED ที่ระดับ 70 ลูเมน/วัตต์ จึงนับว่าให้แสงสว่างในระดับใช้งานที่มากกว่าหลอด HID อีกทั้งยังเปิดแล้วติดทันทีโดยไม่ต้องรอเหมือน HID แถมยังกินไฟน้อยกว่าและที่สำคัญอายุการใช้งานยาวกว่ามาก
ไฟแบบ LED นั้นเริ่มมีการนำมาใช้ในวงการรถยนต์ ตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2000 โดยเริ่มใช้กับไฟท้าย ไฟเบรก และไฟเลี้ยวในรถหลายๆรุ่น และเริ่มพัฒนามาใช้เป็นตัวบอกตำแหน่งของรถที่เรียกกันว่า LED Daylight หรือ Daytime Running Light ซึ่งใช้อักษรย่อว่า (DRL)
ก่อนจะเริ่มนำมาใช้กับไฟหน้ารถยนต์กันแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ไฟหน้าแบบ Full LED Headlight หรือ LED Headlamp ที่มี Audi เป็นผู้บุกเบิกและนำเอาเทคโนโลยี LED แบบ Higher-performance discharge lamp มาใช้กับไฟหน้าและระบบส่องสว่างของรถทั้งคันอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ใน Audi A8 ที่นำเอาไฟต้นกำเนิดแสงแบบ LED ทั้งหมด 10 หลอดมาวางเรียงเกาะกลุ่ม เพื่อเปล่งแสงออกไปที่ระดับ 5,500 เคลวิน โดยให้สีและแสงสว่างใกล้เคียงกับแสงจากดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นปริมาณแสงที่ให้ทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่มากที่สุด
ซึ่งนอกจากข้อดีในเรื่องของแสงสว่างแล้ว การใช้ไฟ LED แทนไฟหน้านั้นยังสามารถออกแบบและดีไซน์ได้อย่างอิสระ ช่วยเพิ่มบุคลิกที่ดูเท่ห์ล้ำสมัย จนบรรดาค่ายรถต่างเริ่มหยิบเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อเพิ่มสีสันให้กับรถของตนเอง โดยระบบต่างๆทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะค่ายไหนก็ตาม ล้วนเป็นการนำเอาคุณสมบัติเด่นของหลอดแบบ LED มาพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในการส่องสว่างและฟังชั่นที่ล้ำสมัยอื่นๆ เพื่อตอบสองการขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งระบบที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับไฟหน้า LED ที่แพร่หลายมากที่สุด คือระบบ Addaptive Headlamp ที่สามารปรับระดับสูง/ต่ำ และปรับองศาตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัยได้อัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นระบบไฟรถยนต์รูปแบบใหม่ๆขึ้นมาโดยตลอด ไม่จะเป็นระบบไฟหน้าแบบ Dynamic High-Performance LED Headlamp หรือระบบ Adaptive Headlights ของ BMW รวมถึงทางฝั่งญี่ปุ่นก็มีเด่นๆให้เห็นจากค่าย Honda กับไฟหน้าแบบ Jewel Eye รวมถึงระบบส่องสว่างล่าสุดจาก Audi อย่างระบบ Matrix LED ที่เพิ่งเปิดตัวเทคโนโลยีไปหมาดๆเมื่อเดือนก่อน ซึ่งระบบนี้เป็นการนำเอาไฟ LED แบบ High-Beam ทั้งหมด 25 ดวง มาจัดเรียงไว้ด้วยกัน พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะการส่องสว่างอัตโนมัติ ที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างลงตัวด้วยลำแสงที่ส่องได้อย่างอิสระ โดยทำงานพ่วงกับระบบ GPS เพื่อปรับเปลี่ยนการส่องสว่างให้เป็นไปตามสภาวะการขับขี่ เช่น เข้าโค้ง หรือ เจอสิ่งกีดขวางไฟก็จะติดและดับเองตามความเหมาะสม
ซึ่งในอนาคตไฟ LED ที่เราเห็นว่าไฮเทคในตอนนี้ อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอื่นๆที่ตอบสนองการใช้งานได้ดียิ่งๆขึ้นไป ซึ่งล่าสุดก็มีระบบไฟแบบใหม่ๆ อย่างไฟหน้าแบบ Laser หรือ OLED ซึ่งย่อมาจาก (Organic Light Emitting Diode) มาใช้กับไฟท้ายของ Audi ตัวคอนเซ็ป The Swarmเช่นเดียวกับ BMW i8 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่ใช้ไฟหน้าแบบ Laser Headlamp ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือสามารถส่องผ่านทัศนวิสัยที่เป็นศูนย์ ได้แบบทะลุทะลวง และยังปรับเปลี่ยนรูปทรงได้อย่างอิสระ ซึ่งนี่ถือเป็นเทคโนโลยีเด่นๆล่าสุด ของระบบส่องสว่างรถยนต์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้
ซึ่งถ้ามีเทคโนโลยีเกี่ยวกับรถยนต์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีก รับรองว่า MT-School ไม่พลาดที่จะนำมาฝากกันอีกแน่นอน โปรดติดตาม..
เรื่องโดย : อาณัติ สุทธิบุตร
ความคิดเห็น