ต่อเนื่องจาก เมื่อวานที่เราได้ลง รีวิว Mazda CX-5 รุ่น เบนซิน 2.5 ลิตร กันไปแล้ว วันนี้จะมาต่อกันด้วย 2.0 S ซึ่งเป็นรุ่นท๊อป ของเครื่องยนต์ 2.0 เบนซินกัน ซึ่งผมได้นั่ง + นอนโดยสาร สัมผัสอยู่กับมัน เต็มๆ ในวันขาขับกลับ กทม. อีกด้วย
เนื่องจาก ในวันขากลับ ทางเราได้ขับ 2.0 S คันสีบรอนซ์ หมายเลข 07 คันเดิม ออกจากที่พัก เพื่อกลับมายัง โรงแรม Imperial Queen Park ซึ่งในวันนี้ผมมีอาการวิงเวียนศรีษะ รู้สึกไม่สบาย จึงได้ให้เพื่อนสื่อ ที่ขับคันเดียวกัน ขับยาวแบบม้วนเดียวจบ โดยผมได้ลองทั้งนั่ง และ นอน โดยสารในเบาะหน้า และเบาะหลัง ซึ่งทำให้ได้รับรู้มุมมองจากการโดยสาร เจ้า CX-5 นี้มากขึ้น
เริ่มตั้งแต่ เบาะนั่งนั้น มันแข็งมาก ถึงแม้เบาะหนังสีดำ ด้ายแดง จะดูดี แต่การที่ต้องเอนเบาะนอนโดยสารในตอนหน้า มันช่างรู้สึกอึดอัด มากจนนอนไม่ลง ร่วมกับพนักศรีษะ ที่มีองศาเอนเข้าหาลำคอมาก จึงทำให้รู้สึกไม่สบายช่วงท้ายทอย จนสุดท้ายต้องปรับเบาะเอนขึ้นมานั่ง ก่อนที่จะแวะปั๊มเติมน้ำมัน แล้วกระโดดไปนั่งๆ นอนๆ ที่เบาะหลัง
เมื่อกระโดดเข้ามาที่เบาะหลัง จะพบว่า พื้นที่โดยสาร ดูจะแคบกว่าเพื่อน จะมีพื้นที่อยู่ในระดับรถ Compact Car เท่านั้น ซึ่ง รถ Compact Car บางรุ่น ก็ยังมีพื้นที่กว้างขวาง และนั่งสบายกว่า ในเบาะตอนหลังนั้น ผมต้องนั่งตรงกลาง เพื่อให้มีพื้นที่ในการเหยียดขาออกไป ด้านข้างลำตัวได้มากกว่า ด้านซ้าย-ขวา และนั่นก็ยังรู้สึกไม่สบายต่อการที่จะนำศรีษะพิงพนัก และหลับไปอยู่ดี ผมจึงเลือกที่จะ เอนตัวลงนอน เหยียดยาว และขดขาเข้ามา ซึ่งก็ยังคงทำใจกับเรื่องเบาะแข็งอยู่ดี แต่ทว่ากลับรู้สึกว่า ช่วงล่างมันสบายกว่าที่คิดพอสมควร ถึงแม้ว่า การยืดหยุ่นของช่วงล่าง ในระยะยุบและคลายตัว ของโช้คอัพ จะไม่สูงมาก แต่การดูดซับแรงของตัวถัง ถือว่าทำได้ดี ผมไม่รู้สึกถึงอาการวิงเวียน และปวดศรีษะ จากการเคลื่อนตัวของช่วงล่างตามสภาพถนน และในการเบรก ถึงแม้ว่าการเบรกนั้น จะดูไม่อยู่เท้านัก แต่นั่น เป็นสาเหตุที่ทำให้ มันเบรกออกมาได้อย่างนุ่มนวล ไม่ทำให้รู้สึกหัวทิ่มลงจากเบาะแต่อย่างใด
ด้วยการที่มีโอกาสมานั่งๆ นอนๆ ในเบาะตอนหลัง มันทำให้ผมรับรู้ว่า รุ่น 2.0 มันนั่งสบาย พอสมควรนะ ถ้าไม่ติดในเรื่องของพื้นที่โดยสารที่ดูจะแคบไปสักหน่อย และเบาะที่กระชับลำตัวจริง แต่แข็งเอาเรื่อง
ขอกลับมาถึงสมรรถนะ เครื่องยนต์ Skyactiv 2.0 ลิตร กัน เครื่องบล๊อกนี้ ถือเป็นเครื่องยนต์มีกำลังสูงที่สุดในโลกที่ 14:1 ให้พละกำลัง 165 แรงม้า และแรงบิด 210Nm มีอัตราสิ้นเปลืองตามเคลมอยู่ที่ 16.4 กม./ลิตร
ด้วยความที่ในวันแรก ผมเริ่มต้นขับในรุ่น 2.5 ก่อน แล้วจึงมาขับรุ่น 2.0 นั่นทำให้ ผมรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่า เครื่องยนต์ 2.0 Skyactiv นี้จะมีพละกำลังสูงสุดกว่า เพื่อนใน SUV พิกัด 2.0 แต่ทว่า มันไม่ได้แรงกว่าเพื่อนสักเท่าใดนัก แต่ถ้าขับลากใช้รอบเครื่องสูงในระดับ 4,000-5,000rpm ซึ่งนั่นเป็นช่วงที่ให้กำลังแรงบิดสูงสุด และแรงม้าเกือบทั้งคอกออกมาแล้ว ยังถือว่ารถนั้นพอมีพละกำลังให้ใช้ สำหรับฉุดลากน้ำหนักตัวกว่า ตันครึ่ง ได้อย่างไม่น่าเกลียดนัก ซึ่งการออกตัวที่ขาดความกระฉับกระเฉง นั่นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก การตอบสนองของลิ้นคันเร่งที่เปิดช้า ด้วยการควบคุมของระบบคันเร่งไฟฟ้า Drive by Wire ที่ถูกสั่งการมาให้ตอบสนองเช่นนี้ เพื่อการขับขี่ที่ประหยัด เหมือนกับรถหลายรุ่นที่มีโหมด Eco ให้กด ซึ่งจะแตกต่างกับตัว 2.5 ที่ คันเร่งตอบสนองได้ฉับไวกว่า และในขณะที่ผมเป็นผู้โดยสาร เพื่อนสื่อที่เป็นผู้ขับ ได้เร่งเครื่องในช่วงความเร็วกลางขึ้นไป ในระดับ 130 กม./ชม. เข็มวัดความเร็วจะค่อยๆ กวาดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไหลได้เรื่อยๆ แบบเนือยๆ ไปค้างที่ 180 กม./ชม. และทำได้สูงสุดเพียงเท่านี้ ในเกียร์ 5
สำหรับคำถามที่ว่า 2.0 นี้เพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ และใครหลาย คนพูดกันว่า พอ นั่นผมอาจเห็นด้วย ถ้าเกิดผู้ขับขี่เป็นผู้ที่ใช้งานแบบขับเรื่อยๆ ชิลๆ แทบจะไม่เร่งแซง แต่สำหรับผม ซื้อรถในระดับนี้ ผมเชื่อว่าหลายคน คงต้องนำมันไปเดินทางไกล ท่องเที่ยว ต่างจังหวัดกันบ้างล่ะ แล้วถ้าหากคุณต้องตามก้น รถ 10 ล้อ หรือ กะบะ บรรทุก ทรายเต็มคันรถ คุณจะไม่แซง จะยอมตามก้น ให้เศษดินทราย กระเด็นตกใส่รถ SUV ราคาหลักล้านของคุณอยู่ตลอดเป็นเวลานานหรือไม่ ซี่งผมเชื่อว่า คงไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น และนี่ล่ะ คือเวลา ที่ฝูงม้าทั้งคอก ควรได้รับการปลดปล่อย แต่ถ้าคุณจะต้องตบเกียร์มาที่ตำแหน่ง M และ ดันคันเกียร์ – ลงไป เพื่อรอ ใช้รอบเครื่องในระดับ 4,000rpm ขึ้นไปเพื่อการแซง และดีไม่ดี เกียร์มันลดลงได้ไม่เพียงพอที่จะให้กำลังในการเร่งแซง แถมต้องมานั่งทำบ่อยๆ ที่จะแซง หรือผู้ที่ไม่สนใจ อาจขับใน โหมด D ยาว และใช้ การ Kick Down เพียงอย่างเดียว นั่นคุณต้องกะระยะ และประเมินรถตัวเองให้ดี ซึ่งนี่เป็นอีกสิ่งที่อย่าลืมคิดด้วยว่า ถ้าเจอเหตุการณ์เหล่านี้ แล้วคุณจะเลือกอย่างไร ใจเย็นๆ ค่อยไป เดี๋ยวมีจังหวะค่อยแซง นั่น ok 2.0 ถือเป็นรถที่เหมาะสมกับคุณอย่างแท้จริง แต่สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ที่รัก และชอบในแบรนด์ Mazda อาจเฟ้นหากำลังเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะอย่างเต็มเปี่ยม ที่พวกเขาควรจะพึงได้รับมา และขับขี่ได้อย่างสนุกสนานไม่เหนื่อยจนเกินไป
สำหรับในด้านระบบส่งกำลัง จะแตกต่างกันแค่เพียง อัตราทดเฟืองท้าย ในรุ่น 2.0 อยู่ที่ 4.624 ขณะที่รุ่น 2.5 อยู่ที่ 4.325 ซึ่งการที่อัตราทดเฟืองท้ายของตัว 2.0 อยู่สูงกว่า เล็กน้อยทำให้ ที่ความเร็วเท่ากัน รอบเครื่องก็จะใช้สูงกว่าอยู่นิดหน่อย จากที่เราได้มองดู ความเร็ว 100 กม./ชม. = 2,000rpm ในขณะที่ 2.5 จะอยู่เพียง 1,900rpm ซึ่งการเลือกใช้อัตราทดที่สูงกว่า น่าจะเป็นผลเพื่อให้การออกตัวในตีนต้นดีขึ้นเล็กน้อย
ในด้านของระบบช่วงล่าง ได้มีการปรับให้แตกต่างกับรุ่น 2.5 คือ ขนาดของสปริงและ โช้คอัพ จะใช้ขนาดไม่เท่ากัน เพื่อรองรับน้ำหนักของรถที่แตกต่างกัน และเพื่อความนุ่มนวลที่มากขึ้นกว่ารุ่น 2.5 และอีกจุดที่สำคัญ ที่ช่วยให้ความนุ่มนวล คือ ล้ออัลลอย ขอบ 17” สวมยาง Goodyear Wrangler ไซส์ 225/65/17 ขณะที่รุ่น 2.5 สวมยาง Toyo Proxes ไซส์ 225/55/19 การที่ใส่ยางแก้มสูงกว่า 10มม. ส่งผลให้นุ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ด้านการยึดเกาะแทบจะไม่แตกต่างกันนัก เนื่องจากความกว้างของล้อ เท่ากัน และใส่ยางขนาด 225มม. เท่ากัน ในช่วงความเร็วสูงอาจรู้สึกว่า 2.5 จะนิ่งกว่าอยู่เล็กน้อย ซึ่งมีผลจากน้ำหนักพวงมาลัยที่ต่างกันด้วย พวงมาลัย 2.0 น้ำหนักจะเบากว่า จึงทำให้การควบคุมที่ความเร็วสูง จะต้องประคองพวงมาลัยให้กระชับแน่นยิ่งกว่า
สรุป Mazda CX-5 2.0 S เป็นรถ SUV ที่ ออปชั่น โดยรวมเหมาะสมกับราคา 1.3 ล้าน เพราะได้ออปชั่นและเทคโนโลยี ในระดับเดียวกับ 2.5 ลิตร แต่ด้วยความที่ผู้จะเครื่องยนต์ไซส์นี้ คงเน้นการขับขี่ที่สะดวกสบายมากกว่า การขับขี่แบบมีอรรถรส แต่นั่น เอง อาจเป็นคำตอบที่ดูขัดแย้งกัน ไปสักหน่อย เนื่องจาก ผู้ที่นั่งสบาย คงอยากได้ พื้นที่โดยสารที่กว้างขวางกว่านี้ และอาจไม่ต้องการเทคโนโลยีมากมาย หรืออาจจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบ ในดีไซน์ของ Mazda เพียงอย่างเดียวก็ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ยอดขายโดยรวมกว่า 40% กินไปทาง เครื่องดีเซล ที่มีสมรรถนะสูง และตามมาด้วย เบนซิน 2.5 ในขณะที่ 2.0 ลิตรนี้ จะทำยอดขายได้น้อยกว่าเพื่อน ซึ่งผมคิดว่า คุณผู้หญิง ที่อยากมีรถอเนกประสงค์สักคัน ควรจะได้ลองขับมันก่อน ที่จะตัดสินใจกันอีกสักครั้ง เพราะมันจะพิสูจน์ว่า คุณ รักและชอบแบรนด์ Mazda และเทคโนโลยี Skyactiv อย่างแท้จริง หรือไม่
ชมภาพเพิ่มเติม http://photos.autospinn.com/2013-Mazda-CX5-Gasoline-GroupTest/
ขอขอบคุณ Mazda เซลล์ ประเทศไทย สำหรับการเชิญไปร่วมทดสอบในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น