เมื่อช่วงต้นปี 2012 Kawasaki Z1000 ตัว Special Edition ในบ้านเรา มีสนนราคาอยู่ที่ 6.6 แสน จนเลยผ่านมาช่วงกลางปี Kawasaki ได้ทำช๊อค ลดราคาลง 1.1 แสน เหลือ 5.5 แสนบาท และในวันนั้นเองขณะที่ ผมอยู่ที่งานของ Ducati เปิดโชว์รูมแห่งใหม่ที่วิภาวดี พร้อมเปิด Hypermotard และ Hyperstrada จู่ๆ Kawasaki ไทยเรา ก็เปิดตัว Ninja 1000 (Z1000SX) โดยมิได้นัดหมายหมาย และราคานั้น อยู่ที่ 6.29 แสน เล่นเอา งงไปเล็กๆน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร พอเดาเกมกันออกว่า ต้องมีการเปิดตัวรถอะไรเพิ่ม อีกสัก รุ่น 2 รุ่นก่อนจะสิ้นปี จนมาถึงปลายปี ก็มีข่าวมาว่า เตรียมพบ Z1000 โฉมใหม่กันได้ในงาน EICMA International Motorcycle Show ที่เมือง Milan ประเทศอิตาลี ซึ่งทาง Kawasaki ได้เปิดตัวรถ โมเดลใหม่ 2 รุ่น คือ Z1000 โฉมใหม่ และ J300 และถัดมา ไม่ถึงเดือนที่ปลายปี ในงาน Motor Expo 2013 บ้านเรา Kawasaki ก็ได้นำ Z1000 โฉมใหม่มาให้คนไทยได้ยลโฉมกันในราคา 5.99 แสนบาทเท่านั้น
หลังการมาของ Z1000 โฉมใหม่ ที่ดูหน้าตาแปลกประหลาดไปหน่อย ซึ่งทาง Kawasaki ได้เรียกมันว่า การดีไซน์ออกแบบ ตามแนวทาง “Sugomi” หรือ วิถีชีวิตของสัตว์กินเนื้อ ที่จะจ้องคอยสะกดรอยตามเหยื่อ ก่อนที่จะ พุ่งเป้า เข้าตะครุบ เหยื่ออย่างทรงพละกำลัง ไฟหน้าแบบ โคมโปรเจ็คเตอร์คู่ LED เทคโนโลยีที่มีในรถยนต์หรูเท่านั้น ในขณะที่ไฟท้ายเน้นให้ตูดแหลมยิ่งขึ้น เป็นไฟ LED เช่นกัน นั่นทำให้ผมอยากที่จะลองขี่มันโดยเร็ว จนเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ได้มีรถ Demo ให้เราลองขี่กัน แต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ก็ยังไม่ได้มีโอกาสสักที จนมาวันนี้ เลยแวะเข้าไปเยี่ยมขอลองกันสักหน่อยล่ะ
สำหรับในการลองขี่เล่นแบบ 1st Impression ครั้งนี้ ขอขอบคุณ Kawasaki Motors สำหรับการให้ลองทดสอบเจ้าหน้าเอเลี่ยน 2014 Kawasaki Z1000 โฉมใหม่ ซึ่งในบ้านเราเป็น Special Edition คือลายสีเทา-เขียว (นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมเรียกว่าเอเลี่ยน) ถ้าเป็น Z1000 ปกติ ในต่างประเทศจะมีสีดำล้วน และสีส้มดำ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทำได้เพียงวนรอบลานจอดรถ ด้านหน้าศูนย์เท่านั้น เนื่องจากทางด้านหลังกำลังก่อสร้างสนามอยู่ จึงทำให้เราขี่ได้เพียงลากเกียร์ 2 เท่านั้น
หลังจาก ได้ลองนั่งคร่อมๆ ดู ภายในงาน Motor Expo กันมาแล้ว Z1000 ใหม่นี้ดู มีขนาดตัวใหญ่เหมือนเดิม แต่การใช้เฟรมอลูมีเนียม ทำให้ได้น้ำหนักตัวอยู่ที่ 221 กก. ซึ่งยังพอควบคุมได้อย่างคล่องตัวมากกว่า ทั้ง Z800 และ Ninja1000 อีกทั้งเจ้าเอเลี่ยนนี้ มีความสูงเบาะ 815mm (เตี้ยกว่า Ninja 1000 5mm) กับส่วนสูงของผม 174cm สามารถนั่งคร่อมรถและเหยียบได้อย่างเต็มเท้า เมื่อใส่รองเท้าผ้าใบ และถ้าหากใส่บูทสามารถเหยียบได้อย่างเต็มเท้าโดย ที่ขาไม่ตึงจนเกินไป เมื่อบิดกุญแจสตาร์ทรถ และลองจิ้มเล่นที่มาตรวัด พบว่าไม่มีเมนูอะไรให้เล่นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะคันนี้ไม่ใช่คันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire และนั่นเอง มันไม่สามารถปรับ Traction Control ได้เพราะมันไม่มี และไม่มีโหมดพละกำลังเครื่องยนต์ให้ปรับอีกด้วย Full, Low อย่างที่มี ใน Ninja 1000 แต่ยังคงมีไฟ Eco ขึ้น หากเปิดคันเร่งออกตัวช้าๆ ขับไปตามรอบที่เหมาะสม เช่นเดียวกับ Ninja300, Z250, Z800
หลังจากกำคลัช พร้อมเตะเกียร์ 1 (คลัชมีน้ำหนัก พอประมาณ) เพียงแค่ปล่อยคลัชรถก็พร้อมพุ่งกระโจนไปข้างหน้า ทันที แต่เมื่อเปิดคันเร่งนิดๆ รถยังคงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างนิ่ม นุ่มนวล ตามสไตล์ของรถ 4 สูบ ซึ่งไม่กระโดด ให้ฟีลดิบๆ แบบ 2 หรือ 3 สูบ เมื่อเปิดคันเร่งรอบเครื่องจะไล่ขึ้นในแนวตั้ง จนถึง 4,000rpm รอบจะวิ่งเป็นแนวนอนตามแถบไฟแสงสีขาวที่อยู่ด้านบน แต่จากการลองวนขี่ในครั้งนี้ แทบจะไม่ได้มีโอกาสเห็น แสงสีขาววิ่งขึ้นเลย ถ้าไม่ลากเกียร์ 1 ซึ่ง การลากเกียร์ 1 แล้วพับเลี้ยวตามมุมโค้ง ดูจะไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะ Engine จะดึงรอบเครื่องมากจนเกินไปทำให้การเลี้ยวนั้นดูจะบาลานซ์ไม่ดีนัก จึงลากเกียร์ 2 วนเพียงอย่างเดียว โดยรวมดูจะทำการพับเลี้ยวได้ง่ายขึ้นกว่า Z800 จากสรีระของท่านั่ง และตำแหน่งเบาะ ที่นั่งสบายยิ่งขึ้น และน้ำหนักตัวที่เบากว่า ทำให้ดูการทรงตัวบาลานซ์ดีกว่า
สำหรับช่วงล่างและการเบรก ซึ่งดูแทบจะไม่ได้ทดสอบอะไรกันมาก ฟีลลิ่งใกล้เคียงกับ Ninja 1000 เพราะใช้โช้คอัพแบบเดียวกัน แตกต่างที่ Ninja 1000 โช้คอัพหลังมีกระบอกให้หมุนปรับ Spring Preload ได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้านเบรกก็เหมือนกัน ต่างกันเพียงขนาดจานดิสก์คู่หน้า ที่ใช้ 310mm ใหญ่กว่า Ninja 1000 อยู่ 10mm ถึงแม้จะจานใหญ่จะใหญ่ขึ้น ในด้านของยางจะสวมขนาดเท่ากัน คือ 120/190 หน้า/หลัง แต่ซีรีย์ยางต่างกัน Ninja 1000 ใช้ Bridgestone Batlax Z1000 สวม Dunlop D214 รุ่นใหม่ สำหรับ Z1000 ตัวนี้โดยเฉพาะ
สรุปเบื้องต้น 5.99 แสน กับ 2014 Kawasaki Z1000 โฉมใหม่ หน้าเอเลี่ยนนี้ ทำราคาถูกกว่า Ninja 1000 อยู่ 30,000 บาท แต่ถูกตัด Traction Control และโหมดพละกำลังเครื่องยนต์ ไป แลกกับ ดีไซน์ Naked แบบใหม่ไม่เหมือนใคร นั่นคือสิ่งที่คุณต้องเลือก การขับขี่น่าจะเหมาะแก่การใช้งานในตัวเมือง มากกว่า Z800 ด้วยซ้ำไป จากน้ำหนักตัวที่เบากว่า เตี้ยกว่า และท่านั่งที่ทำให้การเลี้ยว หรือ ซอกแซก ทำได้ง่ายกว่าเล็กน้อย และที่สำคัญมันดูขี่ง่าย กว่ารถแบรนด์ยุโรป เช่นเคย สำหรับพละกำลัง เครื่องและสมรรถนะ ไว้เราคงต้องขอยืมมาทดสอบกันต่างหากอีกที ในไม่ช้า
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น