ในช่วงปลายปี 2012 ทาง Motorimage ได้เปิดตัวรถ Subaru XV Crossover คันใหม่ของค่าย ในงาน Motor Expo 2012 ซึ่งเป็นรถประกอบจากเพื่อนบ้านเรามาเลเซีย โดยนำเข้ามาขาย ที่ราคา 1.35 ล้านบาท และเจ้า XV นี้เองที่เป็นพระเอกช่วยดันยอดขายของ Subaru ให้กลับมาโตแบบก้าวกระโดด จนทำให้ทาง Motorimage ยิ้มกันได้อย่างแก้มปริ
ถัดมาเมื่อกลางปีที่แล้ว ในเดือน กค. มีงาน Fast Auto Show Thailand 2013 ซึ่งเป็นมหกรรมแสดงรถยนต์ ที่ดูจะเน้นการขายของรถมือ 2 แต่ Motorimage ได้เดินหน้ารุกตลาดในประเทศไทยต่อ ด้วยการนำเข้ารถ SUV คันใหม่จากญี่ปุ่น โดยจะมาทำตลาดในระดับสูงกว่า Subaru XV นั่นคือ Subaru Forester เจ้าป่าขาลุยโฉมใหม่ เจนเนอเรชั่น 4 โดยนำเข้ามา 2 รุ่น ได้แก่ 2.0i-L ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ NA (ไร้ระบบอัดอากาศ) ราคา 1.89 ล้านบาท และ 2.0XT เครื่องยนต์ Direct-Inject Turbo ราคา 2.42 ล้านบาท มากับ สีที่มีให้เลือกมากถึง 9 สี ได้แก่ สีขาว Satin White Pearl, สีเงิน Ice Silver Metallic, สีเขียว Jasmine Green Matallic, สีน้ำเงิน Marine Blue Metallic, สีบรอนซ์ Burnished Bronze Metallic, สีแดง Venetian Red Pearl, สีแอง Deep Cherry Pearl, สีเทา Dark Grey Metallic และสีดำ Crystal Black Silica
All New Subaru Forester นี้ยังได้รับรางวัล SUV of The Year 2014 จาก Motortrend อีกด้วย โดย Forester ใหม่นี้ได้มีลูกเล่นที่สำคัญเพิ่ม คือ เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนใหม่ ได้แก่ X-Mode ที่มากับระบบ SI-Drive และวันนี้ทางเราได้มีโอกาสทดสอบ เจ้าป่าใหญ่หัวใจผูกโบคันนี้ จะมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมสมรางวัลการันตี SUV of The Year 2014 มากน้อยเพียงใด มาดูกันได้เลย
รูปลักษณ์ภายนอก Subaru Forester นี้ ดูมีรูปลักษณ์การดีไซน์ มาในแนวทางเดียวกับ XV, Impreza คือ มีไฟหน้าที่รูปทรงคล้ายกัน และกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูเช่นเดียวกัน เมื่อมองจากทางด้านหน้าให้ความรู้สึกดุดัน กว่า Subaru XV โดยเฉพาะกันชนหน้าทรงสปอร์ต ดูเหมือนมีช่องระบายอากาศข้างไฟตัดหมอก ช่วยเสริมความดุยิ่งขึ้นกว่ารุ่น 2.0i-L สำหรับด้านหลังอาจดูเรียบไปนิด มีสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่สามมาให้ พร้อมปลายท่อออกคู่ (ถ้าใส่ปลายท่อขนาดใหญ่คงดูสปอร์ตยิ่งขึ้น) ล้อใส่ขนาด 18” หุ้มยางขนาด 225/55/18
บนหลังคาติดตั้ง Sunroof หลังคาแก้วแบบเปิดกว้างถึงเบาะตอนหลัง และติดตั้งราวหลังคาบรรทุกของได้ โคมไฟหน้าจะมีไฟ DRL อยู่ภายใน พร้อมระบบฉีดล้างไฟหน้า โดยใช้หลอด HID ปรับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ มาพร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
รูปโฉมภายใน หลังจากเปิดประตูด้วยระบบ Keyless เข้ามา จะพบภายในสีดำ ใช้วัสดุเบาะหนัง ดูเรียบมากไร้ลูกเล่น ตรงแผงคอนโซลด้านหน้า มองผ่านๆ ดูเหมือน Subaru XV ด้านบนจะพบจอ MID แสดงผลแบบอัจฉริยะ บอกข้อมูลได้ละเอียด ทั้งอัตราสิ้นเปลือง ระบบการทำงาน X-Mode แยกแต่ละล้อ % การกดคันเร่ง และแรงดันของเทอร์โบ ซึ่งจอนี้ยังเชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลังด้วย เครื่องเสียงใช้ของดี Harman/Kardon กำลังขับ 400W มาพร้อมลำโพง 8 ตัว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ พวงมาลัยแบบ Multifunction พร้อมปุ่มเชื่อมต่อโทรศัพท์, ปุ่ม Cruise Control และ SI-Drive เบาะไฟฟ้าคู่หน้า ไม่มีตัวดันหลังให้ มีปุ่มเปิดฝาท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมความจำระดับมีปุ่มกดปิดฝาท้ายลงเองอัตโนมัติ ระบบเครื่องปรับอากาศ Dual-Zone แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแอร์ตอนหลัง เบาะหลังสามารถพับได้ 60/40 2 วิธี ทั้งจากการดึงสลักที่ตัวเบาะ หรือ การกดปุ่ม 1 touch folding ที่อยู่บริเวณพื้นที่เก็บสัมภาระ แถมด้วย ราวมีเนียมผ้าใบคั่นกลางห้องสัมภาระ ซึ่งถอดออกได้
ด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ทาง Motorimage ได้นำเข้า Forester มาใน 2 รุ่นเครื่องยนต์ ให้คนไทยได้เลือก คือ 2.0i ไร้ระบบอัดอากาศ เป็นเครื่องยนต์บล๊อกเดียวกับ Subaru XV และ 2.0 Di-Turbo คันนี้ แต่ทางฝั่ง US จะทำตลาดในรุ่น 2.5i 170 แรงม้า แทนรุ่น 2.0i
กลับมาที่เครื่องยนต์ ในรุ่น 2.0XT คันนี้ ที่จริงแล้วมัน คือ เครื่องยนต์เดียวกับ Impreza ตัวแรง WRX บล๊อก FA20 Boxer 4 สูบ Direct-Inject Turbo Intercooler มีความจุ 1,998cc ให้กำลังสูงสุด 240 แรงม้า@ 5,600 rpm แรงบิดสูงสุด ถึง 350Nm@2,400 - 3,600rpm
Forester 2.0XT คันนี้ มากับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ SI-Drive และ X-Mode (SI-Mode ขอยกไปพูดในส่วนของระบบส่งกำลัง)
X-Mode นี้ ถือเป็นการทำมาเพื่อเอาใจคอลุย โดยเฉพาะ เป็นระบบช่วยในการขับเคลื่อนบนถนนที่สภาพแย่, ทางลื่น, ทางลูกรัง หรือแม้แต่ที่ๆมีความชันสูง เมื่อกดปุ่มนี้ ระบบขับเคลื่อนจะควบคุมการส่งถ่ายกำลังไปยังล้อทั้งสี่โดยอัตโนมัติ และ HDC (ระบบควบคุมขณะลงทางชัน) จะทำงานโดยอัตโนมัติ เช่นกัน แถมพวงมาลัยจะมีความมั่นคงมากขึ้น ต่อการขับผ่านพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยรักษาสมดุลของล้อทั้งสี่ ให้ส่งถ่ายกำลังได้อย่างเต็มที่ ไม่เกิดการฟรีทิ้ง ซึ่งระบบนี้ช่วยให้เราเดินทางบนผิวขรุขระได้อย่างมั่นใจขึ้น ขับบนทางฝุ่นในระดับ 80-90 กม./ชม. ได้อย่างสบายๆ และการไต่เนินบนทางเขา ไม่ต้องกลัวว่าจะตกหลุ่ม ล้อฟรี จนปีนไม่ขึ้น เพราะ X-Mode นี้ มีความชาญฉลาดสูง ไม่แพ้รถยุโรปเลยทีเดียว
ในด้านการขับขี่ เครื่องยนต์มีกำลังแบบเหลือเฟือ ต่อการใช้งานในตัวเมือง ซึ่งแรงบิดมีมาให้ใช้ตั้งแต่ก่อน 3,000rpm และการเดินทางที่ความเร็วสูง เครื่องยนต์ก็ยังคงให้กำลังได้ดีอย่างต่อเนื่องกดคันเร่งๆ หนักๆ ไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้มองมาตรวัด ไม่นานนัก รถเริ่มรู้สึกโคลงเคลง หันมามองไมล์ ความเร็วคาอยู่ที่ 210 กม./ชม. แล้ว ถ้าไม่ยกคันเร่งเสียก่อน น่าจะแตะความเร็วปลายที่ระดับ 220 กม./ชม.ไม่ยาก โดยรวมแล้วถือว่ากำลังมีให้ใช้แบบตามความคาดหมายจริงๆ ตั้งแต่การออกตัว ไปจนถึงความเร็วสูง แต่ในบางจังหวะ ที่ขับๆ อยู่แล้ว Kick Down เพื่อเร่งแซง อาจยังพบว่า มีช่วง Lag Time ของเกียร์ CVT บ้าง (I-Mode) ปัญหาเหล่านี้ จะลดลงถ้า กดปุ่ม S หรือ S# รอบจะมารอให้ใช้แน่เนิ่นๆ
ด้านตัวเลขสมรรถนะในโบรชัวร์โชว์ได้ระบุดังนี้
0 – 100 กม./ชม. ที่ 7.5 วินาที Top Speed 221 กม./ชม. กินน้ำมันเฉลี่ย 8.5 ลิตร/100 กิโลเมตร และ
ปล่อยไอเสีย CO2 เฉลี่ย 197 ก./กม. มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 8.5 ลิตร/100 กม.
ที่เราได้ลองทดสอบจาก OBD Bluetooth ได้ค่าดังนี้ 0-100 กม./ชม. ที่ 8.45 วินาที (S# Mode) ¼ mile 16.42วินาที Boost หนักสุด 19.7 psi (1.36 bar) อัตราสิ้นเปลืองวิ่งในขณะที่รถติดจะโชว์อยู่ที่ราว 10 ลิตร/100 กม. สำหรับการวิ่งเดินทางที่ความเร็วราว 100 กม./ชม. มีเร่งแซงบ้างจะได้ราว 8 ลิตร/100 กม.
ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์แบบ CVT Lineartronic 6 Speed (8 Speed ในโหมด S#) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ ค่ายดาวลูกไก่ในการใช้สายพานแบบโซ่ ส่งถ่ายกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน Symmetrical AWD และ Subaru เป็นเจ้าแรกที่คิดเทคโนโลยีเกียร์ CVT มาใช้กับระบบขับสี่ล้อ
โดยในตัว 2.0XT นี้ จะแตกต่างจาก 2.0i-L ตั้งแต่แผงคอนโซลเกียร์หุ้มหนัง ที่ทำให้ดูหรูขึ้น แต่ยังคงโหมด D และ M ไว้เช่นเดิม แต่ลูกเล่นที่สำคัญของ 2.0XT คือ การที่มีโหมด S# เพิ่มเข้ามา ซึ่งในโหมดนี้ จะปรับอัตราทดเกียร์ใหม่ ให้กระชับยิ่งขึ้น และซอยเกียร์ออกมาถี่มากถึง 8 Speed
พูดถึงบุคลิกเกียร์ Lineartronic CVT นี้มีการตอบสนองของเกียร์ เช่นเดียวกับ Subaru XV รวมไปถึง Outback ให้ความรู้สึก นุ่มนวล ตอบสนองดี และรวดเร็ว
การขับขี่เกียร์ในตำแหน่ง D และ M (I-Mode ปกติ) ยังคงมีอัตราทดที่เท่ากัน แต่โหมด M จะให้ Shift เปลี่ยนเกียร์เองจากแป้น Paddle หลังพวงมาลัย ซึ่งเราจะสามารถลากรอบสูงได้อย่างอิสระ แต่หากกระแทกคันเร่งไปจนถึง Redline เกียร์ก็จะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ให้ โดยอัตโนมัติ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ต้องผลักคันเกียร์ไปที่ตำแห่ง M ก็ได้เพียงแค่ แตะแค่แต่ที่แป้น Paddle ก็สามารถที่จะขับขี่ในแบบ Manual เองได้ และที่สำคัญ จากกำลังเครื่องยนต์ 240 แรงม้า นั้น การขับขี่แซงรถชาวบ้านทั่วๆ ไป เพียงแค่ I-Mode เหยียบคันเร่งลงไป ครึ่งหนึ่ง เจ้า Forester คันนี้ก็ ทะยานพุ่งแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นแล้ว
แต่ถ้าหาก ต้องการความสนุกเร้าใจในการขับมากยิ่งขึ้น ต้องลองมาเล่นที่โหมดขับขี่อัจฉริยะ อีก 2 Mode ที่เหลือ โดยการกดปุ่มบนพวงมาลัย ที่มีให้เลือก S และ S# การขับที่โหมด S สามารถที่จะขับได้ทั้งแบบ Auto และ Manual ซึ่งในโหมด S จะให้การตอบสนองของคันเร่งที่ฉับไวขึ้นเล็กน้อย
แต่ถ้ากดที่ปุ่ม S# เกียร์จะปรับให้เป็นโหมด Manual โดยทันที และในโหมด S# นี้จะสามารถ Shift เกียร์ได้เองสนุกสนาน มากถึง 8 Speed ซึ่งจะสัมผัสได้ถึงสมรรนะของเครื่องยนต์ 240 แรงม้า อย่างเต็มเปี่ยม จากการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่มาแบบรวดเร็วทันใจ ทันท่วงนี้ และแรง G ที่ดึงให้หลังติดเบาะ ให้ฟีลลิ่ง เหมือนขับอยู่ใน Sport Sedan ตัวแรง WRX
ระบบบังคับเลี้ยว ใช้ Handling พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า EPS ให้การตอบสนองที่ดี คมกว่า แม่นยำกว่า และมีน้ำหนักเบากว่า Subaru XV ฟีลลิ่งค่อนข้างเป็นธรรมชาติ รู้สึกไม่หลอกมือ ใกล้เคียงเพาเวอร์ผ่อนแรงทั่วไป
มันให้ความคล่องตัวที่ความเร็วต่ำ สามารถออกตัว ถอยจอด เปลี่ยนเลนได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้รถยนต์เล็ก แต่ที่ความเร็วสูงยังพบว่ามันเบาไปสักนิด และการตอบสนองของพวงมาลัยที่มีความว่องไวดี นั้นทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงและต้องระวังในการหักเลี้ยวพวงมาลัย โดยเฉพาะการเปลี่ยนเลนกระทัน
ระบบห้ามล้อ ใช้เบรกแบบดิสก์มีครีบระบายความร้อน ทั้งหน้าและ หลัง มาแบบเพียบพร้อมด้วยระบบ ABS, EBD, BA ตลอดจนระบบ HSA (ช่วยออกตัวบนทางชัน), HDC (ช่วยควบคุมขณะลงทางชัน)
ให้ฟีลลิ่งในการเบรกออกแนวนุ่มเท้า ต้องลงแป้นเบรกลึก ซึ่งมาในสไตล์คล้ายๆ กับ Subaru XV และ Outback คือเบรกแล้วหน้าไม่ทิ่ม ไม่จิกเท้า ซึ่งมันดูเหมาะกับสไตล์รถในแบบครอบครัวอย่างแท้จริง แต่ทว่า กับกำลังเครื่องในระดับ WRX น่าจะมีการเซ็ตเบรกให้ ดูตอบสนองได้ไวกว่านี้อีกหน่อย ลงแป้นเบรกไม่ต้องลึกมาก แต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นเซ็ตตื้นเบรกจิก ขนาด BRZ
เนื่องจาก หากขับขี่แบบพ่อบ้าน แม่บ้าน ทั่วๆ ไป หรือการใช้ความเร็วในตัวเมือง เบรกได้หยุดเท้าดี แต่หากขับเร่งมาด้วยความเร็ว หรือ การใช้ความเร็วในการเดินทางไกล การแตะเบรกเพื่อลดความเร็วลง อาจดูช้าไปสักหน่อย ไม่ค่อยทันท่วงทีนัก และยิ่งถ้าคุณขับขี่แบบสวมจิตวิญญาณ WRX ด้วยแล้ว การเหยียบเบรกยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเผื่อระยะ รวมถึงการย้ำลงน้ำหนักกับแป้นเบรกให้หนักขึ้นเป็นเท่าตัว
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Macpherson Strut และด้านหลังเป็นแบบ Double Wishbone ดูๆ แล้ว เผินๆ อาจให้ความรู้สึกไม่ต่างจาก Subaru XV นัก แต่เมื่อขับผ่นาเส้นทางที่มีผิวที่ไม่เรียบ หรือ ผ่านหลุมบ่อ นั้น จะให้สัมผัสที่แตกต่างไปจาก XV มาก เพราะมันนิ่มขึ้นแบบไม่ต้องนั่งจับความรู้สึกนักก็รู้สึกได้ ยอดเยี่ยมในระดับที่ใกล้เคียงจนเรียกได้ว่าน้องๆของ Subaru Outback เลย เนื่องจากเสียเปรียบเล็กน้อยจากขนาดขอล้อที่ใหญ่กว่า ขอบ 18” หุ้มยาง ขนาด 225/55/18 แต่มันก็ไม่ทำให้ดูแข็งกระด้างแต่อย่างใด และที่สำคัญมันเหมาะแก่การเกิดมาลุยมากกว่า ไปลองวิ่งบนทางขรุขระ ทางฝุ่น สามารถวิ่งได้ในระดับความเร็ว 80 กม./ชม. อย่างสบายๆ
สำหรับในด้านการยึดเกาะบนทางตรงนั้น ถ้าขับขี่แบบคนทั่วๆ ไป ถือว่า ยังคงให้ความอุ่นใจได้ใสนชื่อเสียงของดาวลูกไก่ แต่จากการวิ่งที่ความเร็วสูงในระดับ 150 กม./ชม. ขึ้นไปด้วยทรงรถ และช่วงล่างที่เซ็ตออกมาให้นั่งสบาย จึงทำให้รู้สึกถึงความโคลงไม่มั่นคงแล้ว และยิ่งความเร็วระดับ 180 กม./ชม. ขึ้นไป ช่วงล่างจะดูยวบย้วยชัดเจน
สำหรับการเข้าโค้งที่ความเร็วสูงนั้น ต้องขอแยกเป็น 2 ส่วน ในด้านการยึดเกาะของระบบช่วงล่าง Forester ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีกับระบบ Symmetrical AWD ที่เลื่องชื่อ ร่วมกับ VDC (ระบบควบคุมไดนามิก) ช่วยให้การเข้าโค้งเป็นไปราบลื่น เข้าได้ตามไลน์ ไม่เห็นอาการ Under (หน้าดื้อ) หรือ Oversteer (ท้ายปัด) ให้เห็นนัก ที่ความเร็วในระดับไม่เกิน 90 กม./ชม. ในโค้งกว้างๆ แต่หาก เข้าที่ความเร็วระดับ 100 กม./ชม. ด้วยตัวถังรถที่สูง และช่วงล่างนิ่ม
จึงมีอาการโยนตัวมาก และมีเสียงยางกรีดร้อง ดังเอี๊ยดให้ได้ยินแล้ว
เจ้าป่า Forester จึงอาจไม่ถูกใจพวกชอบเทโค้ง หรือ เข้าโค้งหนักเท่าใดนัก เนื่องจากต้องระมัดระวัง หากเข้าโค้งที่ความเร็วสูงเกินไป รถอาจมีล้อลอยได้เหมือนกัน เก็บมันเอาไว้ใช้ตะกุยป่า ปีนเขา จะดีกว่า หรือจะอยากจะซิ่งบ้างเป็นครั้งคราว
สรุป All New Subaru Forester 2.0XT นี่ล่ะใช่เลย รถครอบครัวในฝัน ของคนหัวใจลุย และรักการขับขี่ในสมรรนะที่ยอดเยี่ยมอันเลื่องชื่อของ Subaru ด้วยหัวใจเดียวกับ WRX จึงทำให้มันมีสมรรถนะเครื่องยนต์ ในระดับที่พอจะไล่ๆ กับ Porsche Cayenne Diesel หรือ Cayenne V6 ได้ ถึงแม้ว่าจะแรง แต่ก็ไม่ได้ดิบจนเกินไป มันให้ความสะดวกสบายในการนั่งโดยสาร รวมถึงบุคลิกในการขับขี่ อีกทั้งจุดเด่นในด้านระบบเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ทั้ง X-Drive, SI Drive แต่อาจดูขัดหูขัดตาไปสักนิด กับรูปลักษณ์ ทั้งภายนอกและภายใน ที่ไม่ได้ดูโดดเด่น สักเท่าใดนัก กับออปชั่นภายใน รวมถึงออปชั่นภายในบางจุดที่น่าจะมีมาให้ เช่น เครื่องปรับอากาศตอนหลัง
แต่โดยรวมแล้ว ถ้าไม่ติดหรู ชอบลุย และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ทิ้งความสบายในการโดยสาร คันนี้ล่ะใช่เลย เจ้าป่าขาลุย หัวใจผูกโบ All New Subaru Forester 2.0XT
ขอขอบคุณ Motor Image ประเทศไทย สำหรับรถ Subaru Forester 2.0 XT Di-Turbo สีขาว Satin White Pearl ราคา 2.42 ล้านบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก
พบรถ Subaru และ Subaru Forester มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น