พูดถึงตระกูลรถยนต์ Comapct ที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก นั่นคงหนีไม่พ้น Toyota Corolla ซึ่งมียอดขายสะสมกว่า 6.7 แสนคันประเทศไทย และ กว่า 40 ล้านคันทั่วโลก และปีนี้ ก็ได้ฤกษ์ที่ Corolla โฉมใหม่ เจนเนอเรชั่น 11 จะถือกำเนิดขึ้นเสียที
2014 All New Toyota Altis ถือเป็นรถคันแรก ที่เปิดตัวในบ้านเราปีนี้ โดยได้ฤกษ์ เปิดตัวในวันที่ 14 มค. ที่ผ่านมา
ซึ่งมีเพียงรุ่น 1.6 และ 1.8 โดยไร้เงา รุ่น 2.0 พร้อมยืนยันเสียงแข็งจะมีรุ่น 2.0 อย่างแน่นอน ในขณะที่เพื่อนบ้านเรามาเลเซีย ทำตลาดรุ่น 1.8 และ 2.0 ซึ่งทาง Toyota ได้บอกว่า เครื่องยนต์ 1.8 ของ Altis โฉมนี้ ก็มีสมรรถนะเทียบเท่า 2.0 แล้ว จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องผลิตรุ่น 2.0 ออกมา ซึ่งเหตุผลหนึ่งในความเป็นจริง คือ ราคารุ่น 1.8 V Navi รุ่นท๊อป นั้นปาไป 1.069 ล้าน แล้ว ถ้าหาก รุ่น 2.0 เข้ามา ราคาน่าจะโดดไปแตะ ที่ราว 1.2 ล้านบาท ซึ่งราคาจะทับกับ Camry 2.0 เสียเอง ถึงแม้ว่าราคาจะเปิดมาสูง แต่ก็การันตีได้จาก การจับจองรถก่อนที่จะเปิดตัว และหลังเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน เราก็เห็น Altis โฉมใหม่นี้ วิ่งบนถนนกันเสียแล้ว ทั้งรถส่วนบุคคล รวมถึงรถแท็กซี่ จำนวนมาก
เอาล่ะ กับสโลแกน “So Excited” (ยากที่สุด คือหยุดความเร้าใจ) มันจะสะกดเร้าหัวใจ คุณได้มากเพียงใด ลองมาดูกัน
สำหรับวันนี้ 5 กพ. 2014 ทางเราได้รับเชิญจาก Toyota Motors เข้าร่วมทดสอบ Toyota Altis 1.8 V Navi ใหม่ ซึ่งต้องเดินทางกันมาถึง Toyota Motors ช้าง 3 เศียร สมุทรปราการ กันตั้งแต่เช้า พร้อมบรีฟ ก่อนออกเดินทางไปยัง ไร่องุ่น Silverlake พัทยา พักทานข้าว เสร็จแล้วจึงขับกลับมาที่ Toyota Motors ช้าง 3 เศียร ที่เดิม
โดยทาง Autospinn เราได้ขับหมายเลข 1 รุ่น 1.8 V สีเทา Gray Metallic ซึ่งผมได้รับมอบหมายให้ขับทดสอบแบบ Free Run ในขากลับจากไร่องุ่นรวดเดียว จนถึง Toyota Motors
เริ่มกันที่ภายนอก กันก่อน ดีไซน์ตัวรถ จะเน้นความกลมกลืนต่อเนื่องกัน สังเกตุได้จากโคมไฟหน้า กันชนหน้าและกระจังหน้าที่ดูเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกัน และ โคมไฟหน้า LED โปรเจ็คเตอร์ ปรับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ ในรุ่น 1.8 S และ V ถือเป็นรถรุ่นแรกในรถระดับเดียวกัน ที่ใช้ไฟหน้าแบบ LED ซึ่งมาพร้อมไฟ DRL ไฟท้ายเป็น LED แบบ Illumination ซึ่งจะครีบเรียงอากาศเช่นเดียวกับที่มีใน Vios
ค่า Cd ของ Altis ใหม่นี้ อยู่ที่ 0.296 ซึ่งลดลงจากตัวเก่า การติดตั้ง Fin (ครีบ) ที่กระจกมองข้าง และไฟท้าย ช่วยเรียงอากาศให้ไหลได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อเทียบมิติกับรุ่นก่อน จะพบว่า กว้างขึ้น 80mm ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้น 15mm เตี้ยลง 5mm ยาวขึ้น 100mm มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1.275 ตัน สำหรับเครื่อง 1.8
สำหรับห้องโดยสารภายใน หลังจากที่เปิดประตูเข้ามาด้วยระบบ Keyless จะพบภายในใช้สีโทนดำ พร้อมเบาะหนังสีดำ ที่มีความโอบกระชับลำตัวค่อนข้างดี เบาะเฉพาะฝั่งผู้ขับจะเป็นไฟฟ้า พร้อมตัวดันหลัง และเมื่อกดปุ่ม Engine Start หน้าจอเรืองแสงเปิดขึ้น อันนี้ชอบเลยมองสบายตาจริง มาพร้อมจอ MID แสดงข้อมูลต่างๆ และมีไฟ Eco ขึ้นเพื่อแจ้งการขับขี่อย่างประหยัด ออปชั่ยภาบในมีมาครบครัน ทั้งแอร์ออโต้ หน้าจอเครื่องเสียงพร้อมระบบนำทาง (ดูจำใช้งานยากไปหน่อย) กระจกมองหลังที่แสดงผลกล้องมองหลังในขณะเข้าเกียร์ R ระบบ Rain Sensor, ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พวงมาลัย 3 ก้านแบบใหม่ มาพร้อมปุ่ม Multifunction ปุ่มควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และปุ่ม Bluetooth ที่ใช้เชื่อมต่อโทรศัพท์ นอกจากนั้นยังมีม่านบังแดดด้านหลังให้ ซึ่งถือเป็นคันแรกในรถระดับนี้ สำหรับหลายเสียงวิจารณ์ว่า บริเวณคอนโซลกลางดูราบเรียบไปหน่อย
สำหรับพื้นที่ Leg Room ตอนหลังเพิ่มขึ้น + 75mm และแม้ตัวถังรถเตี้ยลงแต่ Head Room กลับเพิ่ม +5mm จากการลดตำแหน่งเบาะนั่งให้เตี้ยลง ทั้งผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง
และยังเน้นความเงียบในห้องโดยสาร เพิ่มวัสดุเก็บเสียงรอบคัน ตั้งแต่แผ่นกันความร้อนฝากระโปรง บริเวณ Fender ได้เพิ่มวัสดุกันเสียงขึ้นมาเพื่อ ตัดเสียงที่ลอดผ่านบริเวณ ซุ้มล้อ ช่วยให้ความเงียบลดลงมาก ในระดับที่สัมผัสได้ เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังเข้ามาภายในมาก รวมถึงเสียงลม ที่ระดับความเร็ว 160 กม./ชม. ก็ยังไม่มากจนถึงขั้นน่ารำคาญ จนพูดกับคนข้างๆ ไม่รู้เรื่อง และอีกส่วนสำคัญ คือการใส่ยาง Yokohama db ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบ
ในด้านของการขับเคลื่อน ที่ดูอาจเหมือนจะใช้ของเดิม ยกเซ็ต ทั้งระบบหัวใจเครื่องยนต์ และพื้นฐานช่วงล่าง แต่สมรรถนะการขับขี่สัมผัสได้ถึงความต่าง
เครื่องยนต์ บล๊อก 2ZR-FBE 4 สูบ 1.8 ลิตร Dual VVT-i 141 แรงม้า @6000rpm + แรงบิด 177Nm @4000rpm ตัวเดิมที่รองรับ E85 ยังคงวางประจำการฝากใต้ฝากระโปรง น้อง Altis ใหม่ ปรับจูนให้ มีแรงม้าเพิ่มขึ้น 2 ตัว และแรงบิด เพิ่มอีก 4Nm
การขับเคลื่อนในช่วงออกตัว น้ำหนักคันเร่งยังมาแนวแข็งๆ สำหรับรถยนต์จาก Toyota ในรุ่นใหม่ๆ นี้ แต่เมื่อเติมคันเร่งหนักขึ้น จะพบว่า การตอบสนองของรถ ดูพุ่งทะยาน ดี ในช่วงที่ออกตัว และ ในช่วงที่ความเร็วไต่ขึ้นไปถึงช่วงระดับ 100 กม./ชม. ความเร็วยังคงไต่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเผลอ แปปเดียว ผมหันมาดูหน้าจออีกที เข็มชี้ที่ระดับ 180 กม./ชม. แล้ว แต่ดูจากกำลังเครื่องแล้ว โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้ายังขับขี่แบบไหลต่อไปเรื่อย น่าจะทะลุ 200 กม./ชม. ได้ไม่ยาก
ถ้าขับแบบเรื่อยๆ คนที่เท้าไม่หนัก จะรู้สึกว่า มันอาจจะดูอืดไปนิด แต่ถ้าหากคุณเป็นพวกตีนหนักแล้ว ล่ะ ก็ การ Kickdown ลงไป นั่นเป็นการเรียกกำลังเครื่องให้ตื่นขึ้นพารถพุ่งทะยานออกไป ซึ่งต่างกับ รถ หลายค่ายที่ใช้เกียร์แบบเดียวกัน แล้วเหยียบไปปุป มักจะมีมาแต่รอบเครื่อง หามีกำลังไม่
สมรรถนะในระดับนี้ ทาง Toyota เคลมว่า เทียบเท่ารถเครื่องยนต์ 2.0 ซึ่งโดยความรู้สึกนั้น รู้สึกได้ว่า กำลังเครื่องยนต์ มาและตอบสนองได้ดีกว่ารถ พิกัด 1.8 คันอื่นๆ แต่เทียบเท่า 2.0 นั้น โดยส่วนตัวยังมองว่า อาจเทียบได้กับบางรุ่น แต่ยังไม่เท่ากับ รถ Compact ในพิกัด 2.0 เสมอไป
ตัวเลขสมรรถนะตามเคลม 0-100 กม./ชม. 11.13 วินาที (เร็วกว่ารุ่นเดิม ที่ทำได้ 11.72 วินาที) Top Speed ที่ 190 กม./ชม.
มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.57 กม./ลิตร (แก๊สโซฮอล์ 95) ประหยัดกว่ารุ่นเดิม 9.6%
สำหรับหน้าจอ MID โชว์ค่าเฉลี่ย ในช่วงที่ผมขับที่ 12.5 กม./ลิตร ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไม่ได้ขับเน้นประหยัดเลย ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ราว 140 กม./ชม. และมีการเร่งแซงขึ้นที่ใช้ความเร็วสูงอีกในหลายจังหวะ ในขณะที่พี่อีกคนที่ขับก่อนผมได้ที่ 12.1 กม./ลิตร ถือว่าประหยัดพอสมควรเลย เพราะ น้ำมันในถังเข็มชี้วัด อยู่ประมาณครึ่งถังพอดี ระยะทางราว 330 กม. ใช้น้ำมันครึ่งถัง กับการขับขี่ที่ใช้รอบสูงอย่างต่อเนื่อง
ระบบส่งกำลัง เกียร์ Super CVT-i 7 Speed ตัวนี้ถือเป็นเกียร์ลูกใหม่ ไม่ใช่เกียร์ 7 Wonder Speed ลูกเดิมที่ อยู่ใน Altis E85 โฉมปี 2012 เพราะลูกใหม่นี้รหัส K313 ขณะที่ตัวเก่าเป็น K311 มีการปรับอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองการขับที่หลากหลาย ซึ่งต้องขอขอบคุณเกียร์ลูกนี้ ที่มันช่างดูประจวบเหมาะกับเครื่องยนต์ 2ZR ได้ดี จึงทำให้การขับขี่ค่อนข้างไหลลื่น และส่งถ่ายสมรรถนะได้ดีเยี่ยม การตอบสนองฉับไว และใช้เวลาในการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วกว่า CVT รูปแบบอื่น แต่ไม่ถึงกับSensitive มากเกินเหมือนอย่าง X-Tronic ของ Nissan และยังค่อนข้างเงียบดีด้วย แต่มีจุดหนึ่งที่น่ารำคาญเหมือนกัน คือหาก Kickdown ในโหมด D บางครั้ง เมื่อแซงพ้นเล้วยกคันเร่ง รอบเครื่องดันไม่ตกลงมาอยู่ในระดับปกติ ต้องรอสักครู่ ซึ่งเหมือนกับว่า เกียร์บางครั้งมันอ่านนิสัยผู้ขับ ว่าเรากำลังต้องการใช้รอบเครื่องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนเกียร์จะฉลาดคิดเกินไปหน่อย
การขับในโหมด D แบบกดคันเร่งแช่ จะพบว่า รอบกวาดขึ้นในแบบฉบับ CVT คือ แช่ที่รอบสูง และปล่อยให้ความเร็วไต่ขึ้น แต่เมื่อกดปุ่มที่ Paddle Shift หลังพวงมาลัย บนหน้าจอ MID จะแสดงตำแหน่งเกียร์เป็น D และตามด้วยตัวเลขเกียร์ ซึ่งคุณสามารถขับลากรอบได้ตามใจ แม้ยกคันเร่งรอบก็จะยังไม่ตัดขึ้น จนกว่าจะกระแทกมิดไปจนชนขีด Redline ที่ราว 6500rpm ถึงจะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ให้ ซึ่งการขึ้นเกียร์จะเป็นสไตล์แบบเกียร์อัตโนมัติ Torque Converter ทั่วไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้สึกถึงฟีลลิ่ง ดิบกระชากมากนัก ยิ่งซอยเกียร์สูงถึง 7 Speed ทำให้เรารู้สึกถึงแรกกระชากจาก E-Brake (การเบรกโดยลดเกียร์เพื่อใช้กำลังเครื่องยนต์ในการลดความเร็ว) ลดน้อยลง และหากกดปุ่ม + ที่รอบเครื่องต่ำเกินไป เกียร์ก็จะไม่ยอมขึ้นให้เช่นกัน และเมื่อต้องการกลับมาสู่โหมด D ปกติ เพียงแค่กดปุ่ม+ ค้างไว้ 2 วินาที เกียร์จะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าหากตบคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง M จะพบว่า การตอบสนองเหมือนกัน แทบจะไม่แตกต่างจาก เกียร์ D ที่ + - เกียร์ด้วยตัวเอง
ระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัย พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ 3 ก้าน หุ้มหนังซึ่งให้สัมผัสกระชับกับสรีระมือดี แต่ว่าผิวสัมยังรู้สึกแข็งมือไปหน่อย พวงมาลัยใช้ระบบผ่อนแรงไฟฟ้า EPS แบบเดียวกับ ใน Altis โฉม เก่า แทบทุกประการ ยกเว้นในส่วนของการใช้ ECM กล่องควบคุมใหม่ ที่ให้การตอบสนอง ทั้งการชดเชยน้ำหนักพวงมาลัย จนถึงการเพิ่มน้ำหนักพวงมาลัย ที่ความเร็วสูง มันยังทำได้ดี โดยรวมแล้วพวงมาลัย มีการตอบสนองที่ดีขึ้น ที่ความเร็วต่ำให้ความรู้สึกเบา แต่ดูมีชีวิตชีวา ดีมากกว่า Vios หรือ Yaris คือ หมุนได้ลื่นคล่องมือกว่า และที่สำคัญมันดู ดูแม่นยำมากขึ้น และที่ความเร็วสูงระบบ Servo มอเตอร์ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้มันดูหนึบแน่นตึ๊บ มือมากขึ้น แต่จากที่ลองดู ถ้าช่วงความเร็วสูงระดับ 130 กม./ชม. ขึ้นไป ยังรู้สึกเบามือไปหน่อย ไม่ค่อยมั่นคงมากนัก
ระบบเบรก แบบดิสก์ 4 ล้อ ที่มาพร้อมระบบ ABS/EBD/BA ซึ่งยังคงยกชุดเดิมมาวางใส่ในน้องอัลติสใหม่นี้ แต่มีการปรับปรุงในส่วนของ ปั๊มเบรกด้านบนจากใหญ่ขึ้น 20 เป็น 22mm ช่วยให้การเบรกจาก 100กม./ชม. – 0 กม./ชม. ใช้ระยะทางสั้นลง กว่า 7 เมตรเลยทีเดียว (การที่เบรกระยะลดลงมากขนาดนี้ เป็นผลมาจากส่วนอื่นด้วย เช่น เกียร์ที่ฉลาดขึ้น ทำให้ขณะที่เรากระทืบคันเร่งลง เกียร์จะลดลงเพื่อช่วย E-Brake ECU ที่สั่งลดการทำงานของเครื่องยนต์ เป็นต้น) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ฟีลลิ่งในการตอบสนองดูจะยังไม่ทันใจวัยรุ่นนัก เพราะทาง Toyota ต้องการให้มันตอบสนองได้อย่างนุ่มเท้า แต่โดยส่วนตัวผมอยากได้ฟิลลิ่ง เบรกจิก หนึบหัวทิ่ม แบบที่พบใน Vios และ Yaris มากกว่า
เพราะในการขับขี่ที่ความเร็วสูง การเบรกด้วยแป้นเบรกอย่างเดียว ดูจะยังไม่พอ จนต้องใช้การกดแป้น – ที่เกียร์ เข้าช่วยในการ E-Brake อยู่ดี
และเบรกของ ALtis ใหม่นี้ ได้พัฒนาใช้เบรกแบบ Override เพื่อช่วยในด้านความปลอดภัย ป้องกันคันเร่งค้าง หากมีการเหยียบทั้งแป้นเบรกและคันเร่ง เครื่องจะตัดการทำงานของคันเร่งลง
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท และ ด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม เหมือนเดิม แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนในส่วนของ ค่า K สปริง และ การเซ็ตโช้คอัพใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับ ขนาดตัว และน้ำหนักในโฉมใหม่นี้
สำหรับฟีลลิ่งใน การขับขี่ ในช่วงที่ขับเคลื่อนที่ความเร็วต่ำ หรือผ่านลูกระนาด หลุมบ่อ รู้สึกว่าช่วงล่างมันดูแน่นขึ้น เหมือนขับอยู่บนรถขนาดกลางเลย ซึ่งความนุ่มนวลดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจมาจาก ยางซีรีย์ 205/55/R16 ที่ยังคงมีแก้มยางอยู่หนาพอสมควร จึงทำให้รู้สึกนุ่มกว่า รถในระดับเดียวกันที่ใช้ ยางขอบ 17”
ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ถือว่า นั่งสบายใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ยวบย้วยจนเกินไป จังหวะ Rebound กลับขึ้นของแกนโช้ค ดูไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป และที่สำคัญมันคืนตัวกลับโดยที่ไม่รู้การสึกสะเทือนจนน่ารำคาญ
ในด้านการยึดเกาะถนน เราพบว่าที่ความเร็วสูง การยึดเกาะยังดู ไม่ถึงขั้นดีนัก ฟีลลิ่งยังคล้ายๆเดิม คือ ตัวรถดูโคลงๆ ในระดับความเร็ว 140 กม./ชม.ขึ้นไป ในด้านการเข้าโค้ง รู้สึกว่าเข้าได้ยิ่งขึ้น จากการควบคุมพวงมาลัยที่แม่นยำขึ้นอีกหน่อย กับระบบ VSC ที่ช่วยให้การเข้าโค้งดูแน่น และเป็นไปตามไลน์ ไม่มีสูญเสียอาการ แต่น่าเสียยิ่งที่ VSC และ TRC ติดตั้งเฉพาะรุ่น 1.8 V Navi เท่านั้น ซึ่ง มีปุ่มปิด ฝังอยู่ โดยกดปุ่ม 1 ครั้งจะปิด VSC และ กดค้าง จะปิด ทั้ง 2 ระบบ
สรุป All New Toyota Altis 2014 โฉมใหม่ ที่ดูเหมือนจะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ก็ยังถือว่ามีส่วนผสมของดีกรีที่เปลี่ยนไป ไม่ถึงกับเอาเหล้าเก่ามาใช้ทั้งหมด อย่างเกียร์ลูกใหม่นี้ ที่ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ ทำให้สมรรถนะการขับขี่ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ถึงขั้นที่ Toyota เทียบสมรรถนะเท่า เครื่องในพิกัด 2.0 แต่สำหรับสมรรถนะในการขับขี่ ด้านการควบคุม ทั้งระบบช่วงล่าง เบรก และพวงมาลัย โดยรวมยังให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเดิม นัก
สำหรับเปลือกนอกที่ ดีไซน์มาใหม่นี้ หลายคนชื่นชมว่ามันดูสวยงาม และดูดีขึ้นมาก อีกทั้งออปชั่นที่ยัดมาให้ในแบบที่สุดของ Compact Car (ในรุ่นท๊อป) รวมทั้งพื้นที่โดยสารที่ สะดวกสบาย สำหรับครอบครัวเช่นเดิม เชื่อได้ว่า มันยังคงเป็นรถที่ขายดีในบ้านเราเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้ราคาจะดูแรงพอสมควร แต่ด้วยความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อ ชื่อเสียงของ Toyota ทั้ง ศูนย์บริการ อะไหล่ และค่าบำรุงรักษาด้วยแล้ว ยิ่งหายห่วง ซึ่งการันตีได้จาก แท็กซี่ส่วนใหญ่ ที่ยังคงเลือกใช้ Toyota Altis
สำหรับสโลแกน ยากที่สุด คือ หยุดความเร้าใจนั้น คงต้องให้ผู้บริโภค เป็นผู้ให้คำตอบสำหรับ ประโยคนี้กันล่ะ เพราะในเดือนหน้านี้ รถ Compact ที่มีเทคโนโลยียอดเยี่ยมทั้งคัน จะถูกเปิดตัวในบ้านเราไม่ช้านี้ ซึ่งต้องดูกันอีกทีว่า คันไหน จะหยุดความเร้าใจของผู้บริโภคในเมืองไทย ได้มากกว่ากัน?
ขอขอบคุณ Toyota Motors ประเทศไทย สำหรับการเชิญเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
พบรถ Toyota และ Toyota Altis มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น