เมื่องาน Bangkok International Motor Show 2014 ที่ผ่านมานี้ ทาง Lexus Group โดย Toyota Motors ประเทศไทย ได้เปิดรถยนต์ Midsized Sedan หรู รุ่นใหม่ของค่าย Lexus ES300h ซึ่งถือเป็นรุ่นโฉม Generation ที่ 6 แล้ว ในตระกูล ES กับนิยาม The Peak of Luxury
การที่ Lexus ได้จับแทรก New ES ใหม่ ให้ทำตลาดอยู่ระหว่าง GS กับ IS นั้นก็เพราะ ES300h นี้เป็นรถยนต์ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FF) ซึ่งอาจจะไม่ได้เน้นรูปแบบการขับขี่แบบสปอร์ตเหมือนรถขับเคลื่อนล้อหลัง อย่าง GS เพราะใน ES ใหม่นี้ เน้นพื้นที่ห้องโดยสารที่สะดวกสบายหรูหรา มากกว่า และนั่นเองในวันนี้ 19 พค. 2014 ทาง Lexus Group โดย Toyota Motors ก็ได้จัดทริปทดสอบรถ Lexus ES300h คันนี้ขึ้นในรูปแบบ 1 day trip โดยเริ่มเดินทางออกจากตึก All Season โดยมีที่หมายยัง Black Mountain หัวหิน เพื่อพักทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะขับเดินทางกลับมายัง All Season อีกครั้ง เพื่อให้พวกเราได้ลองสัมผัสความหรูหรากันแบบพอหอมปากหอมคอ
ในการทดสอบครั้งนี้ทางเราได้รับมอบหมายให้ขับรถคันสีขาว หมายเลข 06 รุ่น Premium ซึ่งได้รับช่วงขับตั้งแต่ Black Mountain กลับมายัง All Season ซึ่งรวมเป็นระยะทางเกือบๆ 200 กม.
เริ่มที่รูปลักษณ์ภายนอก Lexus ES300h ถือเป็นรถ Mid Sized Sedan หรูแบบเต็มตัว กับฐานล้อที่กว้างขึ้นถึง 45 มม. ทำให้ตัวรถมีระยะฐานล้อถึง 2,820มม. กับความยาวรถระดับ 4,900 มม. และมีน้ำหนักตัว ร่วม 1.7 ตัน ES300h ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงาม สง่า ทั้งจาก กระจังหน้าแบบ Spindle Grille ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ Lexus สมัยใหม่ โคมไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ HID ที่ปรับสูงต่ำ อัตโนมัติ ร่วมกับไฟ DRL ในตัว ที่บริเวณไฟท้าย นั้นได้ถูกดีไซน์ ให้มีครีบเรียงอากาศ ช่วยจัดระเบียบลมปะทะด้วย
ในรุ่น Premium นี้จะได้ระบบ Auto Wiper ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ โดยมีเซ็นเซอร์ ฝังอยู่ที่กระจกบานหน้า ข้างบนหลังคา จะพบ Moon Roof ติดตั้งมาให้เพิ่มความหรูหรา ด้านล้ออัลลอย เลือกใช้ขอบ 17” หุ้มยาง Yokohama DB E70 ไซส์ 215/55/17 เพื่อความสุนทรีย์ในการโดยสารมากกว่า การขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ
Lexus ES300h มีสีตัวถังให้เลือก สูงถึง 10 สี ได้แก่ Silver Blue Metallic, Red Mica Crystal Shine, Fire Agate Metallic, Lapis Lazuli Mica, White Pearl Crystal Shine, Mercury Gray Mica, Platinum Silver Metallic, Sleek Ecru Metallic, Starlight Black, Glass Flake Black
รูปโฉมภายใน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสาร จะพบกับห้องโดยสารที่ดูโอ่โถงหรูหรา ภายได้ถูกปรับปรุงเรื่องของการจัดวาง ใหม่ ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของ ES300h คันนี้เลยก็ว่าได้ ห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้สีดำ แบบ Semi-Aniline ในรุ่น Premium คันนี้ ซึ่งที่จริงแล้ว ภายในมีให้เลือก สีเบจ Ivory กับสีดำ ที่แผงคอนโซลด้านบน จะพบหน้าจอแสดงผล 8” มาพร้อมระบบนำทางและปุ่ม RIT ใช้ควบคุม ในรุ่น Premium นี้ พร้อมถ่ายทอดคุณภาพเสียงชั้นเยี่ยมผ่านสำโพง 8 ตัว แบบ Surround
เมื่อหันลงมามองที่บริเวณแผงคอนโซลด้านหน้า จะพบนาฬิกาติดตั้งเป็นเอกลักษณ์ของรถ Lexus ในแทบทุกรุ่น และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 zone ซึ่งผู้นั่งตอนหลังสามารถปรับ พร้อมระบบปรับสภาพอากาศ Nano-e ช่วยไม่ให้อากาศภายในห้องโดยสารดูแห้งอึดอัด จากการรักษาความชื้นสัมพัทธ์ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมตัวดันหลัง กับ memory 3 ค่า ด้านหลังมีม่านบังแดดหลัง และ ม่านที่แผงประตูคู่หลัง ในรุ่น Premium อีกด้วย
ขุมพลังเครื่องยนต์ Atkinson Cycle 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-I พร้อมระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวมทั้งระบบ 205 (แรงม้า) PS@5,70rpm และ แรงบิด 213Nm@4,500rpm ซึ่งเมื่อเครื่องยนต์บล๊อกนี้จาก Camry Hybrid ถูกยกเข้ามาวางใน Lexus ES300h คันนี้ และได้มีการปรับจูนสมรรถนะใหม่ ได้ตัวเลขเคลม 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที ความเร็วปลายที่ 180 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลือง 21.8 กม./ลิตร (ECE standard)
ในการขับขี่ สามารถปรับ Drive Mode ได้ 3 โหมด Eco Normal Sport ผ่านปุ่มวงกลมที่อยู่เหนือหัวเกียร์เล็กน้อย
ใน Eco Mode คันเร่งจะแข็งมาก กดคันเร่งลงลึกไป 50% คันเร่งยังดูหาไม่เจอ ซึ่งเอาไว้เพื่อการขับขี่แบบเชื่องช้าค่อยๆ เปิดคันเร่ง เน้นประหยัดโดยเฉพาะ และเมื่อบิดไปทางขวา Sport Mode คันเร่งจะตอบสนองได้ไว ทันท่วงที ทันใจ กดปุป มาตามเท้าสั่ง รอบสวิงฟาดมาทันที และเมื่อต้องการปรับกลับมาโหมด Normal เพียงกดลงไปตรงกลางปุ่ม ก็จะกลับสู่โหมดปกติ
ในการขับขี่ใช้งาน พบว่ากำลังเครื่องยนต์รวม 205 แรงม้า ถือว่าในช่วงออกตัว ทำได้ดีในระดับที่ไม่แพ้รถ Compact Car พิกัด 2.0 และการแซงที่ความเร็วปานกลาง ขึ้นไป จนถึงความเร็วสูง เป็นอะไรที่ดูน่าประทับใจมาก จากความเร็ว 140 กม./ชม. ขึ้นไปจนถึงระดับ 190 กม./ชม. ถือว่าทำได้แบบอึดใจเดียวไม่นาน อย่างที่คิด แต่จากที่เราได้ลองทดสอบ พบว่า ความเร็วไปตันอยู่ที่ 193 กม./ชม. ไม่สามารถไหลไปได้เกินกว่านี้ แล้ว แต่ก็ถือว่าเกินเคลม ที่เคลมไว้เพียง 180กม./ชม. เท่านั้น
ด้านอัตราสิ้นเปลืองช่วงที่เราเดินทางในทริปนี้อยู่ที่เฉลี่ยราว 12.5 กม./ลิตร ซึ่งไม่ได้ขับแบบเน้นประหยัดแต่อย่างใด ใช้ความเร็วเฉลี่ย 130 กม./ชม. และมีเร่งแซงในหลายครั้ง รวมถึงลองไล่เพื่อหา Top Speed ด้วย ขณะที่ช่วงรถติดในเมือง อัตราสิ้นเปลืองจะหล่นลงมาอยู่ที่ 10.98 กม./ลิตร
ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์แบบ E-CVT ขณะ Kick Down รอบสวิงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อยกคันเร่งรอบเครื่องจะตกลงทันทีแบบฮวบฮาบ ซึ่งเกียร์อาจยังดูไม่ฉลาดเท่าที่ควรพอที่จะ Hold รอบสูงไว้ให้ ใช้เร่งแซง แต่เมื่อลอง Shift Gear ที่ตำแหน่งคันเกียร์ ดูพบว่าหาก เกียร์อยู่ที่รอบสูงเกินไป ระบบจะมีเสียงเตือนและจะไม่ Shift ลงให้ ซึ่งอาจทำให้เสียจังหวะ การเหยียบคันเร่งลงเต็มเท้า ดูจะเป็นทางเลือกที่ง่ายดายกว่า และในจังหวะที่เปลี่ยนเกียร์ขึ้นเกียร์ ก็ช่างนุ่มนวลไร้ซึ่งการกระชาก ใดๆ จนแทบไม่รู้สึกถึงช่วงรอยต่อในการเปลี่ยนเกียร์
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่ชนิด 3 ก้านหุ้มหนัง และไม้ Bird Eye Maple ช่วยให้ผิวสัมผัสระหว่างง่ามนิ้ว จับได้อย่างสบายนิ้วมือ สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง แบบปรับไฟฟ้าที่ปุ่มด้านข้างซ้ายของพวงมาลัย พวงมาลัยวงนี้ ช่วยผ่อนแรงขณะทำการสาววงเลี้ยว ได้อย่างเบาหวิว และ ในทางที่ขับขี่ผ่านโค้งต่อเนื่อง จากซ้าย มาขวา ก็ทำให้การสาววงเลี้ยว ผ่านทางโค้งเหล่านั้น ทำได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว แต่ในขณะที่ขับเจอทางโค้ง กลับพบว่า น้ำหนักพวงมาลัยนั้นดูจะเบาเกินไป หน่อย จะต้องประคองพวงมาลัยในโค้งให้ดี และที่ความเร็วสูงระดับ 140 กม./ชม. ขึ้นไปก็ยังพบว่า ดูจะเบาเกินอีกเช่นกัน
ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังแบบ Dual-Link หุ้มยาง 215/55/17 อาการของช่วงล่าง นั้นให้ความรู้สึกหนักแน่น แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวลในห้องโดยสาร การขับขี่ที่ความเร็วสูงบนพื้นผิวที่ราบเรียบ ให้ความรู้สึกนิ่งมั่นคงเหมือนขับอยู่ที่ความเร็วต่ำ แต่เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มีลอนคลื่น จะพบว่าเสียงอาการของช่วงล่าง จะไปตามลอนคลื่นนั้นๆ และในจังหวะที่เข้าโค้ง ยังพบว่าด้วยช่วงล่างที่นิ่มตามประสารถ Midsized หรู จึงอาจทำให้การเข้าโค้งนั้นยังไม่ดูแน่นหนึบเท่าที่ควร สำหรับการขับขี่ผ่านลูกระนาด หรือการเดินทางผ่านช่วงจั๊มพ์ คอสะพาน พบว่ามีอาการซับแรงได้ดี ให้ความรู้สึกนิ่ม แต่ยังคงความหนักแน่นเฟิร์ม ไม่รู้สึกอาการหวิวบริเวณท้องน้อยให้เห็น
ระบบเบรก แบบดิสก์ 4 ล้อ ที่มาพร้อมระบบช่วยเบรก ABS, BA, EBD ฟีลลิ่งแป้นเบรก เหมือนไม่มีหม้อลมเบรก อาจดู ด้านๆ ทื่อๆ เท้าไปนิด สำหรับบางคน ซึ่งฟีลลิ่งแบบนี้ก็ คล้ายกับ Camry Hybrid แต่การชะลอ รถที่ความเร็ว ยังทำได้อย่างดีเยี่ยม ไร้ปัญหา แม้การหน่วงความเร็วจากระดับ 190 กม./ชม. ลงมาเหลือเพียง 120 กม./ชม. ก็ถือว่าทำได้อย่างน่าประทับใจ และไม่มีปัญหาในการหยุดรถแล้ว รู้สึกว่า เบรกไม่อยู่เท้าให้น่ารำคาญใจ
ด้านระบบความปลอดภัย มีมาให้ครบครันตามยุคสมัย TRC (Traction Control), VSC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HAC (ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน) , Airbag ,Curtain Airbag , Side Airbag, Knee Airbag และระบบช่วยจอด กับกล้องมองหลัง
สรุป Lexus ES300h รถ Sedan หรูขนาดกลาง ซึ่งถือเป็นนิยามใหม่ของ รถ Lexus ที่มาพร้อมความหรูหรา และ พื้นที่โดยสารที่นั่งสบายแบบจริงจัง สมรรถนะในแบบรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่ทำได้ค่อนข้างดี แม้เกียร์ E-CVT นี้ดูอาจจะไม่ชาญฉลาดนัก แต่ระบบ Full Hybrid ที่ขึ้นชื่อของ Toyota เมื่อถูกนำมาวางใน Lexus ES300h นี้ และปรับจูนใหม่ มันกลับวิ่งดีกว่า Camry Hybrid ทั้งที่น้ำหนักตัวก็มากกว่า
หากคุณกำลังมองหารถยุโรปหรู อย่าง BMW 520i, 520d หรือ Mercedes E-Class Blue Tech Hybrid ถ้าหากสนใจที่ความหรูหรานั่งสบาย ในราคาระดับ 3 ล้านกลางๆ แล้วล่ะก็ ควรได้ลองสัมผัสความหรูหราจาก Lexus ES300h ดูสักหน่อย ว่าคุณภาพงานของรถญี่ปุ่นในราคาไล่เลี่ยกับ รถยุโรป นี้มันดีพอที่จะได้รับคำนิยามว่า The Peak of Luxury หรือไม่
Lexus ES300h Luxury ราคา 3.49 ล้านบาท และ Lexus ES300h Premium ราคา 3.89 ล้านบาท
ขอขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ส สำหรับทริปทดสอบในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น