รีวิว Subaru BRZ ขับสนุกในแบบรถ FR แต่อาจไม่ถูกใจ แฟนพันธุ์แท้ดาวลูกไก่

หากพูดถึงรถสปอร์ตจากค่ายดาวลูกไก่ Subaru หลายคนคงนึกถึงรถสปอร์ตซีดาน อันขึ้นชื่อว่า Impreza WRX Sti ซึ่งปัจจุบัน คำว่สาวกอิม อาจเรียกไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากคำนี้ ได้ถูกทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียง WRX และ Sti และเมื่อพูดถึงรถสปอร์ตคูเป้ เราอาจไม่คิดว่าจะได้ถูกผลิตขึ้นในแบรนด์ Subaru

แต่แล้ว เมื่อ ประมาณ 2 ปีกว่ามาแล้ว ช่วงต้นปี 2012 ก็ได้มีการเปิดตัวรถโปรเจ็คร่วม ระหว่าง Toyota และ Subaru นันก็คือ Toyota 86 และ Subaru BRZ ก่อนที่จะตามมาด้วยแบรนด์ Scion FR-S สำหรับลุยตลาดมะกัน

หลายคน อาจสงสัยว่า BRZ นั้นหมายถึงอะไร ย่อมาจากอะไร เนื่องจาก 86 นั้น หลายๆ คนรู้กันว่า เป็นการยกเครดิตให้กับสปอร์ตขับหลังเทพแห่งดริฟต์ในตำนาน อย่าง AE86 คำว่า BRZ ที่จริงแล้ว มาจากคำว่า Boxer + Rear Wheel Drive + Zenith = รถขับเคลื่อนล้อหลังขุมพลัง Boxer ที่มีสมรรนะอันยอดเยี่ยม! โอ้โห ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นมากเลย ขอไม่พูดอะไรกันต่อละ เข้าบทความรีวิวเลยละกัน

รูปลักษณ์ภายนอก สำหรับเจ้า Subaru BRZ นี้ เชื่อว่า หากปิดโลโก้ Subaru และให้หลายคนทาย เชื่อว่า 75% ขึ้นจะต้องตอบว่ามันคือ รถ Toyota 86 ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เลย เพราะ ถ้าหากพวกเขาไม่ได้มองที่ Logo หรือสีตัวถังรถที่เป็นสีน้ำเงิน ที่ถือเป็นสีธีมของ Subaru แล้วล่ะ ก็ หลายคนคงไม่คิดว่ารถสปอร์ตสไตล์คูเป้ คันนี้จะเป็นรถที่เป็นรูปแบบของ Subaru

จุดที่แตกต่างภายนอกของ Subaru BRZ กับ Toyota 86 นั้นนับจุดได้เลย นอกจากโลโก้รถแล้ว ก็มีบริเวณแก้มข้างคู่หน้า ซึ่ง 86 จะติดตั้งโลโก้ 86 ลูกสูบนอน ในขณะที่ BRZ จะเป็นช่องพลาสติกคล้ายช่องระบายอากาศแบบหลอก และ กันชนหน้า กับบริเวณครอบไฟตัดหมอก ซึ่งจุดนี้ 86 ทำออกมาดูโฉบเฉี่ยวสวยกว่า BRZ เล็กน้อย และโคมไฟหน้าของ BRZ จะมีไฟเลี้ยวอยู่ภายในโคมเลย ซึ่งต่างจาก 86 ที่จะเป็น มีไฟเลี้ยวอยู่ในกรอบเดียวกับไฟตัดหมอก

ในส่วนของด้านหลัง ก็แทบไม่มีอะไรต่างนอกจาก โลโก้ คำว่า Subaru และ BRZ

สำหรับในด้านของออปชั่น ก็จะใช้โคมไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ไฟ HID แบบปรับระดับอัตโนมัติ พร้อมระบบเปิดไฟอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมาพร้อมระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าแบบ Pop Up อีกด้วย

โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนคิดว่า BRZ และ 86 นี้ ถือเป็นรถที่ความสวยงามในด้านรูปลักษณ์ แต่ยังดูไม่ดุดัน ลงตัวนัก เนื่องจาก ขาดปีกหลัง และฝากระโปรงหน้าที่ดูเรียบเชียบจนเกินไป แม้ว่าจะเป็นรถเครื่องยนต์ NA ที่ไม่จำเป็นต้องมี Scoop ดักลมใดๆ ก็ตาม แต่ถ้าผู้เขียน ได้รถมาเป็นของตนเอง คงจะต้องนำไปใส่ปีกหลัง (สปอยเลอร์) และ เปลี่ยนฝากระโปรงแต่ง เพื่อให้ดูดุดัน เข้ากับปลายท่อออกคู่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ด้วย

รูปโฉมภายใน ทันทีที่ เปิดประตูผ่านระบบกุญแจ Keyless ซึ่งมีเซ็นเซอร์ เปิดประตูอยู่ที่บริเวณมือจับ เข้ามาจะพบห้องโดยสารที่ใช้วัสดุหุ้มหนัง Alcantara สีดำ บริเวณแผงคอนโซลตกแต่งด้วย Trim สีเงิน

ที่แผงหน้าปัด เป็นแบบ วงกลม 3 วง ตรงกลางเป็ฯมาตรวัดรอบเครื่อง Redline อยู่ที่ 7,400rpm กลาง มีไฟ Shift Light Indicator ด้วย ด้านซ้ายเป็นมาตรวัดความเร็ว นอกจากนั้นยังมีความเร็วขึ้นเป็นตัวเลขดิจิตัลด้วย สำหรับจอ MID ขนาดจิ๋วที่อยู่ตรงกลางภายใน จะแสดงผลอุณหภูมิภายนอกรถ , อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, Odometer และ Trips หากหันมองที่ไฟส่องแผนที่ ช่างดูโบราณ ราวกับรถเมื่อยุค 10 กว่าปีก่อน และระบบเครื่องเล่นเพลง รองรับ CD, USB, AUX ที่ให้มาดูไม่ค่อยจะเหมาะสมกับราคาเท่าใดนัก เอาไว้เพียงฟังเพลง และวิทยุกันแบบขำๆ พอ ที่เหลือขอให้ฟังเสียงจากเครื่องยนต์ดูจะไพเราะกว่า

ด้านพวงมาลัยทรง 3 ก้านหุ้มหนังเดินด้ายแดง ที่ดูเรียบๆ ไร้ซึ่งปุ่ม Multifunction แต้มีก้าน Cruise Control จาก Toyota มาให้ใช้ด้วย

จุดที่ดูให้ฟีลสปอร์ตที่สุด คือ แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ Dual Zone ดูคล้ายปุ่มปรับโหมดการขับเคลื่อนใน Nissan GT-R และจะพบปุ่ม Engine Start อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน

ถัดลงมาจากตำแหน่งเกียร์ พบปุ่มปิด Traction Control และปุ่ม VSC Sport ข้างๆ ด้ามเบรกมือ มีปุ่ม Heater เบาะให้ด้วย (ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับบ้านเรา)

เมื่อเปิดฝากระโปรงท้าย จะพบยางอะไล่ถูกจับวางนอนอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหลัง โดยไม่มีอะไรปกคลุม เนื่องจากพื้นที่สัมภาระท้ายที่ค่อนข้างแคบ และตำแหน่งพักปลายท่อไอเสียที่ใหญ่ จึงทำให้ต้องวางล้ออะไหล่เช่นนี้

ขุมพลังเครื่องยนต์เทคโนโลยีร่วม เครื่องยนต์ลูกสูบนอน Boxer แบบ 4 สูบ (จาก Subaru) ความจุ 1,998 cc จ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดตรง D4S (จาก Toyota) มอบพละกำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ที่ 7,000rpm แรงบิดสูงสุด 205Nm@ 6,400 - 6,600rpm และในคันนี้ได้ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 Speed ลงสู่ล้อคู่หลัง

ทันทีที่เหยียบคลัช โยกคันเกียร์เข้าไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 พบว่า น้ำหนักคลัช ไม่ได้ดูหนักเว่อ เหมือนรถสปอร์ตสมัยก่อน หรือ กระบะในยุคพวงมาลัยเพาเย่อ มันทำให้ขับขี่ได้ค่อนข้างง่าย แม้ในช่วงรถติด ก็ไม่ถึงกับลำบากจนเกินไป แต่การเหยียบแป้นคลัช ยังพบว่าช่วงเหยียบนั้น ค่อนข้างลึก จากตำแหน่งการวางเท้า แบบรถสปอร์ต ที่องศาการวางขา จะต้องเหยียดตรงเข้าไปมาก ในด้านของหัวเกียร์ Shift Knob แทบบอกได้เลยว่า ได้หยิบยกมาจาก Sti ในด้านของรูปทรงหัวเกียร์ และคันเกียร์ ไปจนถึง Shift Feeling ในการโยกเปลี่ยนเกียร์ ยกเว้น ตำแหน่งการเข้าเกียร์ R ที่จะต้องยกกระเดื่องขึ้นก่อน ที่จะดันไปในทิศทางเดียวกับเกียร์ 1 ซึ่งถ้าเป็น Sti จะต้องดันไปทางตำแหน่งเกียร์ 6

ในด้านการตอบสนองของกำลังเครื่องยนต์ พบว่าดูไร้เรี่ยวแรงบิด ในรอบต่ำ แต่สัมผัส ถึงกำลังแรงม้าได้ในช่วงรอบสูง คือถ้าขับที่รอบเครื่องยนต์ปกติ ไม่เกิน 4,000rpm จะพบว่ากำลังเครื่องยนต์มีให้ใช้ในแบบรถยนต์บ้านๆ ทั่วไป แต่เมื่อขับแบบซิ่ง ลากรอบไปที่ราว 4500rpm+ ไปจนถึง 7,000rpm ก่อนเข้า Redline ที่ ประมาณ 7,500rpm จะเริ่มพบอรรถรส ของเครื่องยนต์บล๊อกนี้ ที่มีกำลัง 200 แรงม้า รวมถึงซุ่มเสียงให้พอฟังกันได้แบบทุ้มๆ นุ่มๆ จากปลายท่อคู่ขนาดใหญ่ กันบ้าง แต่นั่นก็อาจยังทำให้มันกลบ เรื่องที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงบิดไปในรอบต่ำไปได้ มันจึงอาจยังไม่ถูกใจขาซิ่งบ้าความแรงนัก

ลองวัดอัตราเร่งจาก OBD 0-100 กม./ชม. ได้ 8.993 วินาที ¼ ไมล์ 16.532 วินาที (สับเกียร์ที่รอบเครื่องที่แรงม้าสูงสุด 7,000rpm)

ด้าน Top Speed ไม่มีโอกาสได้ลอง จากการทดสอบของเรามีโอกาสไปแตะที่ระดับ 180 กม./ชม. เท่านั้น ซึ่งเราคาดว่าน่าจะมีให้เห็นระดับ 210 กม./ชม. หากมีทางวิ่งยาวๆ ให้ปล่อยไหล แต่คงต้องระวังให้ดี เนื่องจากช่วงล่างนั้นดูไม่ค่อยจะมั่นคงนักที่ความเร็วสูง

ด้านอัตราสิ้นเปลืองจากการขับขี่เดินทางไกล ที่ความเร็วเฉลี่ย 110 กม./ชม. มีเร่งแซงในบางจังหวะ และรถติดบ้างอยู่ที่ราว 13 กม./ลิตร

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบผ่อนแรงไฟฟ้า ที่ให้ Handling ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เซ็ตได้ มีน้ำหนักดีมาก ชนิดที่ว่า ถ้าไม่บอกกันนี่ แทบจับความรู้สึกไม่ได้เลยว่าเป็นพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า จังหวะสาวออกตัวสาวจอด รู้สึกเหมือนกำลังสาวพวงมาลัยผ่อนแรงแบบพาวเวอร์ทั่วๆไป ชนิดใส่ล้อแม็ก 18” ซึ่งจะพบว่าน้ำหนักพวงมาลัยใกล้เคียงกับ Lancer EX 2.0 ค่อนข้างไว คมดีพอตัว แต่ที่ความเร็วสูงรู้สึกเบามือไปหน่อย แต่ระยะฟรีที่มีไม่มาก ทำให้การควบคุมทำได้ไม่ยากเย็น และเมื่อกดปุ่ม VSC Sport พบว่า พวงมาลัยจะหนืดตึงมือเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อให้ตอบสนองรูปแบบการขับขี่แบบสปอร์ตมากยิ่งขึ้น

ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท สำหรับด้านหลังใช้แบบปีกนกคู่ ดับเบิล วิชโบน

ในการขับขี่พบว่า ช่วงล่างดูจะไม่เกาะถนนเท่าที่ควร ที่ความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ขึ้นไป เริ่มรู้สึกถึงความโคลง ของช่วงล่าง แม้ว่าจุดศูนย์ถ่วงจะต่ำ แต่ยังมีอาการคลอนตัวให้เห็น และเริ่มหวาดเสียวมากขึ้นที่ความเร็วระดับ 140 กม./ชม. ขึ้นไป ซึ่งจะต้องใช้ความตั้งใจในการประคองพวงมาลัย มากยิ่งขึ้น

สำหรับในด้านของความนุ่มนวล ของการโดยสารนั้น ถ้าเทียบกับรถบ้าน นั้นถือว่า แข็งกว่าเป็นปกติ แต่เมื่อเทียบชั้นกับความเป็นรถสปอร์ตด้วยกันแล้ว BRZ ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ที่ไม่ขี้เหล่นัก เนื่องจาก การได้อานิสงค์ จากล้อ ยาง 215/45/17 จาก Michelin Primacy ที่ช่วยให้ไม่ถึงขั้นแข็งกระด้าง แบบไร้ความยืดหยุ่น

นอกจากนั้นใน Subaru BRZ คันนี้ ยังได้ติดตั้ง LSD (Limited Slip Differential) ซึ่งจะช่วยในการควบคุมแรงบิด ของล้อคู่หลังให้บาลานซ์กัน

จุดเด่นของรถคันนี้ ก็เห็นจะมีในเรื่องของ ช่วงล่างแบบรถ FR (ขับเคลื่อนล้อหลัง) ที่มีอาการท้ายปัด Oversteer ให้เห็นกันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจังหวะ เลี้ยวรถ หรือกลับรถ ไปจนถึงการขับขี่ในช่วงที่ฝนตก อาการท้ายปัด มีออกมาให้เห็นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทว่า ก็ดูไม่น่ากลัวนัก เพราะ สามารถดึงกลับมาตั้งตรงได้อย่างไม่ยาก เย็น ซึ่งที่จริงแล้ว แม้คุณปิด Traction Control แต่ถ้าหาก รถส่ายไปมา ระบบจะตัดกลับมาเปิดการทำงานเองโดยอัตโนมัติ

ระบบห้ามล้อ ใช้ระบบเบรกแบบจานดิสก์แบบมีครีบระบายความร้อน ทั้งคู่หน้าและหลัง จานดิสก์หน้ามีขนาด 294mm และ 290mm สำหรับคู่หลัง มาพร้อมระบบช่วยเบรกทั้ง ABS, EBD, BA Subaru BRZ ได้มีการเซ็ตแป้นเบรกออกมาค่อนข้างตื้น ทำให้ไม่ต้องเหยียดเท้า ในการกดแป้นเบรกลงลึก และในการเลียเบรกนั้นเนื่องจากแป้นเบรกที่มีช่วงสั้น แต่เบรกไม่จิก ทำให้การเลียเบรกแบบนุ่มเท้านั้นทำได้ไม่ยากเย็น สำหรับการเบรกที่ความเร็วสูงนั้น สามารถหน่วงรถได้ดีระดับหนึ่ง แต่การเบรกแบบเน้นหยุดรถให้อยู่ในช่วงเดียวนั้น แนะนำว่าอาจไปหา เปลี่ยนเบรกแต่งคาลิปเปอร์ 4 ลูกสูบ และจานขยาย จะดีกว่า ได้ทั้งสวยงาม และความมั่นใจที่มากกว่านี้

ในด้านของระบบความปลอดภัย นอกเหลือจากระบบช่วยเบรก ABS, EBD, BA แล้ว ก็ยังมีระบบ VSC, TRC ถุงลม SRS คู่หน้าและด้านข้าง เบาะนั่งแบบ ISOFIX สำหรับเด็ก ในเบาะหลัง นอกจากนั้นก็เป็นรีโมทกุญแจแบบ Immobilizer หน้าตาตามแบบฉบับจาก Toyota

สรุป รถ Subaru BRZ คันนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่ามันเป็นรถจากค่ายดาวลูกไก่ อย่างเต็มตัว เพราะที่จริงแล้ว มันดูเหมือนจะเป็นรถ Toyota เสียมากกว่า 50% ทั้งจากรูปลักษณ์หน้าตา, ห้องโดยสาร บุคลิกการขับขี่ เว้นเพียงแต่ เอกลักษณ์จากเสียงเครื่องยนต์สูบนอน Boxer เท่านั้น ที่ยังคงเอกลักษณ์ Subaru เอาไว้ แม้มันจะพัฒนาร่วมกับ เทคโนโลยีหัวฉีด D4S จาก Toyota ก็ตาม

ในราคาระดับ 2.5 ล้านบาท นี้ คุณสามารถซื้อรถที่แรงและ น่าจะขับสนุกกว่านี้ได้อยู่หลากหลายรุ่น แต่อย่าลืมว่า ส่วนใหญ่ นั้นเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งคงไม่ได้ฟีลลิ่งแบบรถ FR ที่มีอาการ Slip ท้ายปัดออกให้เห็น และก็รูปลักษณ์ของเจ้า BRZ นี้ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นรถรูปโฉม Coupe ตัวจริง และมีดีไซน์ที่โดดเด่น ชนิดที่ขับไปไหน ไม่มีใครมองว่าเป็นรถยนต์บ้าน เหมือนอย่างพวงรถ Compact ตัวแรงคันอื่นๆ

แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจหลงรักกับเจ้า BRZ คันนี้แล้ว ล่ะก็ ยังต้องการความแรงอีกด้วย เราขอแนะนำว่า ให้เก็บเงินเผื่อไว้อีกครึ่งล้าน เพื่อจัดชุด Superchager Kit จาก HKS แบบเต็มๆ กันไปเลย ไม่ต้องรอ Sti Version กันแล้วล่ะ เพราะ Subaru ออกมายันเองเลยว่า จะไม่ผลิต BRZ Sti Version

ขอขอบคุณ TC Subaru ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Subaru BRZ (MT) สีน้ำเงินคันนี้

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver

Subaru BRZ เกียร์ 6MT ราคา 2,560,000 บาท และ เกียร์ 6AT ราคา 2,640,000 บาท

ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก