พูดถึงรถยนต์ จากค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz แล้วล่ะก็ อาจเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ และถูกใจผู้หลักผู้ใหญ่ ในยุคก่อนเป็นอย่างมาก แต่ Mercedes ในยุคสมัยนั้นอาจมีรูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยโดนใจคน Gen Y กันนัก แต่ไม่ใช่กับปัจจุบันนี้ Mercedes-Benz ได้มีดีไซน์ที่ดูทันสมัย สวยงาม และถูกใจคนทุกเพศ ทุกวัย
และหากคุณอยากจะเริ่มต้นขับรถ Mercedes สักคัน A-Class ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ตอบโจทย์ ทั้งจากรูปลักษณ์แบบ Hatchback ที่ดูหรูหรา ทันสมัย กระทัดรัด และมากับราคาในระดับ Entry Level เริ่มต้น 1.89 ล้าน ในรุ่น A180 ไปจนถึง Top Line อย่าง A45 AMG ที่ราคา 5.79 ล้านบาท และรุ่น A250 AMG Sport คันนี้ ที่เราได้มีโอกาสทดสอบกันเต็มๆ ซึ่งบอกได้เลยว่า หากได้ลองลิ้มรส เจ้า A250 คันนี้แล้ว คุ้มค่าราคาอย่างแน่นอน มาดูกันเลยว่า A250 คันนี้จะขับดีสักเพียงใด
ภายนอก Mercedes-Benz A-Class ที่รูปลักษณ์ดูดีมีเสน่ห์ การันตีด้วยรางวัล Auto Bild Design Award 2012 ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นรถขนาดเล็ก แต่เอาเข้าจริง เมื่อวัดจากความยาวลำตัว ที่ 4,292 มม. และระยะฐานล้อ 2,699 มม. นั่นถือว่ามันเป็นรถในกลุ่ม C-Segment หรือ Compact Hatchback เต็มตัว นอกจากนั้นน้ำหนักตัวก็ใช่ย่อย เพราะหนักราวครึ่งตัน (1,445 กก.) ซึ่งเบากว่า C250 เพียง 110 กก.
A250 AMG Sport คันนี้โดดเด่นด้วยกระจังหน้า Diamond Grille เสริมความหรูหรา สวมชุดแต่ง AMG Sport รอบคัน แถมด้วยแถบสีแดงบริเวณชายล่างกันชนหน้า-หลัง สำหรับท่อไอเสียคู่ ก็ดูรับกับช่อง Rear Diffuser ที่ชายกันชนหลัง ปิดท้ายด้วยล้อ AMG ขอบ 18” แบบ 5 แฉก พร้อม ยาง Pilot Sport 3 ขนาด 235/40/18 ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องสมรรถนะที่ดีในการขับขี่ และ ยังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (CD) ที่ 0.27 ซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีอากาศพลศาสตร์ดีทีเดียว แต่ยังสู้แฝดพี่น้องร่วมฝา อย่าง CLA ไม่ได้ เพราะ CLA ถือเป็นรถที่มีค่า CD ต่ำที่สุดในโลก Production Car เพียง 0.22 เท่านั้น
ภายใน A250 AMG Sport ใช้วัสดุเบาะหุ้มหนัง Artico สลับกับ Dinamica Microfibre ซึ่งใช้หนังสีดำเดินด้ายแดง รูปทรงเบาะกึ่งสปอร์ตที่มีปีก ช่วยให้เวลาเข้าโค้งและลำตัวไม่ไหลหลุดจากเบาะ แต่ปีกนั้นไม่โอบสูงถึงหัวไหล่ เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดจนเกินไป แถมปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ค่า ทั้งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
แผงคอนโซลกลางตกแต่งลายเคฟล่า เข้ากับ look sport มีหน้าจอแบบ Freestand เชื่อมต่อกลับกล้องมองหลัง ซึ่งดูความละเอียดภาพจะน้อยไปหน่อย สั่ง Command ได้จากปุ่มหมุนวงกลม
พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน มีขนาดที่อวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือไปสักหน่อย หากผู้ที่มีมือขนาดเล็ก อาจจับได้ไม่กระชับนัก
ก้านเกียร์ที่อย่ทางฝั่งขวาของพวงมาลัย การปรับเลือกตำแหน่งเกียร์จะใช้สวิทช์ขวามือเป็นตัวบังคับ
ก้าน Cruise Control และ Speed Limit ที่อยู่ด้านซ้ายล่างของพวงมาลัย ดูจะวางตำแหน่งได้ไม่ดีนัก เพราะถ้าผู้เขียนไม่ได้ถ่ายรูปภายในก็จะไม่สังเกตุเห็นเนื่องจากพวงมาลัยแบบ 3 ก้านบังไว้สนิท
และการใช้ดูจะลำบากสักเล็กน้อย เพราะจะต้องใช้ความรู้สึกในการดันก้านขึ้น หรือลง เพียงหนึ่งครั้ง จะเป็นการเปิดการทำงานของ ทั้ง 2 ระบบ ซึ่งจะเลือกสลับกันระหว่าง Cruise Control และ Speed Limit หลังจากเปิดการทำงาน เมื่อดันก้านขึ้น ก็จะเป็นการปรับเลื่อนความเร็วมากขึ้น ถ้าดันลงก็จับลดความเร็วลง และกดปุ่มตรงปลายก้านลงไปตรงๆ เพื่อ cancel ระบบ
สำหรับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ thermatic จะหมุนเวียนอากาศภายในออกไปทุกๆ ชม. ซึ่งจะต้องกดปุ่ม หมุนเวียนอากาศในห้องโดยสารใหม่ เนื่องจาก รถ Mercedes ทุกคัน เซ็ตไว้เช่นนี้เพื่อไล่อากาศเสียออก
สำหรับเบาะตอนหลังไม่สามารถพับแบบ 60:40 ได้ ด้านหลังมีที่เท้าแขนให้ ซึ่งสามารถวางแก้วกาแฟได้ 2 แก้ว แต่หากลองมานั่งเป็นผู้โดยสารตอนหลัง จะรู้สึกได้ทันทีว่ามันแข็งกระด้างมากๆ และเวลาเคลื่อนผ่านลูกระนาด อาจจะต้องยกก้น เอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระแทกจนตัวหลุดลอยเจ้าพนักพิง
ขุมพลังเครื่องยนต์ 4 สูบ เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 1,991cc ให้กำลัง 211 แรงม้า@5,500rpm แรงบิด 350Nm@1,200-4,000rpm เคลมตัวเลข 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที และ Top Speed ที่ 240 กม./ชม.
ในการขับขี่ทั่วๆ ไปเมื่อเดินคันเร่งแบบแผ่วเบาอาจพบคันเร่งไฟฟ้าที่ดูแข็งไปสักนิด การเคลื่อนตัวอาจเป็นไปได้ช้า แต่เมื่อทันทีที่เติมคันเร่งลงไป ประมาณ 1/3 ไม่ว่าจะอยู่ที่โหมดการขับขี่ใด รอบเครื่องยนต์ที่ระดับ 1,500rpm ขึ้นไปแล้ว จะสัมผัสได้ถึงแรงบิด จำนวนมากมาฉุดกระชากที่เบาะหลัง ทำให้คุณอาจร้อง “Wow” ในใจ และยิ่งกดกระแทกคันเร่งแบบจมมิดแล้วละก็ พละกำลังแรงม้าทั้งหมด จะถูกถ่ายทอดออกมาภายในเสี้ยววินาที ที่ต้องรอการทำงานของเกียร์ เพราะบูสต์ นั้นมาหนักให้สัมผัสได้ตั้งแต่รอบต่ำ คือไม่ต้องรอเรียก อัตราเร่งที่น่าประทับใจในช่วงออกตัวนั้นยังไม่พอ เพราะหากคุณขับขี่ที่ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. และกระทืบคันเร่งลงไป รอเพียงไม่กี่อึดใจ เข็มบอกความเร็วจะโผล่ขึ้นไปชี้ที่ 180 กม./ชม. ได้อย่างรวดเร็ว
A250 คันนี้ มีสไตล์ฟีลลิ่งการขับขี่แบบดิบๆ ไม่นุ่มนวล ทั้งจากการทำงานของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังจนถึงช่วงล่าง นี่ล่ะรถสปอร์ตที่แท้จริง ในคราบ รถ 5 ประตูบ้านๆ แฝงพละกำลังเอาไว้ภายใต้ฝากระโปรงหน้า ด้วยสมรรถนะในระดับนี้ คุณสามารถที่จะขับแซงรถบ้าน แทบทุกคันได้อย่างไม่ยาก รวมถึงรถบ้านที่โมดิฟายด์ หรือลงเทอร์โบ หรือจะกระบะดันราง รวมไปถึงรถสปอร์ต หลากหลายรุ่น ที่ต้องยอมสยบ
สำหรับโหมดการขับขี่ที่มีปุ่ม E S M อยู่ด้านข้างไฟฉุกเฉิน การขับขี่ที่โหมดปกติ ทั่วไปคือ โหมด E ซึ่งในโหมดนี้ ที่ตำแหน่งเกียร์บนหน้าปัด จะขึ้นโชว์เป็น D และมีตัวเลขห้อยตามหลัง ทันทีที่คุณปรับเป็นโหมด M ไม่ว่าจะกดที่ก้าน Paddle Shift ก็ตาม คุณจะต้องสับเกียร์ด้วยตนเอง และที่หน้าปัด จะโชว์ตำแหน่งเกียร์เป็นตัวเลข สำหรับโหมด S จะยังคงเป็นโหมดออโต้ ซึ่งการตอบสนองของกำลังเครื่องยนต์ จะให้ความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ลากรอบได้มากขึ้น การตอบสนองของคันเร่งไว้ขึ้น นิดหนึ่ง
ทางด้านขวาของปุ่มไฟฉุกเฉิน จะเป็นปุ่ม Eco ซึ่งเปิดการใช้งานระบบ Start/Stop โดยฟังก์ชั่นนี้จะทำงานอัตโนมัติเมื่อ คุณเหยียบเบรกจนความเร็วเป็น 0 ภายในเวลาเพียงประมาณ 1-2 วินาที เครื่องยนต์ก็จะดับลง (ส่งผลให้คอมแอร์ตัดการทำงานด้วย) และเมื่อคุณยกเท้าออกจากเบรกเครื่องยนต์ก็จะกลับมาติดทันที ซึ่งในบางครั้งที่คลานรถติดในตัวเมืองมันทำให้น่ารำคาญมากพอสมควรเลย
เรามาลองดูตัวเลขสมรรถนะจากการทดสอบวัดจริงกันดู จาก OBD Bluetooth ได้ค่าดังนี้
0-100 กม./ชม. ใน 7.466 วินาที ¼ ไมล์ 15.78 วินาที ที่ความเร็ว 148 กม./ชม.
ด้าน Top Speed เราทำได้ที่ 225 กม./ชม. ซึ่งหากมีระยะทางให้ไหลต่อ น่าจะได้ใกล้เคียงกับตัวเลขเคลม
ในด้านตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองจากการขับขี่ใช้งานจริงในตัวเมืองที่รถติด ได้ที่ 10.1 กม./ลิตร และ การขับขี่เดินทาง ที่ความเร็วเฉลี่ย 100-140 กม./ชม. และมีลองรีดเค้นสมรรถนะของตัวรถด้วย มีตัวเลข 9.3 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ กับรถที่แรงในระดับนี้
ด้านระบบส่งกำลัง ของ A250 ใช่เกียร์ Dual Clutch 7 Speed (7G DCT ) ถ่ายกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถควบคุมมากเปลี่ยนเกียร์ได้จาก paddle Shift ที่เป็นแผ่นพลาสติกขนาดเล็ก ด้านหลังพวงมาลัย ในการขับขี่ใช้งานใน โหมด D เกียร์จะเปลี่ยนเองอัตโนมัติ รวดเร็วในสไตล์การทำงานของ Dual-Clutch
เมื่อกระทืบคันเร่งรอบจะกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว และลากจนเข้าชน Redline ที่ราว 6,250rpm ก่อนจะขึ้นเกียร์ต่อไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีอัตราทด 7 Speed
แม้หลักการทำงานในการเปลียนเกียร์ Dual Clutch จะรวดเร็ว แต่หากจู่ๆ Kick Down ลงไป หรือ เล่นที่ก้านเกียร์ เพื่อเปลี่ยนด้วยตนเอง จะพบว่าเกียร์ยังดูตอบสนองช้าเกินไป ซึ่งจุดนี้ส่งผลให้เสียจังหวะเมื่อต้องเร่งแซง ดังนั้นอาจต้องระวังให้ดี จากเท่าที่ลองดู ลดเกียร์ด้วยก้าน Paddle Shift อาจตอบสนองเร็วกว่า การ KickDown อยู่เพียงเสี้ยวสั้นๆ ของวินาที ซึ่งเราแนะนำ ว่า ใช้กระแทกคันเร่งน่าจะง่ายกว่า เว้นแต่ต้องการลดเกียร์ช่วย เพื่อทำ Engine Brake และเมื่อต้องการกลับสู่โหมด D ปกติ ก็เพียงกดก้าน Paddle Shift ที่ตำแหน่ง + ค้างไว้ 2 วินาที
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า มีรัศมีวงเลี้ยว 5.5 ม. ช่วยให้คล่องตัวขณะกลับรถ และการขับเลี้ยวลัดเลาะได้อย่างคล่องตัวแม้ลำตัวจะอยู่ใน Size Compact พวงมาลัยผ่อนแรงแปรผันตามความเร็ว ทำให้สามารถสาวได้คล่องมือที่ความเร็วต่ำ แต่ไม่ถึงขั้นเบาหว๋องเนื่องจากล้อที่ใหญ่และยางที่ค่อนข้างกว้าง และเมื่อขับเคลื่อนที่ความเร็วสูงขึ้นพวงมาลัยจะตึงมือขึ้นแบบสัมผัสได้ ทำให้การประคองพวงมาลัยไม่ต้องเกร็งมือมากจนเกินไป แต่เมื่อผ่านพ้นความเร็วราว190 กม./ชม. ขึ้นไปนั้น พวงมาลัยกลับรู้สึกเบาลงและดูไวต่อพื้นถนนมากขึ้น
สำหรับการหักเลี้ยวพวงมาลัยนั้น ให้ความรู้สึกที่แม่นยำ คม และไม่ไวจนเกินไป จากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าควบคุม ซึ่งยังพอให้รู้สึกฟีลลิ่งหน่วงๆ มืออยู่บ้าง
ด้วยความแม่นยำที่ดีของพวงมาลัย ทำให้การเข้าโค้งที่แคบ หรือโค้งลึก นั้นเห็นผลได้ชัด โดยเฉพาะช่วงที่เรานำรถออกจากตึกจอดรถนั้น ทำได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ทางวนรถจะดูแคบ แต่ A250 คันนี้ ได้ระบบบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ จนทำให้เรารู้สึกเพลินกับการวนรถขึ้น-ลง จากลานจอด โดยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และช่วงล่างด้านหลังแบบ 4 Link ในรุ่น A250 คันนี้จะได้รับการปรับเซ็ตให้ออกมา Look Sport เต็มตัว จาก AMG ทั้งสปริงที่เตี้ยลงกว่ารุ่น A180 15มม. และโช๊คอัพที่เสริมความหนึบแน่น
ในด้านหน้านั้นถึงแม้จะแข็ง แต่ซับแรงดี สังเกตุได้จากการลุยผ่านทางขรุขระ หรือทางรถไฟ ไม่รู้สึกสะท้าน แต่เมื่อผ่านลูกระนาดแล้วละก็ แข็งเอาเรื่องเลย ขณะที่ด้านหลัง แข็งกระด้างสุดๆ จากการได้ไปนั่งตอนหลัง เวลาเจอลูกระนาด แม้จะหย่อนช้าๆ แล้วก็ตาม ก้นยังลอยหากไม่รัดเข็มขัด จนต้องยกก้นรอไว้เลย เวลาเจอลูกระนาด ด้วยช่วงล่างที่บรรจงปรับเซ็ตมาจาก AMG มันมีข้อดี คือ ที่ความเร็วสูงยังคงเกาะถนนดีเยี่ยมแม้ความไวพวงมาลัยจะเริ่มมีมาให้สัมผัส ซึ่งส่วนหนึ่งอาจต้องขอบคุณ ค่า cd ที่ต่ำช่วยลู่ลงและจิกเกาะถนนได้อย่างดี และการเข้าโค้ง ยังสามารถเข้าโค้งที่ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ได้อย่างมีประสิทธิภาพราวตุ๊กแกยึดเกาะกำแพงอย่างไงอย่างั้น แม้การเข้าโค้งที่ความเร็วสูงอาจมีอาการหน้าดื้อ Understeer ให้เห็นเล้กน้อย แต่ระบบ TCS และ ESP ก็ช่วยพยุงตัวรถให้มีเสถียรภาพอย่างดีที่สุด และยางคุณภาพเยี่ยมอย่าง Michelin PS3 ที่ผู้เขียนใช้อยู่ ก็ช่วยเสริมความมั่นใจได้มาก แถมการขับขี่ในช่วงที่ฝนตกก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
เอาเป็นว่า ถ้าหาก คุณไม่ได้คึกคะนอง ขับเข้าโค้งผิดไลน์ด้วยความเร็วสูงเกินไป พร้อมกับปิดระบบช่วยอย่าง ESP TCS แล้วล่ะก็ ช่วงล่างของเจ้า A250 นี้ ถือว่าให้ความมั่นคง ยึดเกาะได้ปลอดภัยในลำดับต้นๆ ของรถในกลุ่มนี้เลยทีเดียว
ระบบเบรก แบบดิสก์หน้า-หลัง โดยใช้คาลิปเปอร์สีแดง โดยด้านหน้ามีคำว่า Mercedes-Benz สร้างความโดดเด่นขึ้นภายใต้ล้อ AMG ขนาด 18” ตำแหน่งของแป้นเบรกนั้น เซ็ตแป้นที่ค่อนข้างตื้น ในช่วงแรกที่ยังไม่ชินระยะการลงน้ำหนักเท้า อาจทำให้มีหน้าทิ่มกันบ้าง แต่ถูกต้องแล้วด้วยช่วงล่างและสมรรถนะรถแบบสปอร์ต เซ็ตเบรกมาแบบนี้ ทำให้การตอบสนองของเบรกทำได้ว่องไว เบรกจิกเท้า หนึบมั่นใจ ในทุกครั้งที่ชะลอความเร็ว แม้มาจากความเร็วสูง ก็ยังทำได้ดีหายห่วง
นอกจากนั้นระบบช่วยความปลอดภัย ก็มีให้ทั้ง ระบบเบรก ABS, BAS, Adaptive Brake, สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบเตือนแรงดันลมยาง, ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าจากการขับขี่ (Attention Assist), ระบบการทรงตัว ESP ที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษ , ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (ASR), กล้องมองภาพหลัง เป็นต้น
สรุป Mercedes-Benz A250 รถยนต์ Compact Hatchback ที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ จากค่ายดาวสามแฉก
แม้จะเป็น Class A ซึ่งอาจดูเหมือนจะเป็นรุ่น Entry Level ในราคา 2 ล้านกลาง แต่ด้วยรหัสขุมพลังที่ต่อท้ายด้วยเลข 250 ช่วยการันตีความแรงของมันได้เป็นอย่างดี A250 คันนี้ เล่นเอารถที่รูปทรงสปอร์ตหลายคันต้องอายยอมสยบให้กับรถ Hatchback หน้าตาบ้านๆ หรือแม้กระทั่ง Mini Cooper S ที่ราคาแพงกว่า ก็มิอาจหนีรอดสมรรถนะของเจ้า A250 ไปได้ ด้วยสมรรนะในระดับนี้ หากเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Segment รวมถึงพิกัดเดียวกันแล้วล่ะก็ ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ VW Golf GTi โดยตรง แต่สำหรับคนไทยแล้ว แน่นอนว่าด้วยแบรนด์และชื่อชั้น รวมถึงศูนย์บริการ อย่างไรซะ โลโก้ดาวสามแฉก ก็ย่อมดูดีกว่าแน่นอน
หากคุณยังเป็นวัยรุ่น (ทั้งอายุ และจิตใจ) ที่ชอบรถในรูปแบบ 5 ประตู Hatchback และรักในการขับเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ล่ะก็ ลองมีโอกาสขับเจ้า A250 นี้สักนิดรับรองจะติดใจ และหลงรักมันเข้าแน่ๆ แม้หน้าตาจะดูบ้านๆ แต่แอบแฝงความแรง ทั้งจากล้อแม็กคาลิปเปอร์เบรก ท่อคู่ และดิฟฟิวเวอร์ท้าย มันอาจทำให้รถสปอร์ต หรือพวกรถเครื่องใหญ่ หลายคันคิดผิด หากจะมาแหยมกับ A250 คันนี้ แต่การขับสนุกจากสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมของมัน ก็ต้องทำใจนิดหากมีผู้โดยสารตอนหลังเดินทางไปกับคุณด้วย เพราะช่วงล่างด้านหลังที่แข็งระดับเรียกพี่แล้วล่ะก็ คงไม่อยากจะเชิญชวนให้ใครมานั่งที่เบาะตอนหลังเจ้า A250 คันนี้เป็นแน่ และอีกจุดที่แอบเสียดายเล็กๆ คือไม่ได้มีระบบ Keyless Entry และ Push Start มาให้
ขอขอบคุณ Mercedes-Benz ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Mercedes-Benz A250 AMG Sport คันสีเทา Mountain Grey ราคา 2,490,000 บาท คันนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
พบรถ Mercedes-Benz มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น