รีวิวทดสอบ MV Agusta Rivale มอไซค์ที่สวยสุดในโลกปี 2012 ที่ได้รับรางวัลรถจักรยานยนต์สวยที่สุดใน EICMA ปี 2012
รีวิว MV Agusta Rivale
เมื่อพูดถึงรถจักรยานยนต์ที่มีความงดงาม เรียกได้ว่าเป็นยนตรกรรม 2 ล้อ แห่งศิลปะ “Art of Bike” คงหนีไม่พ้นแบรนด์ MV Agusta จากฝั่งอิตาลี และหนึ่งในรถที่สร้างชื่อในด้านของความงามที่ไม่เป็นรองใครให้แก่แบรนด์ MV Agusta ก็คือ MV Agusta Rivale 800 คันนี้ ที่ได้รับรางวัลรถจักรยานยนต์สวยที่สุดใน EICMA ปี 2012 ซึ่งในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะเราได้นำเจ้ารถที่มีความสวยงามดีกรีระดับโลกมาถ่ายทำรีวิวทดสอบกัน
Rivale เป็นภาษาอิตาเลียน แปลเป็นไทยว่า คู่แข่ง ซึ่งหลายคนมักมองว่ามันเป็นคู่แข่งกับ Hypermotard ทั้งในด้านของรูปทรงของตัวรถ เครื่องยนต์ที่มีความจุในระดับเดียวกัน รวมถึงความเป็นแบรนด์จากแดนมักกะโรนี เช่นเดียวกัน
MV Agusta Rivale เป็นรถที่มีรูปทรงแบบ Supermoto ที่เน้นอวดทรวดทรงสรีระทางด้านท้ายแบบเปิดโล่งตูดแหลม โดยมีไฟท้าย และไฟเบรก LED เรียงเป็นเม็ด 2 แถว ซึ่งมองแล้วมีสไตล์ละม้ายคล้าย Ducati Diavel
สำหรับไฟเลี้ยวด้านหน้าจะอยู่ในตัวของการ์ดแฮนด์ ซึ่งมาพร้อมไฟแบบ DRL ในตัว ส่วนไฟเลี้ยวด้านหลังถูกจับไปอยู่ด้านล่าง ติดอยู่บริเวณกันโคลนหลัง ซึ่งดูต่ำไปต่อการใช้งานจริงบนถนนที่รถติดไปสักหน่อย สำหรับไฟหน้าที่ดูเป้นทรงสามเหลี่ยมมีคางเหลี่ยมแหลมลงมาทำให้รับกับทางด้านท้ายที่ตูดแหลม เสริมความหล่อด้วยโครงถักสีแดงข้างลำตัว ซึ่งดูตัดกันกับรถสีดำเป็นอย่างดี และเอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ของรถ MV Agusta ในแทบทุกรุ่น ก็คือดีไซน์ท่อไอเสีย เรียงออก 3 ช่องทางด้านข้าง พร้อม Single Side Swingarm ที่โชว์ลวดลายล้ออลูมีนัมอัลลอยอันสวยงาม และความใหญ่โตของล้อและยาง ซึ่งยางที่สวมใส่เป็นของ Pirelli Diablo Rosso II (สเป็กเดียวกับ Hypermotard) ขนาด 120/70/17 หน้า และ 180/55/17 หลัง สำหรับตัวเบาะมีความสูงถึง 881 มม.โดยมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 178kg แบบ Dry Weight (หนักกว่า Hypermotard 3 กก.)
ด้านหน้าจอ LCD ซึ่งมีตัวเลขบอกความเร็วเป็นแบบดิจิตัล, วัดรอบเป็นสเกลในแนวนอน, ตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ โดยตำแหน่งเกียร์ 0 = N, นาฬิกา, Engine Map 3 Mode แถมสร้าง Engine Map เองได้ด้วย, มีนาฬิกาจับเวลา Lap Record และมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย คือ Traction Control ปรับได้ 8 ระดับ
ทางประกับไฟด้านซ้าย มีไฟ Pass มาให้ใช้ แต่ยังคงไม่มีสวิทช์ไฟฉุกเฉินให้ พร้อมปุ่มปรับ Set และ OK ใช้ Command ในการเลือกเมนู ทางประกับไฟด้านขวามีปุ่ม Off-Run และปุ่มสตาร์ท ซึ่งใช้เซ็ต Engine Map ด้วย
เอกลักษณ์เครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 798cc ให้พละกำลัง 125bhp ที่ 12,000rpm และแรงบิด 84Nm ที่ 8,600rpm ที่สามารถทำความเร็วปลายได้สูงถึง 245km/h
ซึ่ง MV Agusta Rivale ถือเป็นรถรุ่นที่ 3 ที่ใช้เครื่องยนต์บล๊อกนี้ต่อจากรุ่น Brutale 800 และ F3 800
ทันทีที่สตาร์ทเครื่องพร้อม พร้อมเสียงกระหึ่มดังจากเสียงเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เมื่อลองเบิลเครื่องดูจะพบเสียงที่หวานหู อันเป็นเอกลักษณ์ดูดุดัน แต่ไม่ถึงกับดิบกร้าวจนเกินไป
กำคลัช (คันนี้ได้ใส่ก้านเบรกและคลัชแต่งปรับระดับ Rizoma) ตบเกียร์ 1 ออกตัว เมื่อเปิดคันเร่ง จะสัมผัสได้ถึงอาการหน่วงนิดๆ แม้จะเป็นคันเร่งแบบ Ride by Wire (คันเร่งไฟฟ้า) ในการขับขี่ที่ Engine Map แบบ Normal
การออกตัวในช่วงรอบเครื่องต่ำ Torque ยังถือว่ามีมาให้สัมผัสกันพอสมควร แต่กำลังเครื่องจะมาแบบเห็นชัดที่รอบเครื่องระดับ 3,000rpm ขึ้นไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า ขุมพลังแบบ 3 สูบนี้ ให้ความโดดเด่นในย่านกลางของรอบเครื่องยนต์ มันดูน่าประทับใจในช่วงรอบเครื่องประมาณ 5,000-8,000rpm ช่วงนี้ ที่ให้พละกำลังสำหรับเร่งแซงรถในตัวเมืองได้อย่างเพียงพอหายห่วง ก่อนที่เตะเกียร์ขึ้นด้วยระบบเกียร์ Quick Shift โดยที่สามารถงัดเกียร์ได้เลยโดยไม่ต้องกำคลัช ช่วยให้การเข้าเกียร์ทำได้อย่ารวดเร็วและต่อเนื่อง ช่วยส่งกำลังต่อเนื่องลงสู่ล้อคู่หลังได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าขับขี่แค่ในตัวเมือง เพียงแค่รอบเครื่อง 8,000rpm ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว และเมื่อลองลากรอบไปเรื่อยๆ เพื่อให้พ้นช่วง Torque เข้าถึงช่วงกำลังแรงม้าเกือบสูงสุดที่ระดับประมาณ 11,000rpm ขึ้นไป แรง G ที่หนักหน่วงพร้อมกับลมที่ปะทะใส่ลำตัวและหมวกกันน๊อก เพราะด้วยสไตล์ของตัวรถแบบ Supermoto นี้ ที่ทั้งสูง และเปลือยช่วงหน้า ทำให้ลำตัวนั้นปะทะกับแรงลมอย่างเต็มๆ รวมถึงน้ำหนักของแฮนด์ที่เราดูแล้วแปลกๆ จึงทำให้ดูจะต้องใช้พละกำลังของร่างกายมากสักหน่อย ในการควบคุมรถ และต่อต้านกับแรงลมที่มาปะทะลำตัวอย่างต่อเนื่อง เราพบว่าช่วงความเร็วที่ไม่เหนื่อยเครียดจนเกินไปต่อการควบคุมรถคันนี้ อยู่ที่ช่วงความเร็วไม่เกิน 180 กม./ชม. (ขึ้นกับสภาพลมที่มาปะทะ ณ ขณะนั้นด้วย)
ในด้านของการใช้งานในตัวเมืองที่รถติดขัด สำหรับช่วงที่ต้องจอดรถนิ่ง การหาเกียร์ว่าง N (เกียร์0) ก็ถือว่าไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก เหมือนอย่างค่ายคู่แข่ง ที่ต้องมาคอยขยับก้านคลัชให้ได้ตำแหน่งจนสามารถเข้าเกียร์ N ได้
และในเรื่องของความร้อน นั้นพบว่าระดับของความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวโครงถักนั้นช่างร้อนระอุ และถ้าไม่สวมกางเกงขายาว คาดน่องขา มีสิทธิไหม้ได้เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าการขับขี่ที่รถติดนั้นถือเป็นเรื่องยากลำบาก และทรมานเอาเรื่อง ซึ่งมันช่างต่างจากการวิ่งทางไกล เพราะได้รับลมปะทะ ซึ่งทำให้ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ออกไปได้อย่างต่อเนื่อง เอาเป็นว่าเราต้องดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ติดไฟแดง หรือติดแหง่กขยับรถไปได้เป็นเวลานาน แทบทุกครั้งไป แต่ก็ยังถือว่าระดับสเกลความร้อนนั้นขึ้นเพียงถึงขีดระดับที่ 6 ยังไม่มีถึงขั้น Overheat ออกมาให้เห็น ซึ่งในจุดนี้เราถือว่าเครื่องยนต์มีความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนในบ้านเราสูงพอสมควร
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้นเราสามารถทำค่าเฉลี่ยในการเดินทางไกลได้ราว 18-19 กม./ลิตร ขับแบบเรื่อยๆ ที่ความเร็วระดับ 100 กม./ชม.ไม่กระแทกเค้นคันเร่งกันนัก แต่ในช่วงที่เราได้ลองขับซัดๆ ช่วงที่ถ่ายทำ VDO รีวิว กลับพบว่ามันกินเอาเรื่องทีเดียวอยู่ในระดับ 12 กม./ลิตร ซึ่งถ้าเติมน้ำมันเต็มถังและขับขี่แบบซัดๆ นั้น ประมาณ 100 กม. ไฟเตือนระดับน้ำมันจะโผล่ขึ้นมาเตือนเราแล้ว
การควบคุมและการบังคับเลี้ยว ถึงแม้ว่าช่วงแฮนด์ที่ดูเหมือนจะดูแคบ แต่ด้วยการ์ดแฮนด์ยื่นออกมา แม้จะพับกระจกเก็บแล้วก็ตาม การมุด ช่องรถติด ก็ยังทำได้ลำบาก ในขณะที่การเลี้ยวตัดผ่านเลนด้วยลำตัวรถที่ไม่ยาวมาก และแฮนด์บาร์ที่หักองศาเข้าได้มาก จึงทำให้การเลี้ยวตัดเลนไม่ถือว่าลำบากจนเกินไป เพียงแต่คุณจะต้องเหยียบให้เต็มเท้าจากเบาะที่สูง ให้มั่นคงเพียงเท่านั้น
สำหรับองศาของการหักวงเลี้ยว จะพบว่าน้ำหนักทางด้านหน้า มีการถ่ายเทบาลานซ์ ที่ดูจะแปลกๆไปสักนิด คือไม่ได้ดูเบาอย่างที่คิดและการหักแฮนด์เลี้ยวดูจะลำบากฝืนๆ ธรรมชาติไปสักหน่อย
การขับขี่เข้าโค้งที่กว้างให้การควบคุมในด้านการยึดเกาะที่ดี ทั้งจากพื้นที่ของหน้ายางกว้าง 180 แม้ตัวรถอาจจะสูง และแฮนด์ลิ่งที่ดูมั่นคง หนักแน่น แต่สำหรับการเข้าโค้งแคบที่แคบ หรือการเลี้ยวโค้งที่อาจต้องหักองศาแฮนด์ในการเลี้ยวนั้น ดูอาจจะต้องระมัดระวังและควบคุมให้ดีตามที่ได้กล่าวไป ซึ่งการเลี้ยวในวงแคบที่ดูเหมือนจะฝืนธรรมชาตินี้ จึงอาจต้องใช้พละกำลังจากร่างกายในการควบคุมรถเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย
ระบบกันสะเทือน โช้คอัพคู่หน้าแบบ UpSideDown จาก Marzocchi ขนาด 43mm ที่สามารถปรับ Rebound-Compression Damping และ Spring Preload โช้คอัพเดี่ยวหลัง Progressive Sachs สามารถปรับ Rebound-Compression Damping และ Spring Preload ได้เช่นกัน พร้อมสวิงอาร์มหลังเดี่ยวแบบอลูมีเนียม
ระบบกันสะเทือน ที่เซ็ตมาเดิมๆ นี้ ถือว่าเซ็ตมากลางๆ ไม่ถึงกับแข็งจนเกินไป สำหรับการมีผู้โดยสารซ้อนหรือขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันรวมถึงการออกทริป มันพอมีระยะยุบ และคืนตัวเล็กๆ ให้ได้สัมผัส ไม่ใช่กระแทกแบบกระเด้งสวนกันจนทำให้ป่วนท้องไส้ แบบพวกตระกูล Sport ทั้งหลาย แต่ถึงกระนั้น Rivale มันก็ยังเป็นรถที่เหมาะที่จะวิ่งบนพื้นถนนที่ลาดยาง และราบเรียบเพียงเท่านั้น แม้จะเป็นโช้คอัพ USD แบบปรับระดับได้แบบสมบูรณ์ก็ตาม แต่ด้วยตัวยาง Diablo Rosso II มันก็ยังเหมาะเพียงแค่เป็น On Road เท่านั้น และรุ่นของยางก็ชี้ชัดว่ามันเป็นยางที่เหมาะสำหรับรถแนว Sport
ระบบเบรก ใช้จานดิสก์คู่หน้าขนาดมาตรฐาน 320mm กับคาลิปเปอร์แบบ Radial Mount Monobloc 4 ลูกสูบจาก Brembo และจานดิสก์หลังขนาด 220mm พร้อมคาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบจาก Brembo เช่นกัน โดยปั๊มเบรกบนใช้จาก Nissin ซึ่งไม่มีระบบ ABS ติดตั้งมาให้ แต่ด้วยศักยภาพของระบบเบรก Twin-Disc จากคาลิปเปอร์ Brembo Monobloc ทำให้การหยุดรถนั้นทำได้อยู่ในเกณฑ์ดี กำเบรกได้ติดมือ ในขณะที่เบรกหลังแม้จานหลังจะมีขนาดเล็กกว่า Hypermotard อยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้ศักยภาพโดยรวมของเบรกนั้นลดลง แต่สิ่งที่อาจต้องระวัง คือการเบรกเบรกบนพื้นถนนที่เปียกหากลงเบรกแรงเกินไป ล้อมีสิทธิล๊อก และแน่นอน อาจทำให้สูญเสียการควบคุมบนพื้นถนนเปียกได้ง่ายยิ่งกว่า แต่สำหรับการเบรกบนพื้นผิวที่แห้งนั้น ถือว่าทำได้ดีไม่เป็นอุปสรรคแม้จะลงน้ำหนักที่ก้านเบรกหนักไปหน่อย แต่การคลายนิ้วออกและเบรกจิกเข้าอีกครั้งก็ช่วยลดอาการเบรกล๊อกได้อย่างไม่ยากเย็น
สรุป MV Agusta Rivale รถ Supermoto ที่ถือได้ว่ามีดีไซน์สวยที่สุดในรถระดับเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะขี่ไปไหนมาไหนย่อมดึงดูดสายตาผู้คนบนท้องถนนได้เป็นอย่างมาก แต่ในท่านั่งการขับขี่และควบคุมนั้น อาจดูแปลกๆ ซึ่งดูจะควบคุมได้ยากไปสักนิด และการ์ดแฮนด์และกระจกมองข้างจึงอาจทำให้มันคล่องตัวน้อยลงในสภาพการจราจรที่ติดขัด นอกจากนั้นในด้านของขุมพลัง 3 สูบ เปี่ยมสมรรถนะที่ต้องเรียกว่าเหลือๆ ที่ระดับแรงม้า 125 ตัว (สูงกว่ารถยนต์เครื่อง 1.6 ลิตร) ขึ้นกับว่าคุณจะใจกล้าพอ ที่จะพารถที่รูปทรงสูงโด่ง ดูเปลือยไร้วินด์ชิลหน้าและแฟริ่งให้ทะลุที่ความเร็ว 200 กม./ชม.ได้หรือไม่
แม้ว่าสเป็กโดยรวมอาจจะไม่ได้โดดเด่นกว่า Hypermotard มากนัก นอกจากโช๊คอัพหน้าจาก Mazocchi แรงม้าที่มีมากกว่า 15 ตัว พร้อม Quick Shift กับเสียงเครื่องยนต์ 3 สูบที่ไพเราะเสนาะหูกว่า 2 สูบ L-Twin ด้วยราคาที่อาจทำให้คุณซื้อ Hypermotard ได้ 2 คัน แต่เชื่อได้ว่ามันจะทำให้คุณภูมิใจในความเป็นเจ้าของ MV Agusta Rivale คันนี้ แม้อาจต้องแลกด้วยค่าตัวเฉียดล้านบาทก็ตาม
ขอขอบคุณ บริษัท โมโต วิชั่น สำหรับ ยนตกรรม 2 ล้อ ระดับโลก MV Agusta Rivale 800 มูลค่า 9.8 แสนบาท คันนี้ให้ทางเราได้นำมาทดสอบกัน
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น