หากว่ากันถึงชุดอัพเกรดสมรรถนะของรถยุโรป คอรถซิ่งคงต้องรู้จักกันดี กับ AMG ของ Mercedes และ M Power ของ BMW แต่ถ้าพูดถึงรถยนต์จากสวีดิช อย่าง Volvo แล้วล่ะก็ หลายคนอาจจะเคยได้ยินหรือรู้จักกับ Polestar
Polestar มีความหมายว่าดาวเหนือ ซึ่งจะสังเกตุเห็นได้จากโลโก้ที่มีรูปดาวเหนืออยู่ที่หางตัว r และอีกนัยมันมีความหมายว่า Pole Position ในการแข่งขันอีกด้วย ชื่อนี้มีมายาวนานถึง 18 ปี เริ่มด้วยการทำทีมแข่ง ตั้งแต่ปี 1996 ในรุ่นแรก Volvo 850 Polestar ที่ใช้ในการแข่งขัน Touring Car จนมาถึงปัจจุบัน S60 Polestar ที่แข่งขันรถ V8 Supercar ซึ่งสร้างชื่อให้แก่ Volvo Polestar เป็นอย่างมากทั้งการขึ้นโพเดียม และการได้ Pole Position บ่อยครั้ง
และในวันนี้ (17 ตค. 2014) ทาง Volvo Cars ประเทศไทยได้จัดเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของการปรับแต่ง Software Polestar ใหม่ ซึ่งที่จริงแล้วสามารถปรับแต่งใช้ได้กับรถในหลากหลายรุ่น โดยที่ทาง Volvo ได้เคลมว่าไม่กินน้ำมันเพิ่ม และไม่ปล่อยไอเสียมากไปกว่าเดิม ซึ่งสามารถติดตั้งได้ที่ดีลเลอร์ Volvo ทุกแห่ง
โดยในวันนี้ได้เลือกขุมพลัง T5 Drive E ใน Volvo S60 เพราะว่า S60 โฉมปัจจุบัน ได้ถูกนำมาใช้เป็นรถแข่งของ Polestar ตั้งแต่การแข่งในปี 2012 Scadinavian Touring Car และ Australian V8 Supercar ในปัจจุบัน และในทริปทดสอบนี้ทาง Volvo Cars Thailand ได้เชิญคุณ Johan Meisser ผู้เชี่ยวชาญจาก Polestar สวีเดน ได้ร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วย ซึ่งทำให้สื่อมวลชนได้มีโอกาสสอบถามซักตอบข้อสงสัยกันจากผู้เชี้ยวชาญอย่างเต็มที่
สำหรับเส้นทางการขับขี่เริ่มต้นออกเดินทางจาก Volvo Cars สำนักงานใหญ่ หัวหมาก มุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร Restaurant and Wine Bistro ชะอำ ก่อนที่จะเดินทางกลับมายัง Volvo สำนักงานใหญ่ที่เดิม
รถยนต์ Volvo S60 ที่ทางเราได้ทดสอบเป็นรุ่นเครื่องยนต์ T5 ใหม่สีขาว White Ice ซึ่งเป็นรถ Standard มาปรับใช้ Software Polestar ใหม่เพียงเท่านั้น พร้อมแปะโลโก้ Polestar ไว้ที่ฝากระโปรงหลังข้างๆกับ โลโก้ T5 ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอก และ Hardware ภายในจะยังคงเดิมทุกอย่าง ดังนั้นเราจึงขอเข้ามา Focus กันที่สมรรถนะในการขับขี่เป็นหลักกันเลย
สมรรถนะของรถยนต์ S60 ขุมพลัง T5 2.0 ลิตร 4 สูบ บล๊อกนี้ มีกำลังอยู่ที่ 220 แรงม้า@5,500rpm และแรงบิดที่ 350Nm@1,500-4,000rpm เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.7 วินาที หากติดตั้งชุด Upgrade Software Polestar นี้ จะได้กำลังสูงสุดเพิ่มอีก 25 แรงม้า ที่รอบเครื่องเท่าเดิม และมีช่วง Torque Band ที่กว้างขึ้นเป็น 1,500-4,800rpm และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ไวขึ้นเป็น 6.0 วินาที ซึ่งยังคงใช้เกียร์ 8 Speed อัตโนมัติรุ่นเดิมในการส่งกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
ดังนั้นการขับขี่รถที่มีขุมพลังระดับ 245 แรงม้า นี้ถือว่าพละกำลังมีแบบเหลือใช้ขับได้อย่างสนุกสนาน คันเร่งไม่ตอบสนองไวในขนาดรถ Sport นัก ยังเหลือความเป็นคราบรถ Sedan Midsize คันแรงอยู่ ในช่วงออกตัวลองกดคันเร่งมิดนับ รอบเครื่องจะฟาดขึ้นไปอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเกียร์เองที่ราว เกือบๆ 6,000rpm ซึ่งลองนับตัวเลขในใจจะได้ราวๆ 7 วิ หน้าจอแดชบอร์ดจะโชว์เลขความเร็วในระดับ 100กม./ชม. และหลังจากนั้นช่วงความเร็วในย่านกลาง ระดับ 100 กม./ชม. ขึ้นไปยังสามารถไหลขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงระดับ 180 กม./ชม. ได้อย่างสบายๆ ในช่วงระยะทางประมาณ 700 ม. เท่านั้น แต่หลังจากนี้ความเร็วจะไหลขึ้นแบบเรื่อยๆ เนือยๆ และเนื่องจากส่วนหนึ่งอาจอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเกียร์ Overdrive ไปแล้วด้วย
ในขาที่เดินทางมาชะอำ เพื่อนสื่อมวลชนอีกคนที่เป็นผู้ขับ ในขณะที่ผู้เขียนเป็นผู้นั่งนั้นมีโอกาสได้กดทำความเร็ว Top Speed ดูได้ที่ระดับ 231 กม./ชม. ที่รอบเครื่องยนต์ราว 5,000rpm เราได้สอบถามทางคุณ Johan ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำตอบว่ารถสามารถไปได้ถึงระดับ 245 กม./ชม.
แม้กำลังเครื่องจะแรงเหลือเฟือ แต่สำหรับการเร่งแซงในบางจังหวะ แบบคิดปุป กดคันเร่งพรวดปั๊ป อาจยังไม่ทันใจเนื่องจากจังหวะ Lag ของการเปลี่ยนเกียร์ที่ต้องใช้เวลาราวเสี้ยวอึดใจทำให้มันช่วงการตอบสนองจึงดูช้าไป แต่หากลากรอบเครื่องรอเอาไว้ ซึ่งแนะนำว่าให้ผลักคันเกียร์ไปทางด้านซ้าย ในโหมด S จะช่วยให้ Hold รอบเครื่องยนต์เอาไว้ได้อย่างดี และสามารถพุ่งทะยานเร่งแซงได้อย่างเต็มสมรรถนะมากยิ่งขึ้น
วิเคราะห์และสรุปเบื้องต้นกับขุมพลัง T5 ที่ถูกอัพเกรด Polestar Performance ใน S60 คันนี้ หากกางสเป็กดู จะพบว่าแรงม้าเพิ่มขึ้น 25 ตัว ในขณะที่แรงบิดเท่าเดิม แต่เพิ่มช่วงของ Torque Band ยืดออกมาเป็น 4,800rpm ในขณะที่เคลมตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองคงเดิม และการคายไอเสียที่เท่าเดิม (ทางคุณ Johan ได้บอกว่าการอัพเกรด Polestar นี้ทำได้เฉพาะรถเครื่องยนต์เทอร์โบ) ซึ่งทำให้เราวิเคราะห์ออกมาได้ว่า การปรับ Software โปรแกรมใหม่นี้ น่าจะเป็นการปรับแรงดันบูสต์เพิ่มขึ้น ทำให้ได้ Power Output สูงสุดออกมาที่รอบเครื่องสูง และการปรับช่วง Torque Band ให้เพิ่มขึ้นอีก 800rpm ซึ่งช่วยให้ได้รอบในการ Take ตัวเร่งแซงมากยิ่งขึ้น และแน่นอนถ้าหากขับขี่ในแบบปกติ ที่ไม่ได้เน้นสมรรถนะของกำลังเครื่องยนต์ อย่างเช่นการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองที่ความเร็วคงที่ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองและการคายไอเสียจะอยู่เท่าเดิม
แต่สำหรับคุณพ่อบ้านแม่บ้านที่เน้นขับขี่ในตัวเมืองเป็นหลัก และใช้งานแบบทั่วไปแล้วล่ะก็ อาจไม่เห็นผลแตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะมันยังคงเป็นรถที่ขับได้ง่าย สบายเช่นเดิม แต่สำหรับขาซิ่งแล้ว อาจพบว่าแรงม้าที่เพิ่มมาเพียง 25 ตัวนั้นจะน้อยเกินไปและอาจไม่เห็นผลที่ชัดเจนทางความรู้สึกหากไม่ได้วัดออกมาเป็นตัวเลขชี้ชัดอย่างอัตราเร่ง 0-100 เป็นต้น ซึ่งสื่อหลายท่านรวมถึงผู้เขียนได้พูดคุยเสนอไปว่า น่าจะมี Step ในการอัพเกรดที่สูงกว่านี้ เป็น Step 2 กำลังเพิ่มมาเป็นระดับ 270-280 แรงม้าเป็นต้น ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาว่า ที่เลือกปรับเพียงเท่านี้ในขณะนี้เพื่อเล็งเห็นความเหมาะสมต่อความทนทานในการใช้งาน และอัตราสิ้นเปลืองรวมถึงการคายไอเสีย เพราะถ้าต้องการกำลังที่มากไปกว่านี้ อาจจะต้องมีความจำเป็นในการปรับเปลี่ยน Hardware เพื่อเพิ่มความทนทานต่อแรงดัน หรือกำลังอัดที่เพิ่มมากขึ้น และแน่นอน ค่าใช้จ่ายที่ตามมาก็คงมีเพิ่มมาอีกมาก ยิ่งขึ้น
ในด้านของการควบคุม Handling ที่มีให้ปรับได้ 3 ระดับ ซึ่งเราได้ปรับทิ้งไว้ที่ High เพื่อการตอบสนองหนักแน่นในแบบ Sport ซึ่งสื่อหลายๆ ท่านมีความเห็นว่ามันยังดูเบาไป แม้จะหนักสุดแล้ว ทางผู้เขียนมีความเห็นว่า พวงมาลัยไม่ได้มีน้ำหนักที่เบา แต่ด้วยระยะฟรีที่มีพื้นที่พอสมควร กลับการตอบสนองที่ค่อนข้างฉับไว แม้จะมีความหน่วงหนืดมือก็ตาม มันจึงทำให้ในบางจังหวะที่กระแทกคันเร่งออกตัว หรือการหักวงเลี้ยวในบางครั้งดูเหมือนน้ำหนักพวงมาลัยจะหายไป แต่การขับขี่บนทางตรงที่ทำความเร็วสูง พวงมาลัยยังคงมีน้ำหนักที่แน่นตึงมืออย่างเหมาะสม และให้ความมั่นใจได้ดีอยู่ ยกเว้นบางช่วงจังหวะตามที่ได้กล่าวไปแล้วเท่านั้น
ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง สำหรับ Volvo S60 คันนี้ โดยรวมดูนิ่มนั่งได้สบาย และยังคงแน่นเฟิร์มในระดับหนึ่ง แต่อาจมีรู้สึกแข็งบ้างในช่วงบางจังหวะที่ Jump คอสะพาน เนื่องจากล้อขนาด 18” ที่ใช้ยางแก้มเพียง 40 มม. แต่เมื่อเทียบกับการใช้งานแบบบ้านๆ ทั่วๆไป ช่วงล่างถือว่ายึดเกาะได้ค่อนข้างดีอยู่ เหมาะสมกับความเป็นรถยนต์ Sedan ที่เน้นใช้งานอย่าง S60 แต่หากปรับแต่งสมรรถนะเพิ่มเข้าไปแล้ว แน่นอนว่า มันต้องควบคู่ไปกับการขับขี่แบบสปอร์ตด้วย ทั้งการเข้าโค้งด้วยความเร็ว หรือการขับขี่ที่ความเร็วสูง ซึ่งน่าจะมีการปรับเปลี่ยน Spring Rate ใหม่ให้มีการยึดเกาะที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ในรถ Volvo S60 คันนี้ ได้ถูกปรับเซ็ตออกมาในแบบรถบ้านหรู คือ เบรกหนืด และต้องลงน้ำหนักแป้นที่ลึก การตอบสนองให้ความรู้สึกที่ไม่ไว ให้ความนุ่มนวลในการเบรก แต่เมื่อใช้งานกับรถที่มีสมรรนะกำลังในระดับ 245 แรงม้านี้นั้น ดูจะตอบสนองช้าไปหน่อย ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะมีการปรับเซ็ตแป้นเบรกเพิ่มเติมให้มีความว่องไวตอบสนองแบบสปอร์ตกว่านี้อีก หรือน่าจะมีการอัพเกรดในเรื่องของสมรรถนะเบรก อย่างผ้าเบรกใหม่ควบคู่กันไปด้วย
สรุป Volvo S60 T5 Polestar ด้วยการปรับใช้ Software ใหม่ ทำให้เครื่องยนต์มีพละกำลังเพิ่มขึ้น และขับสนุกเพิ่มขึ้นอีกหน่อย โดยที่ไม่ต้องจุกจิกวุ่นวายกับตัวรถแต่อย่างใด หากมองจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 4 หมื่นบาทกับรถราคาหลักล้านอาจดูไม่แพงนัก แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนเดิมทุกอย่าบวกกับความแรงที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยอาจจะยังดูไม่เร้าใจมากนัก ซึ่งน่าจะมีการจับสวมชุดแต่ง Body Kit เช่น R-Design เพิ่มเติมด้วย จะได้เป็นเวอร์ชั่น Volvo R-Design & Polestar จะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
หรือจะปรับเพิ่มเป็น Step ที่แรงมากกว่านี้ในอนาคต พร้อมกับชุดอัพเกรดสมรรถนะทั้งในเรื่องของระบบช่วงล่างด้วยน่าจะดีเยี่ยมยิ่งขึ้น รวมถึงตอบโจทย์ที่ครอบคลุมแก่ผู้ที่ชื่นชอบการโมดิฟายด์รถอย่างแท้จริง
สำหรับรุ่นที่สามารถอัพเกรด Polestar Performance ได้มีดังนี้
|
ซึ่ง Volvo Cars ประเทศไทยได้มอบข้อเสนอพิเศษ จนถึงสิ้นปีนี้ ด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 39,900 บาทในทุกรุ่น จากราคาปกติ 53,000-57,400 บาท (Volvo S60 T5 ราคา 2,449,000 บาท)
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ขอขอบคุณ Volvo Cars Thailand สำหรับการทดสอบ Volvo S60 Polestar ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น