ซูซูกิ สวิฟท์ รถยนต์ อีโคคาร์ ลำดับที่ 5 ของไทย ได้เปิดตัวขึ้นเมื่อต้นปี 2012 ด้วยการจับวางเครื่องยนต์ไซส์ 1.25 ลิตร เข้ามาทำตลาดแทนที่ สวิฟท์ 1.5 ลิตร และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กว่า 2 ปี ซึ่ง สวิฟท์ ถือเป็นรถที่สร้างความสำเร็จให้แก่ ซูซูกิ เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความคุ้มค่า และสมรรถนะที่ทำได้ดี ด้วยราคาเริ่มต้น 4.3 – 5.6 แสนบาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พย. 2014 ที่ผ่านมานี้ ทาง ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้จัดทริป เชิญกลุ่มสื่อมวลชนไปทดสอบสมรรถนะของรถ ซูซูกิ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ ใหม่ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของรถยนต์อีโคคาร์ สวิฟท์ ด้วยการจับมาปรับแต่งรูปโฉมใหม่ให้ดูสปอร์ตขึ้น พร้อมเพิ่มของเล่นได้แก่ Paddle Shift และ Cruise Control ซึ่ง ซูซูกิ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ ใหม่ จะถือเป็นรถอีโคคาร์ บ้านเราคันแรกที่ให้ระบบ Paddle Shift และ Cruise Control รวมถึงหลอดไฟหน้าแบบ HID
ทางคุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดของบริษัทฯ ได้เกริ่นราคาคร่าวๆ ด้วยตนเองว่าไม่เกิน 6 แสนบาท ซึ่งจะเปิดราคาอย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Expo 20014 เอาเป็นว่าราคาไว้ก่อน เราขอพาทุกท่านมาพบกับ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ ใหม่ กันเลย
ซูซูกิ ได้เล็งเห็นว่าในช่วงปี 2012-2013 เป็นปีแห่งการแข่งขันทางด้านราคา และโปรโมชั่น ซึ่งอาจจะยังไม่สนในเรื่องของฟีเจอร์ลูกเล่นจุดขายของรถมากนัก แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าว เข้ามาในปีนี้เป็นช่วงตกต่ำลงของตลาดรถยนต์ และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อรถอาจจะมองหาสินค้าที่มีลูกเล่นรายละเอียดมากกว่าเดิมทาง ซูซูกิ เองคิดว่า ในช่วงนี้จะต้องสร้างความแตกต่างทางด้านสินค้า ด้วยการเปิดตัว สวิฟต์ อาร์เอ็กซ์ ใหม่นี้ โดยวางตำแหน่งของรถยนต์คันนี้ ให้เป็น Premium Eco Car
จุดต่างของ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ ใหม่ กับ สวิฟต์ 2012 ได้แก่ ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์โคมดำ เพิ่ม Look Sport มาพร้อมไฟแบบ HID ใช้ Solenoid ควบคุมทิศทางของแสง โดยมีเซ็นเซอร์ปรับตำแหน่งไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ ด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์อยู่ทางช่วงล่างด้านหลังรถ หากมีผู้นั่งตอนหลังจนทำให้ด้านสูงขึ้นกว่าปกติ เซ็นเซอร์จะสั่งงานไปยังระบบไฟหน้าให้ปรับระดับลงต่ำ เพื่อไม่ให้ไฟส่องไปแยงตาผู้ขับขี่ที่สวนมา ซึ่งถือเป็นรุ่นเดียวใน Eco Car นอกจากนั้นไฟท้าย ก็ได้มีการดีไซน์ใหม่ พร้อมติดตั้งสปอยเลอร์หลัง ที่มาพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 LED ให้ในตัว และที่ฝากระโปรงท้ายจะแปะโลโก้ RX ต่อท้ายคำว่า Swift ด้านล่าง
ภายในห้องโดยสาร นำรุ่น GLX มาเสริมเพิ่มเติมออปชั่น Paddle Shift ซึ่งเป็นแป้นเกียร์สีดำด้านหลังพวงมาลัย โดยในจุดนี้จะทำให้ ตำแหน่งเกียร์แต่เดิมที่เป็น L จะเปลี่ยนมาเป็น M และปุ่ม Sport บนหัวเกียร์ (Overdrive) ก็จะถูกยกเลิกไป
ขุมพลังของเครื่องยนต์ 1.25 ลิตร บล๊อกเดิม 91 แรงม้า@6,000rpm และแรงบิด 118Nm@4,800rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ลูกเดิม (และอัตราทดเท่าเดิม ข้อมูลจากทางวิศวกร) แต่มีสามารถควบคุมเกียร์ด้วยตนเองได้ถึง 7 Speed ด้วยกัน
ฟีลลิ่งในด้านการขับขี่นั้น ไม่แตกต่างจากเดิมเลย ในตำแหน่งเกียร์ D คันเร่งที่ค่อนข้างแข็งสไตล์รถอีโค และเกียร์ที่มีการตอบสนองตามแบบฉบับ CVT คือรอบขึ้นตามน้ำหนักเท้าสั่ง และจะแช่เอาไว้ที่รอบเครื่องสูงหากยัง Kick Down แช่เท้าอยู่เช่นนั้น อัตราเร่งตีนต้นดูไม่ต่างจาก สวิฟท์ 2012 มากนัก สำหรับคันนี้ที่เสริมลูกเล่น ในตำแหน่งเกียร์ D จะสามารถกดปุ่ม Paddle Shift เพื่อควบคุมเกียร์ได้เองทันที หน้าจอ MID จะแสดงผลเป็นตัวเลขเกียร์ขึ้นแทนตัว D เมื่อขับเคลื่อนไปสักระยะ ระบบเกียร์ก็จะกลับมาที่เกียร์ D โดยอัตโนมัติ หากต้องการควบคุมเกียร์ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ผลักคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง M ลงเท่านั้น แต่ทว่ายังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น Full Manual เนื่องจากในบางช่วง เกียร์จะปรับเองโดยอัตโนมัติ เพื่อความเหมาะสม ณ ขณะนั้น ไม่ว่าการลากรอบจนสูงเกินไป หากลากจนเข้า Redline เกียร์จะตัดขึ้นเอง เพื่อป้องกันความเสียหายของเกียร์ โดยจะตัดขึ้นที่ราว 5,800-6,000rpm รวมถึงหากอยู่ตำแหน่งเกียร์สูง แต่รถชะลอความเร็วลงจนหยุด เกียร์จะฉลาดพอที่จะลดเกียร์ลงเองเพื่อความเหมาะสมอีกด้วย
แต่ทว่า ภาพรวมในด้านสมรรถนะของการขับเรากลับพบว่า การตอบสนองของอัตราในช่วงความเร็วเดินทาง กลับดูตอบสนองได้ไม่ดีเท่าที่คิดนัก (นั่ง 3 คนพร้อมสัมภาระ) รวมถึงความเร็วปลายในช่วงที่ผู้เขียนเป็นผู้นั่งตอนหลังได้สังเกตุเห็นว่า ความเร็วย่านนี้ดูจะขึ้นช้าไปสักนิดและความเร็วหมดไวอีกด้วย ซึ่งเราอาจจะต้องดูตัวเลขอัตราทดเกียร์ที่จะบอกในโบรชัวร์อย่างเป็นทางการกันอีกครั้ง ว่าปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมจากเดิมหรือไม่
นอกจากนั้นอีกฟังก์ชั่น ก็คือ Cruise Control ซึ่งติดตั้งสวิทช์ควบคุมทางฝั่งขวาของพวงมาลัย สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ความเร็ว 45 กม./ชม. ขึ้นไป สามารถกดปุ่ม + - เพิ่มลดความเร็วได้ที่ละ 1.6 กม./ชม. และหากจะใช้ในตำแหน่งเกียร์ M จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ M3 ขึ้นไป
ด้านการควบคุมบังคับรถ ยังทำได้ดีเยี่ยมตามแบบฉบับ สวิฟท์ อีโค 2012 พวงมาลัยตอบสนองเป็นธรรมชาติ ดูดีที่สุดใน Eco Car แม้ว่าจะเป็นพวงมาลัยแบบไฟฟ้าก็ตาม แต่ช่วงจอดรถนิ่งการสาวพวงมาลัย อาจจะดูหนืดหนักกว่าเพื่อน Eco Car คันอื่น ส่วนนึงมาจากการใช้ล้อขอบ 16” แต่สำหรับการบังคับเลี้ยวในทางโค้ง นั้นทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมแม่นยำ รวมถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่มีความเหมาะสม ให้ฟีลลิ่งใกล้เคียงพวงมาลัยแบบไฮโดรลิกเป็นอย่างมาก
อีกทั้งระบบเบรกหน้าดิสก์ หลังดรัม ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเช่นเคย สามารถหยุดกำลังของเครื่องยนต์ ระดับ 91 แรงม้าได้อย่างหายห่วง และการเซ็ตแป้นเบรกที่เหมาะสมกับการขับขี่ใช้งาน ไม่ตื้นไม่ลึกจนเกินไป สามารถลงน้ำหนักได้แบบสบายนิ่มนวล
ปิดท้ายกันด้วยช่วงล่าง ที่ยังคงความสามารถในการยึดเกาะได้ดีในลำดับต้นๆ ของ Eco Car ในทางโค้ง และ ความสบายการโดยสารก็ถือว่าดีพอใช้ ไม่แข็งจนอึดอัดแม้จะใส่ยางแก้ม 55 มม. จาก Bridgestone Turanza และไม่นิ่มจนย้วยเกินไป แต่ผู้นั่งตอนหลังอาจจะรู้สึกอึดอัดไปบ้างจากตำแหน่งเบาะหลังที่ดูจะชันเกินไป ซึ่งทำให้ดูราวกับว่าลำตัวถูกดูดลงติดกับตัวเบาะ ซึ่งปัญหานี้แก้ได้หากนั่งโดยสารตอนหลังเพียงคนเดียวเพียงแค่เขยิบตัวมานั่งตรงกลางของเบาะ ซึ่งแผ่นเบาะ จะนูนขึ้นมามากกว่าทางฝั่งซ้าย-ขวา
สรุป ซูซูกิ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ รถยนต์อีโคคาร์ Look Sport ที่สุด แถมเต็มเปี่ยมไปด้วยออปชั่น ที่อาจเรียกได้ว่ารถในระดับ Compact (หรือแม้กระทั่ง Midsized) หลายคันยังไม่กล้าให้ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยังคงความดีของสวิฟท์ มาพร้อมรูปลักษณ์ และออปชั่นที่ครบครัน ทำให้มันเป็นรถอีโคคาร์ ที่มีลูกเล่นยอดเยี่ยมที่สุด เอาใจคนชอบขับขี่แบบสปอร์ต เหลือแค่ราคาเท่านั้น หากลองคาดเดากันว่า ราคาไม่เกิน 6 แสน ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 5.8- 5.9 แสน ซึ่งเพิ่มเติมจากรุ่น GLX ราว 2-3 หมื่นบาท เทียบกับของที่ให้มา ก็ยังถือว่าคุ้มค่าและ เชื่อได้ว่าในอนาคตน่าจะต้องมีสาวก Swifter เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก
ขอขอบคุณ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) สำหรับทริปทดสอบ ซูซูกิ สวิฟท์ อาร์เอ็กซ์ ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
LINE
ความคิดเห็น