ในโลกปัจจุบัน ต่างเต็มไปด้วยการใช้พลังงานกันอย่างมากมาย ส่งผลให้เกิดการปล่อยไอเสีย รวมไปถึงสภาพอากาศในปัจจุบันที่ร้อนขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้พลังงานก็ควรที่จะใช้อย่างคุมค่าที่สุดเช่นเดิม
Honda Accord Hybrid TECH 2014
และแล้ว Honda Automobile ประเทศไทย ก็ได้เปิดตัวรถยนต์นวัตกรรมล่าสุดจากฮอนด้า เมื่อช่วงเดือน กค.ที่ผ่านมานี้ ซึ่งการันตีคุณภาพคับคั่งด้วยรางวัล Green Car of the Year 2014 และ MotorWeek Drivers’Choice Award 2014 ซึ่งมากับตัวเลขเคลมสุดหรู 50 ไมล์/แกลลอน (21 กม./ลิตร) ลองมาดูกันว่ามันจะดีน่าสนใจมากเพียงใด
ในส่วนของภายนอก ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ดูผิวเผินอาจจะไม่ต่างจาก Honda Accord 2.4 นัก เนื่องจากในรุ่น Hybrid Tech นี้ได้หยิบยกออปชั่นมาจากรุ่น 2.4 TECH มาแทบทั้งสิ้น ทั้งไฟหน้าแบบ LED โคมคู่ แต่กรอบไฟเป็นสีฟ้า กระจังหน้าได้ถูกปรับเปลี่ยนจากแถบคาดกลางโครเมียมเป็นสีฟ้าเช่นกัน ขณะที่ไฟท้ายขอบด้านข้างก็ได้ตกแต่งเป็นสีฟ้า พร้อมแปะโลโก้ Hybrid ที่ฝากระโปรงท้าย และแก้มข้างตัวรถทั้ง 2 ฝั่ง ล้ออัลลอยใช้ขอบ 18” ซึ่งเป็นลวดลายเดียวกับตัวเครื่อง 2.4 แต่เปลี่ยนเป็นสีโครมดำ และยางก็สวม Michelin PS3 ไซส์เดียวกันอีกด้วย
สำหรับออปชั่นหรูของรุ่น TECH ก็ถูกยกมาหมด ทั้ง Sunroof, Lane Watch, กล้องมองหลัง ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ แต่ในรุ่นไฮบริดนี้ จะไม่มีไฟตัดหมอกให้อย่างเช่นรุ่น 2.4
ขุมพลังไฮบริดเทคโนโลยีล่าสุดนี้ Honda เรียกมันว่า Sport Hybrid iMMD (intelligent Multi-Mode Drive) เป็นการผสานกันระหว่างเครื่องยนต์ระบบ Atkinson Cycle 2.0 ลิตร Earth Dreams เครื่องยนต์ให้กำลัง 143 แรงม้า และแรงบิด 165Nm พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว ที่มีกำลัง 169 แรงม้า และทำแรงบิด 307Nm ซึ่งห่างเรียกพละกำลังรวมทั้งระบบจะอยู่ที่ 199 แรงม้า โดยมอเตอร์ไฟฟ้าเก็บประจุด้วยแบตเตอรี่ Li-ion แบบใหม่ ที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายยังมีพื้นที่กว้างขวางไม่แพ้เดิม โดยส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT
ด้วยความเป็นรถ Hybrid อันดับแรกที่ต้องพูดถึงคือ ความประหยัด ผู้เขียนได้ขับตั้งแต่เติมเต็มถังไปจนถึงน้ำมันขีดสุดท้าย ซึ่งวิ่งแทบทุกรูปแบบทั้งรถติดในเมือง เดินทางไปยังเข้าค้อ ทั้งการขับขี่บนเขาที่ต้องใช้กำลังเครื่องสูง และการทดสอบอัตราเร่ง รวมถึงลอง Top Speed ได้ระยะทางทั้งสิ้นราว 940 กม. โดยหน้าจอ MMD ยังบอก Range คงเหลือที่วิ่งได้อีกราว 30 กม.ซึ่งหากขับขี่บนเส้นทางปกติที่ใช้ความเร็วอย่างสม่ำเสมอนั้น น่าจะสามารถทำตัวเลขทะลุ 1,000 กม.ได้ไม่ยาก หากคำนวณอัตราสิ้นเปลืองจะได้ 970 กม./น้ำมันเต็มถัง 60 ลิตร จะได้ 16.167 กม./ลิตร
โดยในด้านการขับขี่ ต้องเรียกได้ว่า แรงสั่งได้ดั่งใจ ในส่วนของอัตราเร่งที่มาเร็วและต่อเนื่อง แถมคงความนิ่มนวล จนแทบไม่รู้สึกว่ามันแรงจนน่ากลัวแต่อย่างใด การทดสอบของเรา 0-100 กม./ชม.สามารถทำได้ใน 8.66 วินาที และ ¼ ไมล์ ในเวลา 16.78 วินาที ขณะที่ความเร็วปลายสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 192 กม./ชม.ต้องเรียกได้ว่าแรงไม่แพ้รถซีดานยุโรปกันเลย แถมตอบสนองได้ฉับไวอีกต่างหาก ไม่ต้องรอรอบเพราะ แรงบิดสูงจากมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมตอบสนองทันทีที่คุณเรียกใช้ด้วยการกดคันเร่งเพิ่มลงไปเพียงเท่านั้น
จุดเด่นของความเป็นไฮบริด นอกจากจะแรงแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าประทับใจเป็นอย่างมากิก็คือการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ในโหมด EV ซึ่งวิ่งได้จริงถึงความเร็วระดับ 120 กม./ชม. โดยประจุไฟฟ้าจะต้องเหลือมากกว่า 2 ขีด ขึ้นไป หากประจุไฟฟ้าเหลือน้อยกว่านี้ จะตัดเข้าสู่ Engine Mode เพื่อรอชาร์จประจุไฟกลับเข้ามาใหม่ เพื่อใช้การขับเคลื่อนด้วย Hybrid Mode
หันมามองที่ตำแหน่งเกียร์ จะพบว่าตำแหน่งเกียร์ S ถูกแทนที่ด้วยตำแหน่ง B และแป้น Paddle Shift ได้หายไป สำหรับตำแหน่ง B หมายถึง Brake คือถ้าดึงคันเกียร์เข้ามาที่ตำแหน่งที่จะมีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ เพื่อช่วยดึงไปเป็นพลังงานในการชาร์จประจุให้แก่แบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น และโหมดนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งหากต้องลงทางลาดชัน สูง ซึ่งจะทำหน้าที่เสมือนเกียร์ต่ำชะลอความเร็วไปด้วย
แต่ด้วยการทำงานของระบบไฮบริดนี้จะดี แต่ผู้เขียนยังพบว่ามีบางจุดที่อาจทำให้รำคาญบ้าง คือเสียงจี่จากการชาร์จประจุ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเสียงโทนแหลม เล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวะยกคันเร่งและเหยียบแป้นเบรก
นอกจากนี้ ก็จะมีเรื่องระบบพวงมาลัยที่ดูจะเบาไปเสียหน่อย และความเร็วสูงน้ำหนักยังดูน้อยไปหน่อย และในด้านแป้นเบรกของสไตล์รถ Hybrid ที่เซ็ตแป้นมาตื้น แต่ดูจะเบรกไม่จิกเท้าเหมือนดั่งรุ่นปกติ 2.4 ลิตรนัก
ปิดท้ายกันที่ภายใน เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้วยระบบ Keyless จะพบกับภายในห้องโดยสารที่หรูหราเช่นเดียวกับ Hybrid Tech ทั้งออปชั่นและรูปลักษณ์ โดยมีจุดแตกต่างหลัก คือแผงหน้าปัดเรือนไมล์จะเป็นมาตรวัดแบบเรืองแสง แต่จะไม่มีมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ โดยจะมีสเกลบอกแถบ Power และ Charge ขณะที่ระดับน้ำมันจากเข็ม จะเป็นสเกลแสดงผลโดยมีสเกลประจุแบตเตอรี่อยู่ด้านบน
นอกจากนั้น ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า ตำแหน่งเกียร์ S ที่ถูกแทนที่ด้วยตำแหน่ง B และมีปุ่ม EV เพิ่มขึ้นมาทางด้านล่างสุดของตำแหน่งเกียร์
แล้วก็ พื้นที่เก็บสัมภาระท้าย ที่อาจจะน้อยลงไปจากการที่ต้องแบ่งพื้นที่ให้กับแบตเตอรี่แบบ Li-ion ซึ่งก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก
สรุป
ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด Tech รถยนต์ไฮบริดที่ยอดเยี่ยมและทันสมัยที่สุดในคราบรถซีดานหรู การันตีด้วยรางวัล 2014 Green Car of The Year ทั้งประหยัดและรักษ์โลก แม้อัตราสิ้นเปลืองอาจจะได้ไม่เท่ารตัวเลขเคลมจากต่างประเทศ แต่เราคงไม่ต้องมีอะไรพูดกันมาก กับรถในรุ่นท๊อปคันนี้ที่มีราคา 1.899 ล้านบาท เพราะโดยรวมแล้วมันคือ ยนตกรรมไฮบริดที่ดีที่สุดที่เคยมีมา
ขอขอบคุณ Honda Automobile สำหรับรถ Honda Accord Hybrid Tech ราคา 1.899 ล้านบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น