ปัญหาการจราจรซึ่งทวีความรุนแรงอย่างเรื้อรังในเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตแบบที่นักจิตวิทยาเรียกว่าเป็น “ระเบิดเวลา” เลยทีเดียว
สำนักข่าวเบอร์นาม่าของมาเลเซียระบุว่า การเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัดนานๆ จะเพิ่มความวิตกกังวลและความโกรธเกรี้ยวมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่ยังต้องเจอกับความเครียดสะสมจากสถานที่ทำงานและที่บ้านด้วย
“เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้น อาจทำให้ผู้ขับขี่บางคนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง” ดร. เมเรียม โอมาร์ ดิน นักจิตวิทยาของมาเลเซียกล่าว
ผลสำรวจระบุว่า คนมาเลเซียที่อาศัยในเมืองใหญ่จะต้องเดินทางอยู่บนท้องถนนเฉลี่ยแล้ว 2 ชั่วโมงต่อวัน (คนกรุงเทพฯ ก็คงไม่ต่างจากนี้เท่าใดนัก) ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพจิตใจและส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
ดร. เมเรียมชี้ว่า ผู้ขับขี่จะต้องควบคุมสภาพจิตใจและความเครียดให้ดี โดยควรวางแผนการเดินทางและหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดให้ได้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน ดร. รอซมี อิสเมล ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการจราจรระบุว่า ความเครียดและความโกรธเกรี้ยวบนท้องถนนเกิดจากความเห็นแก่ตัวและความเร่งรีบที่จะเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง โดยผลสำรวจในปี 2005 ระบุว่า ผู้ขับขี่รถราว 80% จะมีความก้าวร้าวมากกว่าปกติเมื่อนั่งหลังพวงมาลัย
“การบริการขนส่งสาธารณะควรได้รับการปรับปรุงและมีประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้คนหันไปใช้มากขึ้น ช่วยลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน” ดร. รอซมีกล่าว
ความคิดเห็น