ระเบิดศึกอย่างเป็นทางการ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ผู้ท้าชิงล่าสุด โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ – ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ Share this

ระเบิดศึกอย่างเป็นทางการ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ผู้ท้าชิงล่าสุด โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ – ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์

Satapana
โดย Satapana
โพสต์เมื่อ 01 August 2558

กลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่านที่สุดในปีนี้ทันที สำหรับเซกเมนท์รถอเนกประสงค์กระบะดัดแปลงหรือพีพีวี หลังจากค่ายรถยักษ์ใหญ่เผยโฉมรถรุ่นใหม่กันครบถ้วนทุกค่ายแล้ว

ก่อนหน้านี้ โตโยต้าเผยโฉมฟอร์จูนเนอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่เรียกเสียงฮือฮาด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น แต่นักเลงรถที่ติดตามข่าวหลายคนยังไม่ตัดสินใจจับจอง เพราะต้องการรอยลโฉมตัวจริงของมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตกันก่อนซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเช่นกันภายในงานบิ๊ก มอเตอร์ เซล

ไม่เพียงเท่านั้น ฟอร์ดยังเดินหน้าทำตลาดเอเวอร์เรสต์อย่างเต็มตัว โดยล่าสุดเพิ่งเชิญชวนสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะและความสมบุกสมบันใจกลางป่าเขาในจังหวัดเชียงราย

เซกเมนท์รถอเนกประสงค์ทั้งเอสยูวีและพีพีวีมีทีท่าจะเติบโตทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ทั้งสามค่ายยักษ์ใหญ่ต้องแข่งขันกันอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะใจลูกค้า นอกจากนี้ยังมีรถอีกหลายรุ่นที่คอยสอดแทรกเข้ามาอย่างเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์และอีซูซู มิว-เอ็กซ์

วันนี้ เราไปชมกันว่ารถพีพีวีที่เพิ่งเปิดตัวใหม่หมาดอย่างฟอร์จูนเนอร์ เอเวอร์เรสต์ และปาเจโร สปอร์ตจะมีจุดเด่นและจุดด้อยใดบ้าง

ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Everest-Latest-2.jpeg

โชว์รูมของฟอร์ดหลายแห่งถึงกลับต้องประกาศงดรับจองเอเวอร์เรสต์รุ่นท็อปเป็นการชั่วคราว เพราะคิวรับรถยาวเหยียดเกิน 6 เดือนแล้ว ถือเป็นเครื่องการันตีความร้อนแรงของรถพีพีวีอเมริกันรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี สำหรับกำหนดการส่งมอบจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากเริ่มเดินสายการผลิตไปเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

รูปลักษณ์ภายนอกของเอเวอร์เรสต์เน้นความหรูหราผสมผสานความสมบุกสมบัน นักทดสอบของออโต้สปินน์มีโอกาสสัมผัสตัวจริงแล้วพบว่า หน้าตาภายนอกดูแข็งแกร่งและบึกบึนอย่างมากตามสไตล์รถพีพีวีพันธุ์แท้ รองรับทั้งการขับขี่ในเมืองใหญ่และสามารถขับขี่บุกตะลุยเข้าป่าได้อย่างไม่ยากเย็น จุดเด่นสำคัญนอกจากความสวยงามโดยรวมแล้ว ยังอยู่ที่ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วในรุ่นท็อป ขณะที่รุ่นรองลงมาจะเป็นล้อ 18 นิ้ว

ความสูงจากพื้นถึงตัวถังรถอยู่ที่ 225 มิลลิเมตร ถือว่าสูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตรเท่ากับกระบะเรนเจอร์ ติดตั้งระบบเกียร์แบ่งกำลัง พร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด ทอร์ค ออน ดีมานต์

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Everest-Latest-1.jpg

ห้องโดยสารภายในครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่รายละเอียดของอ็อปชั่นลดหลั่นไปตามรุ่นย่อยซึ่งลูกค้าต้องพิจารณาให้ดี เบาะทั้งสามแถวพับเรียบได้ด้วยระบบไฟฟ้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียงและครูสคอนโทรล แหงนมองบนหลังคามีซันรูฟและพาโนรามิกรูฟแบบยาวมาถึงห้องโดยสารตอนหลัง ขณะที่ฝาประตูท้ายก็สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าครั้งแรกในรถระดับเดียวกันซึ่งตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไฮไลท์ของอ็อปชั่นภายในยังรวมถึงระบบเชื่อมต่อ SYNC II รุ่นใหม่ล่าสุด

เอเวอเรสต์มาพร้อมทางเลือกของเครื่องยนต์ดีเซล 2 ขนาด ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ขนาด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ขนาด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร

จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ทีเอ็มเอส (TMS-Terrain Management System) ทำหน้าที่ควบคุมการจ่ายแรงบิดซึ่งนักทดสอบของเราย้ำว่าเป็นระบบที่ล้ำค่ามาก ทำหน้าที่ควบคุมเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง รวมถึงการทำงานของช่วงล่างในการขับขี่บนพื้นผิวที่แตกต่างกันไป 4 โหมด ประกอบไปด้วย โหมดธรรมดา โหมดหิมะ/โคลน/หญ้า โหมดทรายและโหมดหิน ซึ่งจะแสดงศักยภาพที่แตกต่างกัน

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Everest-Latest-5.jpeg

นั่นทำให้เอเวอร์เรสต์ครบครันทั้งความสนุกสนานในการขับขี่บนท้องถนน และรองรับการบุกตะลุยสู่พื้นที่ทุรกันดารได้อย่างสมบุกสมบัน

เทคโนโลยีเซนเซอร์ในฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ใหม่อย่าง Active Park Assist จะช่วยบังคับพวงมาลัยจอดเองภายในไม่กี่วินาที นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นในการเปลี่ยนเลนหรือถอยหลังออกจากที่จอดรถ กับระบบตรวจจับรถในจุดบอดระบบ BLIS® (Blind Spot Information System) เทคโนโลยีที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตรวจจับรถที่ผู้ขับไม่ทันสังเกตเห็น พร้อมด้วยระบบตรวจจับมุมอับสายตาซึ่งทั้งหมดเป็นระบบที่ติดตั้งในรถรุ่นนี้เป็นครั้งแรก

ลูกค้าชาวไทยสามารถเลือกสีของเอเวอร์เรสต์ได้ทั้งหมด 5 สี ประกอบไปด้วย สีขาวคูลไวต์ สีดำ แบล็ก ไมก้า เมทัลลิก สีเงิน อะลูมินัม เมทัลลิก สีทอง สปาร์คลิ่ง โกล์ด เมทัลลิก และสีแดง ซันเซต เมทัลลิก

โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Fortuner-latest-1.jpg

เปิดตัวออกมาสั่นสะเทือนตลาดรถอเนกประสงค์พีพีวีตามสไตล์ยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่ง ฟอร์จูนเนอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมแคมเปญสื่อสารการตลาดที่หวือหวาฟู่ฟ่าตามสไตล์โตโยต้าอย่าง “เหนือนิยามแห่งศักดิ์ศรี” หรือ “New legend of the pride” บ่งบอกว่าค่ายรถยักษ์ญี่ปุ่นรายนี้ต้องการตอกย้ำชัดเจนถึงความเป็นผู้นำตลาดที่ต้องการกำหนดมาตรฐานใหม่ในทุกเซกเมนท์

รูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน และยกระดับความหรูหราสลับคราบความรถอเนกประสงค์บนพื้นฐานรถกระบะรีโวได้อย่างน่าสนใจ แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์แว่วมาว่าหน้าตายังไม่โดนใจเท่าใดนัก

กรอบไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Beam LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟเดย์ไลท์ LED เสารับสัญญาณวิทยุดีไซน์ล้ำแบบ Shark Fin กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และระบบ Welcome Light มีไฟตัดหมอกครบครันหน้าและหลัง สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ล้ออัลลอย 18 นิ้วซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของรถระดับนี้ ขณะที่ไฟท้ายเป็นแบบ LED แบบ Light Guiding

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/Interior-RE2.jpg

เข้ามาดูภายในห้องโดยสารเน้นบรรยากาศพรีเมียมแบบรถเอสยูวี โดดเด่นด้วยมาตรวัดเรืองแสง จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-Information Display) หน้าจอสีแบบ TFT คมชัดทุกรายละเอียด ที่สามารถปรับตั้งค่าการทำงานของระบบต่างๆได้

เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมเครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมกล้องมองหลังสำหรับการถอยจอด ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ช่องเสียบอุปกรณ์ USB, iPOD และ AUX ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ซึ่งหุ้มหนังแบบสปอร์ตพร้อมสวิทช์ควบคุม

อ็อปชั่นอื่นๆ ที่ไม่ลืมใส่มาให้คือปุ่มสตาร์ท ระบบควบคุมไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบไฟส่องสว่างขณะถึงที่หมาย (Follow- me-home) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ที่น่าสนใจก็คือระบบประตูท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Power Back Door with Jam Protection)

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/fortuner-back.jpg

ขุมพลังมีให้เลือก 3 รุ่น ตัวท็อปเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ตามมาด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที ปิดท้ายด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร Dual VVT-I พละกำลังสูงสุด 166 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 245 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด โตโยต้ายังชูระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซิกม่าโฟร์ (Ʃ4) ซึ่งเราจะรายงานการทดสอบอีกครั้งในภายหลัง

ด้านระบบความปลอดภัยถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานรถพีพีวี ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบเบรก ABS ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)

นอกจากนี้ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ยังมาพร้อมโครงสร้างนิรภัย GOA ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุด เข็มขัดนิรภัย แบบ ELR 3 จุด 7 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติสำหรับเบาะคู่หน้าพวงมาลัยแบบยุบตัวได้ ระบบสัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) กุญแจ Smart Key ดีไซน์ใหม่ พร้อมระบบ Immobilizer

มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/5.jpg

ถือเป็นหนึ่งในรถอเนกประสงค์ที่หลายคนรอคอยมากที่สุดในเวลานี้ก็ว่าได้ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่มาพร้อมแนวคิด “ที่สุดของความสมบูรณ์แบบ” เปิดตัวครั้งแรกของโลกในประเทศไทยและพร้อมเปิดรับจองในงานบิ๊ก มอเตอร์ เซล ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคมที่ไบเทค บางนา และที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 220 แห่งทั่วประเทศทันที

ปาเจโรได้รับการออกแบบด้านหน้าสไตล์ “Dynamic Shield” (ไดนามิก ชิลด์) เอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์มิตซูบิชิที่ให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัยและแฝงความโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟเดย์ไลท์ LED ยกระดับความหรูหรา ส่วนไฟท้ายดูแปลกตาด้วยดีไซน์แนวตั้งที่มองเห็นได้ชัดเจน

มองที่ซุ้มล้อหลังจะเห็นว่าโป่งข้างดูใหญ่โตอย่างมาก เสริมภาพลักษณ์ความบึกบึนและรองรับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่มีทั้งสีทูโทนและสีเงิน มิตซูบิชิเผยว่าปาเจโรได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้สามารถลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงได้กว่า 13% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบมุมกันชนหน้า เสาเอ (A Pillar) ให้โค้งมน และออกแบบด้านหลังให้เรียวไปยังส่วนท้าย รวมไปถึงการออกแบบราวหลังคาและชายกันชนหน้าใหม่ ที่นอกจากจะทำให้รถลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์แล้ว ยังช่วยให้ทรงตัวเยี่ยมที่ความเร็วสูง อีกทั้งยังให้การประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

เข้ามาดูในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยโทนสีดำ พร้อมการตกแต่งสีเงิน ซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น ผสมผสานกับสีดำแบบเปียโนแบล็กที่บริเวณแผงคอนโซลหน้า แผงประตู และคอนโซลกลาง ปาเจโรมาพร้อมเบรกมือไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของแบรนด์มิตซูบิชิ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ 4 ก้าน สามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ บนพวงมาลัย

มาตรวัดความเร็วและความเร็วรอบดูง่ายชัดเจนพร้อมจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ (Multi-information display) ที่แสดงผล ทั้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ระยะทางขับขี่ที่เหลือจากปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ในถัง รวมถึงแสดงการขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในสภาพพื้นผิวถนนที่แตกต่างกันเมื่อเลือกโหมดการขับขี่แบบออฟโรด เบาะนั่งได้รับการออกแบบใหม่ (ergo seat design) ให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งมากยิ่งขึ้น โดยเบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ในขณะที่เบาะนั่งแถวที่สองสามารถแยกพับแบบ 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่สามสามารถแยกพับให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสารเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/3.jpg

สำหรับอ็อปชั่นถือว่าไม่แพ้คู่แข่ง ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก (Welcome Light) ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์ (Coming Home Light) เพื่อความปลอดภัย ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS ( Keyless Operation System) ช่วยให้สามารถล็อกและปลดล็อกประตู รวมทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมการติดตั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกส่วนซ้าย-ขวา พร้อมแผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังแบบอิสระและช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง หน้าจอภาพแบบระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อบลูทูธแบบ A2DP และระบบนำทางในรถ (Navigator System) พร้อมจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบ Wide Screen ขนาด 9 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี และรีโมทคอนโทรล รวมทั้งหูฟังอินฟราเรด อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเหล่านี้จะลดหลั่นไปตามรุ่นย่อย

ขุมพลังขับเคลื่อนของปาเจโรใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบบล็อกรหัส 4N15 เทคโนโลยีไมเวค คลีนดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร มีพละกำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด ประหยัดน้ำมันขึ้น 17% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา และปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำกว่า 200 กรัม / กิโลเมตร ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ที่จะประกาศใช้ในเดือนมกราคม 2559 นี้

รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบ Super Select 4WD–II ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control ช่วยให้เกาะถนนมากขึ้นแม้ในทางลื่น และสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc เมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบออฟโรดได้ตามความต้องการและง่ายขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/2.jpg

ระบบความปลอดภัยถือว่าครบครัน เริ่มจากระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM-Forward Collision Mitigation System) และเมื่อความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบช่วยเบรกจะทำงานอัตโนมัติ กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ (Multi-around Monitor) เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS-Ultrasonic misacceleration Mitigation System) หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5 วินาที ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดจากการชน ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW – Blind Spot Warning) ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ SRS สำหรับทุกรุ่น โดยในรุ่นท็อป GT-Premium มาพร้อมถุงลมนิรภัย 7 ลูก

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตใหม่ มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน (Sterling Silver) สีขาวมุก (White Pearl) สีเทาไทเทเนียม (Titanium Grey Metallic) สีดำ (Black Mica) และ สีน้ำตาล (Deep Bronze Metallic)

สรุป

ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์เปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1.269 ล้านบาทในรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไทเทเนียม ขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนียม ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1.459 ล้านบาท และรุ่นท็อปไทเทเนียม พลัส ราคา 1.599 ล้านบาท

โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์เคาะราคาออกมา 5 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่รุ่น 2.4G เกียร์ธรรมดา ราคา 1.199 ล้านบาท รุ่น 2.4V เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1.369 ล้านบาท รุ่น 2.7V เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1.449 ล้านบาท รุ่น 2.8V เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1.529 ล้านบาท และรุ่น 2.8V ขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคา 1.599 ล้านบาทซึ่งเท่ากับเอเวอร์เรสต์

สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต เปิดราคาเริ่มต้นที่รุ่น GLS-LTD ขับเคลื่อนสองล้อ 1.138 ล้านบาท รุ่น GT ขับเคลื่อนสองล้อ 1.250 ล้านบาท ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อป GT- Premium ขับเคลื่อนสี่ล้อ 1.45 ล้านบาท แต่ปรับลดราคาเหลือ 1.399 ล้านบาทในช่วงแนะนำ 1 สิงหาคมถึง 30 กันยายนนี้ ซึ่งถือเป็นราคาที่เชือดเฉือนคู่แข่งอย่างมาก

จะเห็นได้ว่ารถอเนกประสงค์พีพีวีเกือบทุกแบรนด์มีราคาจำหน่ายในแต่ละรุ่นย่อยที่แตกต่างกันหลายแสนบาท บ่งชี้ว่าค่ายรถต้องการตอบสนองกลุ่มลูกค้าอย่างครอบคลุมด้วยการกำหนดระดับราคาที่ห่างกันมากพอสมควร

นั่นทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรรุ่นย่อยได้ตามความต้องการและการใช้งาน อาทิ เอเวอร์เรสต์ที่ใช้ขุมพลังดีเซล 2.2 ลิตรก็อาจเพียงพอแล้วสำหรับหลายคนที่ใช้งานทั่วไป หรือฟอร์จูนเนอร์รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตรก็เป็นทางเลือกที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ประการใด

ด้วยสภาวะตลาดรถในภาพรวมที่กำลังซบเซา คาดว่าทุกค่ายรถจะทยอยปล่อยแคมเปญและโปรโมชั่นออกมากระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง คนที่กำลังมองหารถประเภทนี้ลองไปชมทุกรุ่นได้ที่งานบิ๊ก มอเตอร์ เซลที่ไบเทค บางนา ส่วนจะตัดสินใจจับจองรุ่นใดนั้นยังมีเวลาไปจนถึงงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปในช่วงปลายปีก่อนที่การบังคับใช้โครงสร้างภาษีใหม่จะมีขึ้นในปีหน้า ซึ่งถึงตอนนั้นก็ยังไม่แน่ชัดว่าราคาจะปรับขึ้นอีกเท่าใด

ขอเน้นย้ำกันอีกรอบถึงความสำคัญของการทดสอบขับและสัมผัสตัวจริงให้ครบทุกรุ่นก่อนจับจองครับ


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ