ตลาดรถอเนกประสงค์กระบะดัดแปลงหรือพีพีวีดุเดือดขึ้นมาอีกระดับ เมื่อเชฟโรเลต เปิดตัวเทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่งานบิ๊ก มอเตอร์เซลซึ่งเพิ่งเปิดฉากอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่เสาร์ที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา
เรียกว่าทยอยกันปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่กันอย่างครบครันทุกค่าย ส่วนจะมีรุ่นใดน่าสนใจบ้างนั้นไปชมกันเลย
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่มาพร้อมแนวคิด “ที่สุดของความสมบูรณ์แบบ” การออกแบบด้านหน้าสไตล์ “Dynamic Shield” (ไดนามิก ชิลด์) เอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์มิตซูบิชิที่ให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัยและแฝงความโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED พร้อมระบบปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟเดย์ไลท์ LED ยกระดับความหรูหรา ส่วนไฟท้ายดูแปลกตาด้วยดีไซน์แนวตั้งที่มองเห็นได้ชัดเจน
เข้ามาดูในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยโทนสีดำ พร้อมการตกแต่งสีเงิน ซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น ผสมผสานกับสีดำแบบเปียโนแบล็กที่บริเวณแผงคอนโซลหน้า แผงประตู และคอนโซลกลาง ปาเจโรมาพร้อมเบรกมือไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของแบรนด์มิตซูบิชิ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ 4 ก้าน สามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ บนพวงมาลัย มาตรวัดความเร็วและความเร็วรอบดูง่ายชัดเจนพร้อมจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ (Multi-information display) ที่แสดงผล ทั้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย ระยะทางขับขี่ที่เหลือจากปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ในถัง รวมถึงแสดงการขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในสภาพพื้นผิวถนนที่แตกต่างกันเมื่อเลือกโหมดการขับขี่แบบออฟโรด เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ในขณะที่เบาะนั่งแถวที่สองสามารถแยกพับแบบ 60:40
สำหรับอ็อปชั่นถือว่าไม่แพ้คู่แข่ง ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก (Welcome Light) ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์ (Coming Home Light) เพื่อความปลอดภัย ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS ( Keyless Operation System) ช่วยให้สามารถล็อกและปลดล็อกประตู รวมทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมการติดตั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกส่วนซ้าย-ขวา พร้อมแผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังแบบอิสระและช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง หน้าจอภาพแบบระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อบลูทูธแบบ A2DP และระบบนำทางในรถ (Navigator System) พร้อมจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบ Wide Screen ขนาด 9 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี และรีโมทคอนโทรล รวมทั้งหูฟังอินฟราเรด อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเหล่านี้จะลดหลั่นไปตามรุ่นย่อย
ขุมพลังขับเคลื่อนของปาเจโรใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบบล็อกรหัส 4N15 เทคโนโลยีไมเวค คลีนดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร มีพละกำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด ประหยัดน้ำมันขึ้น 17% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา และปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำกว่า 200 กรัม / กิโลเมตร ภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ที่จะประกาศใช้ในเดือนมกราคม 2559 นี้
รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบ Super Select 4WD–II ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control ช่วยให้เกาะถนนมากขึ้นแม้ในทางลื่น และสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc เมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบออฟโรดได้ตามความต้องการและง่ายขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า
ระบบความปลอดภัยถือว่าครบครัน เริ่มจากระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM-Forward Collision Mitigation System) และเมื่อความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบช่วยเบรกจะทำงานอัตโนมัติ กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ (Multi-around Monitor) เพื่อประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS-Ultrasonic misacceleration Mitigation System) หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5 วินาที ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม. เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดจากการชน ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW – Blind Spot Warning) ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ SRS สำหรับทุกรุ่น โดยในรุ่นท็อป GT-Premium มาพร้อมถุงลมนิรภัย 7 ลูก
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตใหม่ มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน (Sterling Silver) สีขาวมุก (White Pearl) สีเทาไทเทเนียม (Titanium Grey Metallic) สีดำ (Black Mica) และ สีน้ำตาล (Deep Bronze Metallic)
มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต เปิดราคาเริ่มต้นที่รุ่น 2WD GLS-LTD ที่ 1.164 ล้านบาท รุ่น 2WD GT อยู่ที่1.284 ล้านบาท และรุ่น 4WD GT- Premium ตัวท็อปเคาะราคา 1.474 ล้านบาท
ไม่เพียงเรนเจอร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถกระบะที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในเวลานี้ แต่ฟอร์ด เอเวอร์เรสต รถอเนกประสงค์พีพีวีสัญชาติอเมริกันก็ได้เสียงตอบรับที่ดีในแง่ของการออกแบบที่บึกบึนและมีเอกลักษณ์ พร้อมกับเปี่ยมด้วยความหรูหราเช่นกัน
ด้านหน้ามีแผงกันกระแทกใต้กันชนหน้า-หลังดูสมบุกสมบัน ขณะที่กรอบไฟท้ายออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่หล่อเหลาเอาการ ความสูงจากพื้นถึงตัวถังรถอยู่ที่ 225 มิลลิเมตร ถือว่าสูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตรเท่ากับเรนเจอร์ ติดตั้งระบบเกียร์แบ่งกำลัง พร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด ทอร์ค ออน ดีมานต์
ภายในห้องโดยสารรองรับ 7 ที่นั่ง เน้นความกว้างขวางและหรูหรา เบาะทั้งสามแถวพับเรียบได้ด้วยระบบไฟฟ้า ขณะที่ฝาประตูท้ายก็สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าครั้งแรกในรถระดับเดียวกันซึ่งตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไฮไลท์ของอ็อปชั่นภายในเพิ่งถูกอัพเกรดใหม่ทั้งระบบสั่งงานด้วยเสียงใหม่ล่าสุด ซิงค์ 3 (SYNC3) จอสี 8 นิ้ว รองรับ Apple Car play และ Andriod Auto ที่สำคัญคือเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ(Advance-Driving Assist Technology) ใหม่ล่าสุดแบบเดียวกับที่มีในตัวท็อปรุ่นใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อม ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) กล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
เอเวอเรสต์มาพร้อมทางเลือกของเครื่องยนต์ดีเซล 2 ขนาด ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ขนาด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ขนาด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร
จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ทีเอ็มเอส (TMS-Terrain Management System) ทำหน้าที่ควบคุมการจ่ายแรงบิด ระบบส่งกำลังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมซีเลค ชิฟท์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทีเอ็มเอสมีให้เลือกเฉพาะในรุ่น 3.2 ลิตรเท่านั้น มาพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งที่ให้ทั้งความสวยงาม แข็งแกร่ง บึกบึน อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกอย่างมากมาย
ลูกค้าชาวไทยสามารถเลือกสีของเอเวอร์เรสต์ได้ทั้งหมด 5 สี ประกอบไปด้วย สีขาวคูลไวต์ สีดำ แบล็ก ไมก้า เมทัลลิก สีเงิน อะลูมินัม เมทัลลิก สีทอง สปาร์คลิ่ง โกล์ด เมทัลลิก และสีแดง ซันเซต เมทัลลิก
ขณะที่ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2.2L ไทเทเนี่ยม พลัสที่เพิ่งเปิดตัวมีสีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีบลู รีเฟล็กซ์ เมทัลลิก สีขาว คูล ไวต์ สีดำ เจ็ท แบล็ก เมทัลลิก สีเงิน อะลูมินัม เมทัลลิก สีทอง สปาร์คลิ่ง โกล์ด เมทัลลิก สีแดง ซันเซต เมทัลลิก โดยภายในมีสีดำและสีเบจ (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก)
ราคาของเอเวอร์เรสต์เริ่มต้นที่รุ่น 2.2L Titanium 4x2 AT เคาะ 1.389 ล้านบาท ตามมาด้วยรุ่น 2.2L Titanium+ 4x2 AT ราคา 1.549 ล้านบาท รุ่น 3.2L Titanium 4x4 AT มีราคาที่ 1.599 ล้านบาท และรุ่น 3.2L Titanium+ 4x4 AT เคาะที่ 1.749 ล้านบาท
ฟอร์จูนเนอร์ เจนเนอเรชั่นใหม่เปิดตัวพร้อมแคมเปญสื่อสารการตลาดสไตล์โตโยต้าอย่าง “เหนือนิยามแห่งศักดิ์ศรี” หรือ “New legend of the pride” กรอบไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Beam LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟเดย์ไลท์ LED เสารับสัญญาณวิทยุดีไซน์ล้ำแบบ Shark Fin กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และระบบ Welcome Light มีไฟตัดหมอกครบครันหน้าและหลัง สปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ล้ออัลลอย 18 นิ้วซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของรถระดับนี้ ขณะที่ไฟท้ายเป็นแบบ LED แบบ Light Guiding
เข้ามาดูภายในห้องโดยสารเน้นบรรยากาศพรีเมียมแบบรถเอสยูวี โดดเด่นด้วยมาตรวัดเรืองแสง จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-Information Display) หน้าจอสีแบบ TFT คมชัดทุกรายละเอียด ที่สามารถปรับตั้งค่าการทำงานของระบบต่างๆได้
เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมเครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ T-Connect และการเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมกล้องมองหลังสำหรับการถอยจอด ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ช่องเสียบอุปกรณ์ USB, iPOD และ AUX ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ซึ่งหุ้มหนังแบบสปอร์ตพร้อมสวิทช์ควบคุม
อ็อปชั่นอื่นๆ ที่ไม่ลืมใส่มาให้คือปุ่มสตาร์ท ระบบควบคุมไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบไฟส่องสว่างขณะถึงที่หมาย (Follow- me-home) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ที่น่าสนใจก็คือระบบประตูท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Power Back Door with Jam Protection)
ขุมพลังมีให้เลือก 3 รุ่น ตัวท็อปเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ตามมาด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที ปิดท้ายด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร Dual VVT-I พละกำลังสูงสุด 166 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 245 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด โตโยต้ายังชูระบบขับเคลื่อนสี่ล้อซิกม่าโฟร์ (Ʃ4) ซึ่งเราจะรายงานการทดสอบอีกครั้งในภายหลัง
ด้านระบบความปลอดภัยถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานรถพีพีวี ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบเบรก ABS ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)
นอกจากนี้ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ยังมาพร้อมโครงสร้างนิรภัย GOA ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุด เข็มขัดนิรภัย แบบ ELR 3 จุด 7 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติสำหรับเบาะคู่หน้าพวงมาลัยแบบยุบตัวได้ ระบบสัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) กุญแจ Smart Key ดีไซน์ใหม่ พร้อมระบบ Immobilizer
รุ่นที่น่าสนใจคือ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทีอาร์ดี สปอร์ติโว นอกจากจะเปลี่ยนปรับปรุงรูปลักษณ์ให้มีความสปอร์ตสวยงามมากยิ่งขึ้นทั้งภายในและภายนอกแล้ว ยังมีการปรับแต่งทั้งระบบช่วงล่างใหม่ที่หนึบแน่นขึ้น แต่ยังคงความนุ่มนวล อีกทั้งยังมาพร้อมระบบเบรคแบบดิสก์เบรค 4 ล้อ เพิ่มความมั่นใจในการเบรคอีกด้วย
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์มีมากรุ่นย่อยที่สุด เริ่มต้นที่ 1.229 ล้านบาท ไปจนถึงรุ่นท็อปไลน์ ทีอาร์ดี สปอร์ติโว 1.713 ล้านบาท คลิกชมการทดสอบขับรุ่นท็อปได้ที่นี่
อีซูซู มิว-เอ็กซ์ ไม่มีแฝดคนละฝาอย่างเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์อีกแล้ว เนื่องจากฝ่ายหลังเพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ทั้งภายนอกและภายในไปหมาดๆ
ด้านหน้าของมิว-เอ็กซ์ใช้ดีไซน์แบบทูโทน สีตัวถังสลับดำเน้นความน่าเกรงขาม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ออกแบบแนวเส้นรับกับกระจังหน้าที่มีดีไซน์หวือหวาตามสไตล์อีซูซุ ไฟตัดหมอกทรงกลมอยู่คู่กับเดย์ไลท์หรือไฟส่องสว่างเวลากลางวัน สว่างชัดแม้กลางแสงจ้าด้วยหลอด LED ด้านท้ายรถกล้องมองหลังพร้อม สปอยเลอร์หลังเพิ่มกลิ่นอายความโฉบเฉี่ยวกันเล็กน้อย ส่วนเสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม
ภายในห้องโดยสารใช้เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีอ่อน เบาะคนขับเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง การตกแต่งแผงคอนโซลให้สีดำสลับเมทัลลิกและลายไม้ ไฟส่องสว่างเป็นแบบเรืองแสงสีขาวพร้อมตัวเลขสีขาว ถ้าเชฟโรเลตมีมายลิงค์ อีซูซุก็มี ISUZU MEDIA SOLUTIONS เครื่องเล่น DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทาง i-Genii บนเพดานมีหน้าจอมอนิเตอร์ขนาด 10.5 นิ้ว ช่องแอร์ติดตั้งมาทั้งสามแถวนี่นั่งเช่นกัน
มิว-เอ็กซ์ยังนำเสนอ ISUZU GENIUS ENTRY ระบบกุญแจอัจฉริยะ อีกขั้นของชีวิตเหนือระดับ ควบคุมการเปิด-ปิดและล็อกประตูทุกบาน รวมถึงสตาร์ทรถด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์เปิด-ปิดที่ประตูท้าย เพิ่มความสะดวกทุกการใช้งาน
มิว-เอ็กซ์มีขุมพลังสองรุ่น เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ ISUZU Ddi 3.0 บลู พาวเวอร์ พร้อม VGS Turbo ขุมพลัง 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที ขณะที่เครื่องยนต์ ISUZU Ddi 1.9 บลูพาวเวอร์ รีดพละกำลัง 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที
มิว-เอ็กซ์ใช้เครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานยูโร 4 ระบบเทอร์โบแปรผัน VGS Turbo เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแบบ ZERO GAP ลดช่องว่างระหว่างใบพัดกับเสื้อเทอร์โบ เพิ่มประสิทธิภาพการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ดียิ่งขึ้น ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบ SAFETY MODE ป้องกันระบบส่งกำลังเสียหายจากการเข้าเกียร์ผิด และประหยัดน้ำมันเหนือกว่าเกียร์อัตโนมัติทั่วไปด้วยระบบ LOCK UP-TORGUE CONVERTER เพิ่มการส่งถ่ายกำลังเต็มประสิทธิภาพ ตั้งแต่ความเร็วต่ำ
ระบบความปลอดภัยอัดแน่นไม่แพ้คู่แข่ง ระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก ระบบ DUAL G-SENSOR ควบคุมการทำงานของระบบ ABS อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก และระบบเสริมแรงเบรก BA เพิ่มแรงเบรกดันน้ำมันเบรกอัตโนมัติในกรณีเบรกฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS เพิ่มเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ โครงสร้างห้องโดยสารแบบพิเศษเสริมด้วยเหล็กกล้าผลิตด้วยเทคโนโลยี TAILOR WELDED BLANK โดยใช้เหล็กหนาพิเศษมาประกอบเสริม ณ จุดที่ดูดซับแรงกระแทก เพิ่มความแข็งแกร่ง ปลอดภัยอย่างเหนือชั้น เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ทั้ง 7 ที่นั่ง แอร์แบ็คคู่ ช่วยลดความรุนแรงต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า โดยทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ แกนพวงมาลัยและแป้นเบรกแบบยุบตัวได้ ช่วยลดความรุนแรงขณะเกิดอุบัติเหตุ
ด้านอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ เคาะราคารุ่นเริ่มต้น 1.9 Ddi 4 x 2 CD อยู่ที่ 1.094 ล้านบาท ขณะที่รุ่นท็อปไลน์ 3.0 Ddi 4 x 4 DVD NAVI AT เปิดราคาที่ 1.464 ล้านบาท คลิกชมการทดสอบขับของมิว-เอ็กซ์ รุ่น 1.9 ลิตรได้ที่นี่
เทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดได้รับการปรับโฉมสไตล์เดียวกับรถกระบะโคโลราโดที่ออกมาก่อนหน้านี้ มาพร้อมกับการออกแบบเส้นสายลวดลายที่เฉียบคมแสดงให้เห็นถึงความบึกบึนและความหรูหราที่มากยิ่งขึ้น สัดส่วนตัวถังยังคงมีความแข็งแกร่งเพื่อเน้นย้ำศักยภาพการลุยไปได้ทุกที่ เทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดมาพร้อมกระจังหน้าใหม่ ฝากระโปรงใหม่ ล้ออัลลอยใหม่ และไฟหน้าใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน
ภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกถึงความหรูหราเช่นเดียวกับภายนอก ใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวล เพิ่มความรู้สึกพรีเมี่ยม และช่วยลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร คอนโซลกลางได้รับการออกแบบใหม่ตอบสนองการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีนสีขนาด 8 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่น) แสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์รุ่นใหม่ล่าสุด ผู้โดยสารที่นั่งแถวที่สองและแถวที่สามจะมีทัศนวิสัยที่กว้างไกลรอบด้านด้วยเบาะที่นั่งที่จัดวางแบบโรงภาพยนตร์ (theatre-style) สะดวกสบายด้วยช่องปรับอากาศที่มีการควบคุมแบบแยกส่วนซึ่งรวมถึงผู้โดยสารเบาะแถวที่สาม นอกจากนี้ยังสามารถพับเบาะทั้งสามแถวให้แบนราบเพื่อขยายพื้นที่ให้มีความกว้างขวางมากขึ้นสำหรับการบรรทุกสัมภาระได้อีกด้วย
เทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ที่ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้น ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่า และลดมลพิษไอเสีย ด้วยการใช้ระบบเทอร์โบแปรผันหรือ VGT (Variable Geometry Turbocharger) มีพละกำลัง 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร (325 ฟุต-ปอนด์) ที่รอบต่ำ 2,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตรถูกติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงรบกวนบริเวณหัวฉีด เพื่อให้ทำงานได้เงียบขึ้น เทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดยังมาพร้อมยางรองตัวถังและยางรองแท่นเครื่องยนต์แบบใหม่ ซึ่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ทำให้มีระดับเสียงและแรงสั่นสะเทือนภายในห้องโดยสารลดลง โดยจากการทดสอบของทีมวิศวกรแสดงให้เห็นว่าห้องโดยสารเงียบลง 2-4 เดซิเบล
ในเรื่องของความปลอดภัยยังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเชฟโรเลต ทีมวิศวกรรมจีเอ็มได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างและวัสดุตัวถังของเทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ให้มีความแข็งแรง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น เทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยทั้งแบบแอคทีฟและแพสซีฟ (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ทั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง Traction Control System (TCS), ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) ระบบรักษาเสถียรภาพขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (Anti-Rolling Protection) พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่
เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา (Side Blind Zone Alert) ระบบแจ้งเตือนการจราจรขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert) ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร (Lane Departure Warning) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Alert) ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง (Front and Rear Parking Assist) ระบบแจ้งเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย สำหรับผู้โดยสารแถวสอง (Second Row Seat Belt Reminder) และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับปริมาณน้ำฝน ไฟหน้าเปิด/ปิดอัตโนมัติ
สำหรับราคาจำหน่ายของรถเทรลเบลเซอร์รุ่นใหม่ เริ่มต้นที่รุ่น 4X2 AT LT อยู่ที่ 1.244 ล้านบาท ตามมาด้วยรุ่น 4X2 AT LTZ เคาะ 1.379 ล้านบาท ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปขับเคลื่อนสี่ล้อ 4X4 AT LTZ ค่าตัว 1.479 ล้านบาท
ความคิดเห็น