อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จัดกิจกรรมคาราวานระดับโลกเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ด้วยการจัดคาราวานบนเส้นทางกรุงเทพมหานครไปถึงเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
และก็อย่างที่รู้กันดีแล้วว่า ออโต้สปินน์ได้รับเทียบเชิญให้เดินทางจากประเทศไทย ต่อเครื่องบินที่ปักกิ่ง ยิงยาวมาที่เมืองตุ้นหวง ประเทศจีน หนึ่งในเมืองโอเอซิสในอดีต เพื่อรับรีโว่เบอร์ 04 ขับต่อไปเมืองทัชเคนส์ ประเทศอุซเบกิสถาน
ในตอนแรกนั้นเราได้พาทุกท่านขับรถจากเมืองตุ้นหวง เมืองโอเอซิสจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหม ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ผ่านฮามี่ไปจนถึงเมืองทูรูฟานเป็นที่เรียบร้อย ในบททดสอบแรกของการเดินทาง
ก่อนที่เราจะเดินหน้ากันต่อจากทูรูฟาน มุ่งหน้าสู่เมืองชายแดนของประเทศจีนอย่างคาชการ์ ศูนย์ร่วมแห่งอารยธรรมและย่านพาณิชย์แห่งอดีตกาล ที่ในเวลานี้ก็ยังครองความยิ่งใหญ่และความสวยงามของท้องที่เอาไว้ไม่เสื่อมคลาย
ในตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป สเตจ 2 เราจะพามุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของการส่งมอบกุญแจรถให้กับสเตจ 3 กันต่อ โดยเป็นการขับผ่านคีร์กีซสถานและมุ่งหน้าสู่ทัชเคนส์ ประเทศอุซเบกิสถาน เพื่อจับเครื่องบินกลับบ้านเรา
จริง ๆ แล้วการข้ามแดนจากจีนไปคีร์กีซสถานนั้นเหมือนเล่นรถไฟเหาะด้านเวลา เพราะจากที่ในจีนที่เวลาเดินนำประเทศไทยอยู่ 1 ชั่วโมง เมื่อข้ามพรมแดนไปแล้วก็ต้องปรับเวลาให้เดินช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมงทันที เหมือนได้เวลามากขึ้นอีกเล็กน้อย
แต่จริง ๆ ถ้าไม่มองนาฬิกานั้น ก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่าง เพราะฟ้ามืดช้าเหมือนกัน แถมสภาพทางก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่คาชการ์และคีร์กีซสถานก็มีความแตกต่างกันมากพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของรูปแบบการปกครองที่ทำให้ต้องปรับตัวพอสมควร
จากคาชการ์ วิ่งกลับสู่ทางหลวงผ่านทะเลทรายกันมาอีกไม่นาน พอเข้าใกล้ด่านคีร์กีซสถานกลับกลายเป็นว่าอากาศเริ่มชื้นและเริ่มมีฝนตกลงมาเปาะแปะให้ถนนลื่น ๆ ทั้งจากเม็ดฝนและเม็ดทราย ก็ถือว่าวิ่งฝ่าฝนแถมมีลมแรง ๆ มาปะทะบ้างให้พอสนุก
จุดตรวจในช่วงนี้จะค่อนข้างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ แถมตามปั้มน้ำมันต่าง ๆ ก็มีการคุ้มครองอย่างคึกคักโดยทหาร เรียกว่ากว่าจะเติมน้ำมันหรือผ่านด่านแต่ละด่านได้ ก็จอดรถกินกาแฟกันนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เสียเวลาไปมากพอสมควร
มาถึงด่านคีร์กีซสถานท่ามกลางสายฝนและอากาศหมองหม่น ผมเดินไปหยิบบะหมี่สำเร็จรูปกระป๋องมาเติมน้ำร้อนยืดซดอยู่ข้างรถเสบียงที่เป็นที่พึ่งพามาตลอดทริป รอเวลาให้ด่านเปิดให้บริการพวกเราอีกครั้ง ด่านไม่ได้เปิดตลอดนะครับ มาแล้วก็รอกันไปเเรื่อย ๆ
พอถึงเวลาที่ด่านเปิดก็ขับรถเข้าไปตรวจเอกสารกันเล็กน้อย ปล่อยรถผ่านมาได้อย่างดี นึกว่าจะจบแค่ตรงนั้น แต่เมื่อเข้ามาด้านในก็โดนกักรถต่อ ให้คนเดินลงจากรถเพื่อเข้าทำการตรวจเอกสารการเข้าเมืองอย่างละเอียดกันอีกครั้ง
ขอบอกว่าบรรยากาศที่คีร์กีซสถานนี่เข้มข้นมากครับ เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองนั้นเป็นทหารทั้งหมด เรียกว่าให้บรรยากาศตรึงเครียดขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พอตรวจเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินออกมารอที่ด้านนอก
ปัญหาก็คือรถยังไม่ได้ปล่อยผ่านมานี่สิ แถมยังไม่รู้ว่าจะต้องรอกันอีกนานแค่ไหน ฝนก็ตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ จำได้ว่าเกือบชั่วโมงเหมือนกันกว่าที่รถจะผ่านด่านมาได้ และพร้อมที่เดินทางกันต่อไปยังซารี ทาช หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เราจะพักนอนกัน 1 คืน
ระหว่างการเดินทาง เราได้พบกับความสวยงามของธรรมชาติที่น่าจะเรียกได้ว่าสวยงามที่สุดในทริปนี้ของเราตลอดกว่า 10 วัน และน่าจะเป็นหนึ่งในเส้นทางที่น่าประทับใจตลอดการเดินทางของไฮลักซ์ รีโว่ คาราวานด้วยเช่นกัน
ลองจินตนาการถึงเส้นทางวิ่งคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา โดยที่ด้านซ้ายมือของเส้นทางที่วิ่งคือแนวภูเขาน้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย เส้นสายของภูเขาตัดกับพื้นผิวสีฟ้าของท้องฟ้าในฤดูหนาวอย่างสวยงามและลงตัว เรียกว่าจอดรูปให้ถ่ายรูปกับนานขนาดไหนก็ไม่พอ
เราแวะนอนพักที่เกสท์เฮาส์แทนที่จะเป็นกระโจมน้อยตามแบบท้องถิ่น ห้องพักอบอุ่น อาหารพอใช้ได้ แต่ที่ต้องเบือนหน้าหนีก็คือห้องน้ำแบบดั้งเดิมและโบราณ เรียกว่าหลายคนตัดใจแบกภาระไว้ปลดปล่อยภายภาคหน้ากันเลยทีเดียว
ทีซารี ทาชนั้นอากาศหน้าเย็นมาก และมีอากาศหนาวยาวนานถึง 9 เดือน จึงไม่แปลกใจที่ชาวบ้านจะส่ายหน้าเมื่อเราถามหาห้องอาบน้ำ สรุปแล้วคืนนั้น สมาชิกในทีมซักแห้งกันทั้งหมด เพราะถึงจะอยากอาบขนาดไหน อากาศและสถานที่ก็ดูไม่เป็นใจเอาเสียเลย
ตื่นเช้ามาเก็บภาพบรรยากาศหนาวเย็นและหมู่บ้านขนาดเล็ก ก่อนออกเดินทางแบบเรื่อย ๆ สบาย ๆ แวะถ่ายรูปกันริมลำธาร ก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองออช เมืองใหญ่อันดับ 2 ของคีร์กีซสถาน เพื่อทำการพักผ่อนกันสบาย ๆ ในโรงแรม ก่อนเจอศึกหนักในวันรุ่งขึ้น
ที่ออช เราได้มีเวลาไปเดินเล่นกันที่เนินเขาขนาดกำลังดีที่มีชื่อเรียกว่าบัลลังค์ของโซโลมอน การเดินเท้าขึ้นเขาระยะทางพอเหนื่อย เพื่อเยี่ยมชมวิวรอบเมืองออช ถือเป็นไฮไลท์ที่ดีที่ให้ท้องร้องเบาเบาก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ
บอกลาคีร์กีซสถานกันในตอนเช้าเพื่อมุ่งหน้าสู่ด่านชายแดนระหว่างคีร์กีซสถานและอุซเบกิสถาน น่าจะเป็นด่านที่ยุ่งยากและมีปัญหามากที่สุดในการเดินทางในทริป เพราะกินเวลาไปมากกว่า 6-7 ชั่วโมงกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย
เราเดินทางมาถึงด่านที่ยังข้ามไปไม่ได้ในช่วงเช้า ก่อนที่จะต้องรอถึงเที่ยงเพื่อผ่านด่านขาออกคีร์กีซสถาน เจ้าหน้าที่ผู้คุมด่านยังคงเป็นพี่ทหารเหมือนเดิมทุกประการ ขาออกไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมายเท่าขาเข้า งานนี้ต้องถือเป็นประสบการณ์ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
นอกเหนือจากการเข้าออกที่แสนยากเย็น เอกสารที่ต้องกรอกกันละเอียดยิบทั้งเงินที่นำเข้าและอุปกรณ์ทำมาหากินต่าง ๆ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอเหมือนกันหมดก็คือการตอบคำถามเจ้าหน้าที่ที่พร้อมค้นกระเป๋าและรูปภาพในมือถืออย่างละเอียดยิบ
อุซเบกิสถานเป็นประเทศที่เข้มงวดด้านศาสนามาก จึงไม่ต้องแปลกใจที่มือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึงกล้องถ่ายภาพจะถูกตรวจสอบโดยละเอียดเพื่อไม่ให้มีสื่อลามกเข้าไปในประเทศ รวมไปถึงสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ อาทิ ยาแก้ปวด เป็นต้น
กว่าที่จะผ่านด่านเข้าไปได้ต้องใช้เวลาอีกกว่าชั่วโมง แต่ปัญหาหนักกว่าก็คือเรื่องรถที่ต้องผ่านการตรวจสอบมากมาย จนกว่าจะผ่านด่านเข้ามาได้ทั้งหมดก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็น ซึ่งเวลาของอุซเบกิสถานนั้น ลบไปอีก 1 ชั่วโมงจากคีร์กีซสถาน
เมื่อทุกอย่างพร้อมและเรียบร้อย ขบวนคาราวานก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง โดยเมื่อพ้นจากด่านมาได้เราก็แวะรับประทานอาหารเย็นกันทันที หกโมงกว่า ๆ เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง แต่ก็ทำความเร็วกันมากไม่ได้ ด้วยเส้นทางที่มีการจราจรค่อนข้างคับคั่ง
ออกจากตัวเมืองมาได้ ถนนเริ่มกลายเป็นเส้นทางวิ่งลัดเลาะไปตามหุบเขาอีกรอบ แถมมีการทำทางไปตลอดทางทำให้ถนนวิ่งได้เพียง 1 เลน โดยมีรถท้องถิ่นพยายามวิ่งแซงเราโดยตลอดเวลา บวกกับสภาพถนนที่พังเป็นช่วง ๆ เรียกว่ามากันให้ครบ
นอกจากนี้ คณะยังติดที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกครั้ง ทำให้ต้องเสียเวลาไปร่วม 2 ชั่วโมงที่ด่าน ก่อนจะรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายวิ่งยาวจนมาถึงโรงแรมที่พักกลางเมืองทัชเคนท์ช่วงประมาณตี 3 ของวันใหม่ เรียกว่าสะบักสะบอมไปตาม ๆ กัน
วันนั้นเป็นวันที่สมาชิกในทีมส่วนใหญ่สลบไสลไม่ได้สติกันเกือบทั้งหมด แม้วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่เราได้เดินทางกลับบ้านแล้วก็ตาม ตอนเช้าเราตื่นมามีเวลาทัวร์เมืองกันอีกสักเล็กน้อย ได้ไปเยือนสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของอุซเบกิสถานเป็นการฆ่าเวลา
มีความประทับใจสักเล็กน้อยให้เดินยืดก่อนเข้าสนามบิน เมื่อเจ้าหน้าที่สนามบินทักทายผมอย่างสนิทสนม บอกว่าเธอเคยมาประเทศไทยมาแล้ว พร้อมกับบอกว่าเธอเคยไปภูเก็ตและเกาะต่าง ๆ มามาก ก่อนจะจากลาด้วยคำว่า 'Thailand is amazing'
ยังอมยิ้มไม่ทันหาย เจ้าหน้าที่สนามบินที่คุมด่านสุดท้ายก่อนถึงเครื่องเอ็กซ์เรย์ก็ทำให้ยิ้มได้อีกรอบ เมื่อเห็นว่าผมมาจากประเทศไทย เขาก็ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยปากว่า 'You have a beautiful country' เวลานั้นบอกเลยว่าปลื้มสุด ๆ
ก่อนเดินทางทริปนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมคุยกับตั้ม ผช.ผจก.ฝ่ายพีอาร์ของโตโยต้าเกี่ยวกับทริปนี้ เราคุยกันในประเด็นที่ว่านอกจากการเป็นทริปของโตโยต้าแล้ว อยากให้มองในมุมของการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประเทศไทยด้วย
"คุณลองคิดดูสิ นี่คือรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย ขับโดยคนไทย คนนำทางก็เป็นคนไทยทั้งหมด ไม่อยากให้มองแค่แบรนด์โตโยต้า แต่อยากให้มองเรื่องความสำเร็จของคนไทย ของประเทศไทยไปพร้อม ๆ กัน"
มองแบบนี้แล้วมันดูยิ่งใหญ่มาก ก็ต้องขอขอบคุณโตโยต้า ที่ชวนเราไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่มีดีและร้ายปนปนกันไปตลอดทั้งทริป เชื่อว่าต่อจากนี้ไป ทีม 3 ที่ไปวิ่งจากอุซเบกิสถานไปอิหร่านน่าจะมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจตามมากันอีกแน่นอน
เพราะแว่วมาว่าแค่วันแรกของการเดินทางก็ไม่สามารถนำรถออกจากทัชเคนท์ได้ซะแล้ว งานนี้บอกแล้วว่าไปกับโตโยต้า นำทางโดยทรานส์เอเชีย สนุกสนานกันอย่างแน่นอน กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
ขอความสนุกจงอยู่คู่ตัวท่านไปตลอดทั้งทริปจนจบทริปที่อิตาลีนะครับ!!!
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
ความคิดเห็น