ทีมคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ได้เดินทางมาแล้วด้วยระยะทางกว่า 12,408 กิโลเมตร ถือได้ว่าผ่านมาด้วยความอึดของทีมคาราวานทุกคน กับความทนทาน แกร่งของไฮลักซ์ รีโว่ทั้ง 9 คัน ที่ทำให้ผู้ร่วมเดินทางทุกคนมั่นใจตลอดการเดินทาง
วันที่ 27 เส้นทาง : เตหะราน - ทาบริซ อิหร่าน ทีมคาราวานออกเดินทางจากเมืองเตหะรานในช่วงเช้า เรามีเวลาน้อยมาก จึงไม่ได้มีโอกาสออกไปสัมผัสตัวเมืองมากนัก แต่อย่างน้อย ๆ ก็ได้บอกลากับ หอคอย Azadi Tower ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คประจำกรุงเตหะราน โดยวันนี้ปลายทางของการเดินทางเพื่อต้อนรับคณะสื่อมวลชนกลุ่มที่ 4 มีระยะทางอยู่ที่ 623 กิโลเมตร ณ เมืองทาบริซ (Tabriz) ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายในประเทศอิหร่าน
เส้นทางของวันนี้หลังจากออกจากเขตเมือง เข้าสู่ความเป็นที่ราบกึ่งทะเลทรายอีกครั้ง สองข้างทางบนถนนมุ่งสู่เมืองทาบริซ จะเห็นแปลงปลูกข้าวสาลีที่กำลังเป็นสีเหลืองทองสวยงามเป็นระยะ ๆ สลับกับหุบเขาที่กว้างไกลออกไป ภูเขาที่นี่จะมีลักษณะเป็นดินทรายไม่ค่อยมีต้นไม้ปกคลุมเอาเสียเลย ตลอดทางจะพบกับด่านตรวจความเร็วมาเป็นระยะ ๆ เพื่อควบคุมความเร็วของผู้ขับขี่บนท้องถนน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้ทีมคาราวานได้ใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control อีกครั้ง ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
จนมาถึงเมืองทาบริซ ในช่วงเย็น ซึ่งมีเวลาพอให้เดินเล่นพักผ่อนชมวัฒนธรรมของคนในชุมชน เล็กน้อย จากโรงแรมเดินไปทางขวาเรื่อย ๆ พบว่าเมืองนี้บรรยากาศค่อนข้างสบายๆ ไม่แออัดวุ่นวายเหมือนกรุงเตหะราน เดินไปตามทางจนมาถึง มัสยิดบลูมอสก์ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี คศ.1465 ว่ากันว่าเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดในเมือง แต่ตอนที่ทีมไปเยี่ยมเยือนได้เวลาปิดไปแล้ว ได้แต่สังเกตการณ์อยู่ภายนอก ใกล้ ๆ กันยังมีจตุรัสกลางเมืองที่มี City Hall เปิดไฟสวยงาม รับกับน้ำพุที่กำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้า
เมื่อสมควรแก่เวลาจึงเดินกลับที่พัก เพื่อพักผ่อนกัน เพราะพรุ่งนี้เราจะมีภารกิจข้ามแดนไปยังประเทศตุรกีอีกครั้ง ซึ่งแต่ละประเทศจะมีขั้นตอนในการตรวจเอกสารผ่านเข้าเมืองไม่เหมือนกัน
วันที่ 28 เส้นทาง : ทาบริซ อิหร่าน - โดคูเบยาซิต ตุรกี
วันนี้ทีมคาราวานเตรียมความพร้อมกันเต็มที่เพื่อข้ามแดนไปยังประเทศตุรกี ซึ่งห่างจากเมืองทาบริซ ประมาณ 290 กิโลเมตร ทีมคาราวานออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการยื่นเอกสารผ่านแดนจากประเทศอิหร่านเข้าไปยังประเทศตุรกี
เส้นทางวันนี้บรรยากาศสองข้างทางยังคงเป็นที่ราบสลับขึ้นลงเขามีภูเขาดินทรายตลอดทาง ซึ่งให้ความงดงามในรูปแบบที่คุ้นเคยตลอดการเดินทางในประเทศอิหร่าน แต่มีต้นไม้ปกคลุมเขาบ้างเล็กน้อยจากที่ผ่านมา แล้วทีมคาราวานก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ผู้เดินทางยื่นเอกสารผ่านด่านใช้เวลาไม่มากนัก ก็เข้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศตุรกี ซึ่งที่ประเทศตุรกีไม่ต้องขอวีซ่า เพราะฉะนั้นขั้นตอนไม่ได้ซับซ้อน สำหรับรถยนต์ที่จะผ่านแดนต้องมีการตรวจสอบกันละเอียดสักเล็กน้อย ซึ่งใช้เวลาแต่ก็ถือว่าไม่นาน
เมื่อผ่านด่านกันเรียบร้อยแล้ว คณะคาราวานทั้งคนและรถไฮลักซ์ รีโว่ 9 คัน มุ่งหน้าเพื่อเข้าเมืองโดคูเบยาซิต (Dogubeyazit) พ้นด่านมาด้านหน้าก็ได้เห็นภูเขาอารารัต (Ararat) มาหายใจรดต้นคอ รออยู่เบื้องหน้าทันที ภูเขาแห่งนี้มีความสูงถึง 5,137 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในตุรกี และมีหิมะปกคลุมตลอดปี หน้าตารูปทรงคล้าย ๆ ภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น 
ทีมคาราวานแวะขึ้นเขาเพื่อไปชม " เรือโนอาห์ " (Noah’s Ark) กันก่อน ซึ่งต้องขับรถไต่ขึ้นเขาค่อนข้างชันพอสมควร พอขึ้นไปถึงด้านบนจะเห็นร่องรอยที่เค้าเชื่อกันว่านี่คือร่องรอยของเรือโนอาห์ในตำนาน ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลของชาวยิว รวมไปถึงคัมภีร์อัลกุราอ่านของชาวมุสลิม โดยเล่ากันว่าพระผู้เป็นเจ้าของชาวยิวได้ช่วยเหลือโนอาห์กับสมาชิกในครอบครัว 7 คน และสัตว์ชนิดต่างๆ อย่างละหนึ่งคู่ จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนไปหมดโลก โดยบอกให้โนอาห์ต่อเรือยาวขนาด 137 เมตร และนำทุกคนกับสัตว์ต่าง ๆ ไว้บนนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เรือโนอาห์ก็ลอยอยู่บนผืนน้ำเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อน้ำลด เรือก็ลอยมาติดที่เทือกเขาแห่งนี้
เมื่อชมวิวและเก็บภาพถ่ายสวย ๆ มาฝากกันเสร็จ ก็ได้เวลาลงเขา ซึ่งทางลงจะเป็นทางโค้งชัน จึงได้ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน หรือ DAC ซึ่งช่วยให้การขับรถลงทางลาดชันได้สะดวกและปลอดภัยอย่างมาก โดยไม่ต้องเหยียบเบรก
วันที่ 29 เส้นทาง : โดคูเบยาซิต - มาร์ดิน ตุรกี เข้าสู่วันที่ 29 ของการเดินทางตามรอยเส้นทางสายไหม ช่วงนี้จะเป็นการเดินทางอยู่ในตุรกีกันยาวๆ ตุรกีเป็นประเทศที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ และมีเส้นทางที่หลากหลาย และหลาย ๆ สถานที่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกจาก UNESCO วันนี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ออกเดินทางมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่เมืองมาร์ดิน (Mardin) ที่ห่างออกไปประมาณ 700 กิโลเมตร
จากนั้นเราก็เข้าสู่เส้นทางถนน 4 เลน ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามอีกครั้ง สองข้างทางเป็นที่ราบสลับกับหุบเขา ผ่านไปสักพักจึงเข้าสู่ถนนสองเลนที่ตัดผ่านขุนเขา จนออกมาที่สี่เลนอีกครั้ง เส้นทางมีโค้งบ้างเป็นระยะ แต่ด้วยความหนึบและแกร่งของช่วงล่วง DCS ช่วยให้คาราวานเดินทางมาอย่างปลอดภัยและยังขับสนุกตลอดทางอีกด้วย 
วันนี้ทีมคาราวานแวะพักทานอาหารกลางวันที่ทะเลสาบวาน (Van) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี และมีสีสันสวยงามของสีเทอร์ควอยส์ของน้ำที่กลืนกับสีสดของท้องฟ้าได้อย่างลงตัว ในขณะที่บางช่วงก็มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะเข้ามาเติมเต็มความสวยงามให้กับสองข้างทาง มื้อนี้ทีมคาราวานหุงข้าวทานกันเองกับอาหารที่เตรียมมาจากกรุงเทพฯ แบบง่ายๆ เพราะยังอยู่ในช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม กับวิวสวยๆ เส้นทางยิ่งขับใกล้เมืองมาร์ดินแสดงว่าทีมคาราวานใกล้ชายแดนประเทศซีเรีย และเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเส้นทางเริ่มแคบเป็นเลนสวน โค้งเขา และยังขรุขระตลอดทาง ช่วงล่าง DCS กับความหนึบเกาะถนน บวกไฟหน้า LED Projector ให้ความสว่าง ก็ยังพาคาราวานมุ่งหน้าสู่เมืองมาร์ดินได้อย่างสบาย
วันที่ 30 เส้นทาง : มาร์ดิน - อะดิยามัน ตุรกี
เวลาทุกนาทีมีค่าเสมอ...ในการเดินทางกับ ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก กรุงเทพฯ - อิตาลี หลังจากที่มาถึงเมืองมาร์ดิน (Mardin) ในตอนค่ำค่อนไปดึกเมื่อวาน วันนี้คณะคาราวานได้มีเวลาสัมผัสวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนที่นี่ และบันทึกภาพความทรงจำของที่อยู่อาศัยที่เรียงรายอยู่บนหน้าผา ลดหลั่นลงมา เป็นเสน่ห์และความสวยงามของเมืองนี้เลยทีเดียว 
วันนี้ทีมคาราวานมีภารกิจการเดินทางไปยังเมืองอะดิยามัน (Adiyaman) ด้วยระยะทาง 441 กิโลเมตร กับการเดินทางเข้าสู่วันที่ 30 เส้นทางช่วงแรกเป็นถนนสี่เลนขับผ่านที่ราบ สลับกับเขา มีทางโค้งตามแนวเขาเข้ามาทดสอบสมรรถนะการขับขี่ของไฮลักซ์ รีโว่เป็นระยะ บางช่วงก็เป็นเมือง เมื่อผ่านเข้าเมืองจะพบกับสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ แต่ด้วยไฮลักซ์ รีโว่ มีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start & Stop System) โดยจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วขณะ ทำให้ประหยัดน้ำมัน และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 
เมื่อเลยเวลาเที่ยงมาเล็กน้อย ทีมคาราวานแวะทานข้าวกลางวันในบรรยากาศวิวสวย ๆ ของอ่างเก็บน้ำหลังเขื่อน Ataturk ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในตุรกี น้ำในเขื่อนมีสีสันสวยงามมากคล้ายกับสีของทะเลสาบวาน (Van) ที่เราผ่านมาเมื่อวานนี้
หลังจากนั้นออกเดินทางต่อเพื่อไปเทือกเขาเนมรุต (Nemrut) โดยเส้นทางช่วงนี้เป็นการขึ้น-ลงเขา ทางโค้งสลับทางราบตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นเขา เส้นทางเป็นเลนสวน แคบ มีทางโค้งและชัน ด้วยช่วงล่าง DCS ที่หนึบเกาะถนนทุกทางโค้ง ทำให้คาราวานสามารถมาถึงยอดเขาเนมรุต (Nemrut) ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,134 เมตร 
ภูเขาเนมรุต (Nemrut) ถือเป็นสถานที่ที่ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก หรือ UNESCO World Heritage ที่นี่เป็นสุสานของกษัตริย์แอนติโอนุสที่ 1 (Antiochus I) ของอาณาจักรคอมมาจเน (Commagene) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นยุคของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ยอดเขามีลานฝั่งตะวันออกและลานฝั่งตะวันตกที่มีรูปแกะสลักหินยักษ์ ตรงกลางเป็นยอดเขาที่ถูกถมขึ้นซึ่งน่าจะเป็นที่ฝังศพที่ยังไม่ถูกค้นพบ ที่ลานฝั่งตะวันออกรูปแกะสลักหินถูกตั้งเรียงแถว มีลักษณะเป็นรูปหน้าของกษัตย์แอนติโอนุสที่ 1, นกอินทรี, สิงโต, เทพเจ้าของกรีก, อาร์มีเนียและเปอร์เซีย ได้แก่ ซุส อารามาสต์ และ เฮอร์คิวลิส วาฮาน
เมื่อดื่มด่ำธรรมชาติอันสวยงามและอากาศบริสุทธิ์ ก็ได้เวลาต้องบอกลาภูเขาเนมรุต โดยเป็นการย้อนเส้นทางเดิม แล้วคณะคาราวานได้ทดลองสมรรถนะของไฮลักซ์ รีโว่ ไม่ว่าจะเป็นระบบ DAC ที่ช่วยในการลงเขาโดยไม่ต้องเหยียบเบรก เพราะระบบจะคำนวณความลาดชันกับความเร็วในการลงเขา ช่วยให้การเดินทางปลอดภัย มั่นใจยิ่งขึ้น ยังไม่หมดแค่นี้ผู้สื่อข่าวที่มาร่วมคาราวานยังได้ทดสอบสมรรถนะของการใช้เกียร์ Sequential Shift ซึ่งช่วยให้การลงเขาลาดชันทำได้อย่างนุ่มนวล
ไม่นานทีมคาราวานก็มาถึงที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเย็นและเตรียมตัวพักผ่อน เพื่อเตรียมความพร้อม ในวันถัดไป ที่เหล่าคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ มีนัดกับเมืองสุดสวยและยอดฮิตอย่างเมืองคัปปะโดเกีย (Cappadocia)
ห้ามพลาดติดตามการเดินทางกันได้ที่ www.toyota.co.th/hiluxrevocaravantrip พร้อมร่วมสนุก “อ่านแล้วแชร์” ง่าย ๆ เพียงแค่คลิ๊ก และพิมพ์ #hiluxrevocaravantrip รับกล้อง GoPro Hero4 และของที่ระลึกอื่น ๆ อีกมากมาย หรือที่ www.facebook.com/toyotahiluxthailand
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง
LINE
ความคิดเห็น