ผ่านความท้าทายของเส้นทางสายไหมมาจนถึงทวีปยุโรป สู่จุดสิ้นสุดการเดินทางที่ประเทศอิตาลี ผ่านทั้งเส้นทางอันยากลำบาก ขึ้นเขา ลงเขา การจราจรที่หนาแน่น แต่ได้เจอกับประสบการณ์ที่ไม่อาจหาที่ไหนได้อีกแล้ว ก็นับว่าคุ้ม...
วันที่ 42 เส้นทาง : กลอสกล็อกเนอร์ ออสเตรีย
เข้าสู่ช่วงไฮไลท์สำคัญของการเดินทางในทวีปยุโรปสำหรับคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ กับการพิสูจน์สมรรถนะจริงระดับโลกบน “กลอสกล็อกเนอร์” (GrossGlockner) ยอดเขาที่ถือว่าสูงที่สุดของออสเตรียและเป็นเส้นทางในฝันสุดท้าทายของคนที่รักการขับขี่จากทั่วโลก มีเส้นทางขับรถยาวประมาณ 49 กิโลเมตร ติดอันดับ 1 ใน 10 ของถนนที่มีความโรแมนติกที่สุดในโลก ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่ คือ วิวสุดงดงามกับเส้นทางขับรถที่ท้าทายนักขับจากทั่วทุกมุมโลก มีโค้งคดเคี้ยวมากมายทุกรูปแบบ ทั้งโค้งหักศอก โค้งตัวเอส และโค้งตัวยู พับซ้อนกันไปมาบนทางขึ้น-ลงเขาแคบ ๆ และลาดชัน ซึ่งความยากเหล่านี้ ได้กลายเป็นความท้าทายที่บรรดานักขับจากทั่วโลกต่างก็อยากมาพิสูจน์ฝีมือที่นี่กันสักครั้ง
สำหรับคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ที่ผ่านการทดสอบบนเส้นทางสุดหฤโหดมาสารพัดรูปแบบแล้ว ตั้งแต่เอเชียจนถึงยุโรป ก็ย่อมไม่พลาดที่จะได้พิสูจน์สมรรถนะพันธุ์แกร่ง บนเส้นทางที่ถือว่าท้าทายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยคาราวานได้ออกเดินทางจากตัวเมืองลินซ์ มุ่งหน้าสู่ยอดเขากลอสกล็อกเนอร์ที่อยู่ห่างไปราว 40 – 50 กิโลเมตร ซึ่งต้องบอกว่าวันนี้กลอสกล็อกเนอร์ได้ต้อนรับคณะคาราวานด้วยความท้าทายที่เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว เริ่มตั้งแต่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และถือว่าเป็นฝนที่หนักที่สุดตั้งแต่ออกเดินทางกันมา ทำให้ถนนลื่นตั้งแต่เริ่มขึ้นเขา ทัศนวิสัยในการมองเห็นถูกลดทอนลงไป คาราวานต้องฝ่าไปบนทางโค้งหลายรูปแบบที่ทั้งแคบและชัน แต่ความหนึบของช่วงล่าง DCS และกำลังแรงบิดสูงสุดในรอบกว้างของเครื่องยนต์ GD Efficient Boost ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะความหนึบ แกร่ง ทนทาน ผ่านทุกโค้งของกรอสกล็อคเนอร์มาได้อย่างเหนือชั้น
กระทั่งขึ้นไปถึงจุดชมวิว น่าเสียดายที่หลาย ๆ มุมได้ถูกเมฆหมอกจากฝนปกคลุมเอาไว้ แต่ก็ยังดูสวยงามตามธรรมชาติ และเนื่องจากหิมะเพิ่งตกเมื่อคืน บนยอดเขาเลยยังมีหิมะปกคลุมอยู่บ้าง สิ่งที่ตามมา คือ อากาศที่หนาวขึ้น อุณหภูมิประมาณ 1-3 องศาเซลเซียส คณะคาราวานจึงต้องเปิดระบบทำความร้อน (Heater) ภายในรถเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย และถึงแม้เส้นทางจะท้าทายเพียงใด แต่ด้วยสมรรถนะของไฮลักซ์ รีโว่ ก็ทำให้บรรยากาศของการขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน คาราวานขับชมวิวและแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันตลอดทาง เก็บเกี่ยวทุกความประทับใจภายใต้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งทุกคนได้มาพิชิตเส้นทางที่ถือว่าท้าทาย และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เมื่อถึงเวลาลงเขาสายฝนก็ยังตามมาส่งคาราวานอย่างไม่ลดละ ทำให้ต้องใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติขณะลงทางชัน DAC เพื่อช่วยในการขับขี่ลงทางลาดชันโดยไม่ต้องแตะเบรก และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control) ป้องกันการลื่นไถลบนถนนที่เปียกลื่น ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น แต่ด้วยทัศนวิสัยที่เต็มไปด้วยเมฆฝน ก็ทำให้บางช่วงมองแทบไม่เห็นกัน การจะขับตามกันเป็นขบวนคาราวานจึงทำได้ยากมาก ต้องอาศัยไฟตัดหมอกหลังที่สว่างของไฮลักซ์ รีโว่ มาช่วยในการขับตามกันปลอดภัยและง่ายขึ้น จนกลับเข้าสู่เมืองลินซ์ได้อย่างสวัสดิภาพ
วันที่ 43 เส้นทาง : ลินซ์ ออสเตรีย – ลีวินโญ อิตาลี
ใกล้จุดหมายปลายทางเข้ามาทุกทีแล้ว สำหรับการเดินทางสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ โดยวันนี้คาราวานจะมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายของการเดินทาง แต่ยังไม่ใช่เมืองปลายทางของเส้นทางสายไหม คาราวานเริ่มออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะเส้นทางส่วนใหญ่ในวันนี้ต้องขับตัดผ่านภูเขา จึงต้องเผื่อเวลาในการขับขี่กันเล็กน้อย ออกจากเมืองลินซ์มาได้ไม่นานก็ถึงจุดเขตแดนเข้าประเทศอิตาลี ตลอดเส้นทางเป็นการขับอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ สองข้างทางจึงเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม อากาศสดชื่นและไม่ร้อนจนเกินไป
เส้นทางในวันนี้เต็มไปด้วยทางโค้ง แต่ช่วงล่างที่หนึบของไฮลักซ์ รีโว่ ก็ทำให้การเข้าโค้งเป็นไปได้อย่างสบาย และด้วยความที่เป็นถนนสองเลนค่อนข้างแคบ อีกทั้งรถในประเทศอิตาลีค่อนข้างเยอะ เราจึงต้องเบรกกันตลอดเวลา ซึ่งระบบเบรกของไฮลักซ์ รีโว่ก็ตอบสนองได้เป็นอย่างดีตลอดเส้นทาง ส่วนในช่วงที่เป็นทางตรง ระบบเกียร์ Sequential Shift ก็ช่วยให้การขับขี่สบายขึ้น เรียกได้ว่าขับสนุกทุกสภาพถนน
ช่วงบ่ายหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คาราวานได้ขับเข้าไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์กันเล็กน้อย ในเส้นทางที่ใกล้กับเมืองท่องเที่ยวอย่างเซนต์มอริซ (St.Moritz) เพื่อให้ได้บรรยากาศของถนนหนทางสวย ๆ ท่ามกลางความสงบของธรรมชาติเรียบทะเลสาบอันสวยงาม ก่อนจะวกกลับมายังประเทศอิตาลีอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงเมืองปลายทางที่ลีวินโญ
ลีวินโญ (Livigno) เป็นหมู่บ้านปลอดภาษีในหุบเขาริมชายแดนระหว่างประเทศอิตาลีและสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ในเขตของประเทศอิตาลี มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาทุกฤดู ในฤดูร้อนคนจะนิยมมาเดินเล่น พักผ่อนในอากาศสบาย ๆ ส่วนในฤดูหนาวมีชื่อเสียงมากด้านการเล่นสกี คาราวานเดินทางมาถึงกันตอนค่ำ โดยอากาศหนาวกว่าที่คิดไว้มาก เพราะรอบๆ หมู่บ้านยังมีหิมะปกคลุมอยู่ ทุกคนจึงรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อน เตรียมตัวสู่การเข้าใกล้จุดหมายปลายทาง นั่นคือ การพิชิตเส้นทางสายไหมที่กรุงเวนิส
วันที่ 44 เส้นทาง : ลีวินโญ – เมตเต้ส์ อิตาลี
เข้าสู่วันที่ 44 ของการเดินทาง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวันที่สำคัญของคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ทุกคนตื่นตัวพร้อมและออกมารับอากาศหนาวเย็นของลีวินโญกันแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวเดินทางเข้าสู่เส้นชัย สุดทางสายไหมของมาร์โค โปโลที่กรุงเวนิส ประเทศอิตาลี ทีมคาราวานเริ่มออกเดินทางจากลีวินโญกันช่วงสาย ๆ เส้นทางยังคงสวยงามคล้ายคลึงกับเมื่อวานนี้ มีทางโค้งเข้ามาทดสอบสมรรถนะของช่วงล่าง DCS เป็นระยะ แต่ไฮลักซ์ รีโว่ก็ยังคงแกร่ง หนึบ และเข้าโค้งได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าจะเดินทางอย่างหนักต่อเนื่องมา 44 วันแล้วก็ตาม เสริมความสะดวกสบายให้การขับขี่ด้วยระบบเกียร์ Sequential Shift ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง
คาราวานแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่เมืองซีร์มิโอเน่ (Sirmione) เมืองท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอิตาลีที่มีทะเลสาบล้อมรอบทั้งสองด้าน อีกทั้งยังอายุเก่าแก่เกือบ 2,000 ปี แต่ด้วยเวลาอันจำกัดจึงทำได้เพียงแวะรับประทานอาหารไทยกันเท่านั้น ก็ต้องออกเดินทางต่อ เส้นทางในช่วงบ่ายเป็นถนนสี่เลน คาราวานจึงถือโอกาสทดสอบอัตราเร่งของเครื่องยนต์ GD Efficient Boost กันเป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการทำความเร็วและเร่งแซงในบางช่วง ซึ่งเครื่องยนต์ของไฮลักซ์ รีโว่ก็ยังแรงดีไม่มีตก ตอบสนองทุกความต้องการของคาราวานได้อย่างไร้ที่ติ ส่วนบรรยากาศสองข้างทางในช่วงนี้ ผ่านทิวทัศน์ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งที่ราบการเกษตร ทะเลสาบขนาดใหญ่ และเมืองริมผาอันสวยงาม
กระทั่งช่วงเย็น คาราวานก็เดินทางมาถึงกรุงเวนิส โดยหยุดคาราวานไว้ที่ฝั่งเมตเต้ส์ (Metres) ก่อนจะข้ามไปสู่เกาะเวนิสในวันพรุ่งนี้ และทันทีที่เดินทางมาถึง ก็ได้รับข่าวที่น่ายินดีว่า วันนี้กรุงเวนิสจะมีการจัดงานเทศกาลประจำปีที่ชื่อว่า Festa del Redentore หรืองานแสดงพลุสุดยิ่งใหญ่ของเวนิส ที่บริเวณจตุรัสซานมาร์โค (San Macro) อันเป็นช่วงเวลาที่พอดีกับการเดินทางของคาราวาน เปรียบเสมือนการร่วมเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการเดินทางของ ไฮลักซ์ รีโว่ บรรยากาศบริเวณจัตุรัสซานมาร์โค จึงอบอวลไปด้วยความสุขของคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยว และคณะคาราวานที่มาอยู่กันเต็มพื้นที่ พอถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน พลุก็เริ่มจุดขึ้นอย่างสวยงาม สว่างจ้าเต็มท้องฟ้า ถือเป็นการต้อนรับคณะคาราวานสู่บ้านเกิดของมาร์โค โปโลได้อย่างสวยงามและน่าประทับใจ
วันที่ 45 เส้นทาง : เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
เข้าสู่วันสุดท้ายในการเดินทางสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ “ไฮลักซ์ รีโว่ คาราวาน ทริป บทพิสูจน์จริงระดับโลก กรุงเทพฯ – อิตาลี” หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนานเข้าสู่วันที่ 45 บนเส้นทางสุดหฤโหดกว่า 20,156 กิโลเมตร วันนี้ได้เดินทางมาถึงภารกิจสุดท้าย คือการนำไฮลักซ์ รีโว่ ไปให้ถึงเกาะเวนิส สุดทางเส้นทางสายแพรไหมตามบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล (Marco Polo) นักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชื่อดังชาวอิตาลี
มาร์โค โปโล (Marco Polo) เป็นนักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชาวอิตาลี เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้เดินทางบนเส้นทางสายแพรไหมร่วมกับบิดาและลุงไปยังประเทศจีน ซึ่งในยุคนั้นเรียกว่า คาเธ่ย์ ตรงกับราชวงศ์หยวนโดยการปกครองของจักรพรรดิกุบไล ข่าน ในการเดินทางครั้งนั้นได้ถูกบันทึกผ่านหนังสือ อิลมีลีโอเน (Il Milione) หรือ บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล
คณะคาราวานในวันนี้ นำทีมโดยคุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้นำขบวนรถไฮลักซ์ รีโว่ออกจากเมตเต้ส์ (Metres) เพื่อลงแพขนานยนต์ล่องไปรอบเกาะเวนิส โดยตลอดเส้นทางจะเห็นอาคารบ้านเรือน และสถาปัตยกรรมสำคัญหลายแห่ง ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งน้ำ ซึ่งถือเป็นมนต์เสน่ห์ของนครแห่งสายน้ำที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ใช้เวลาไม่นานคณะคาราวานก็เข้าเทียบท่าที่ ซาน จิโอร์จิโอ่ (San Giorgio) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิหารซาน มาร์โค (St.Mark’s Basilica) สัญลักษณ์สำคัญของกรุงเวนิส
เวนิส (Venice หรือ Venezia) มหานครแห่งนี้ถูกสร้างอยู่บนเกาะใหญ่น้อยทั้งสิ้น 118 เกาะ ที่อยู่ห่างจากฝั่งแผ่นดินใหญ่สองไมล์ครึ่ง โดยมีสะพานกว่า 400 แห่ง และลำคลองใหญ่น้อยเกือบสองร้อยสายเชื่อมเกาะเหล่านี้เข้าด้วยกัน และพาหนะสำคัญที่ชาวเวนิสใช้ในการเดินทาง ก็คือ เรือท้องแบนลำยาวที่ชื่อว่า เรือกอนโดลา โดยมีเอกสารอ้างอิงของเรือประเภทนี้ ครั้งแรกใน ปี ค.ศ.1094 ทั้งนี้นับแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา นครเวนิสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า และมหาอำนาจในการเดินเรือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนถึงยุคที่อาณาจักรใหญ่ ๆ ในยุโรปอย่าง สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส และอังกฤษ พัฒนากองทัพเรือและเส้นทางเดินเรือข้ามทวีป
เมื่อถึงซาน จิโอร์จิโอ่ คณะคาราวานได้รับการต้อนรับจากผู้บริหารของสื่อมวลชน ที่มารอรับการเดินทางของคาราวานบนเส้นทางสายไหมที่ยาวที่สุดในโลก ขึ้นที่เกาะเวนิส ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดเข้าสู่จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ คาราวานทุกคนรู้สึกและสัมผัสได้ถึง…..ความดีใจ และภูมิใจที่ได้ร่วมคาราวาน กับความคิดในใจที่ว่า...เราถึงเวนิส เราทำได้ กับการพิสูจน์สมรรถนะจริงของเจ้าไฮลักซ์ รีโว่ที่ขับเคลื่อนพาคณะเดินทางจากกรุงเทพมาถึงที่นี่ 45 วันแห่งการเดินทางอย่างต่อเนื่องผ่านทุกสภาพถนน ทั้งขรุขระ เปียกลื่น ขึ้น-ลงเขา ทางโค้งที่มีทั้งโค้งตัวยู โค้งเอส โค้งหักศอก ทางโค้งที่ติดต่อกันตลอดทาง กับสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนในแต่ละประเทศไม่ว่าจะอากาศร้อน แห้งแล้ง พายุฝน ลูกเห็บ ทะเลทราย หรือแม้แต่อากาศหนาวที่มีหิมะ แต่ไฮลักซ์ รีโว่ ก็สามารถฝ่าฟันทุกเส้นทางอันหฤโหดพาทุก ๆ คนมาถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ กับความมั่นใจในเครื่องยนต์ใหม่ GD Efficient Boost ช่วงล่าง DCS อุปกรณ์ความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย เพื่อตอกย้ำ ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง
และในช่วงบ่ายทีมคาราวานได้เข้าไปสัมผัสกับมหานครแห่งสายน้ำที่บริเวณซาน มาร์โก ชมมหาวิหารซาน มาร์โกและเก็บภาพเป็นที่ระลึก นอกจากนั้นยังได้ไปเยี่ยมเยียนบ้านของมาร์โค โปโล ที่อยู่บนเกาะเวนิสอีกด้วย เมื่อได้เวลาคาราวานได้เข้าเช็คอินที่โรงแรม JW Marriott ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัว และในช่วงค่ำได้มีงานเลี้ยงขอบคุณคณะคาราวานที่ร่วมเดินทาง เป็นการเลี้ยงปิดท้ายการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ครั้งนี้
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ขับจริง หนึบจริง แกร่งจริง
ความคิดเห็น