คู่ปรับพลังไฮบริด BMW X5 xDrive 40e ชน Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Share this

คู่ปรับพลังไฮบริด BMW X5 xDrive 40e ชน Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC

Satapana
โดย Satapana
โพสต์เมื่อ 03 August 2559

หลังจากปล่อยให้คู่แข่งอย่างบีเอ็มดับเบิลยูนำเสนอ เอ็กซ์5 เอ็กซ์ไดร์ฟ40อีไปก่อนล่วงหน้าหลายเดือน ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ส่งจีแอลอี 500 อี 4แมติกออกมาประกบแล้ว

รถเอสยูวีพรีเมียมสัญชาติเยอรมันทั้งสองรุ่นมาพร้อมหัวใจขับเคลื่อนระบบปลั๊กอินไฮบริด เรียกว่าเสียบปลั๊กไฟบ้านก็พร้อมใช้พลังงานไฟฟ้าวิ่งฉิวได้หลายสิบกิโลเมตร ส่วนจุดเด่นด้านอื่นๆ จะมีอะไรบ้างนั้น เรามาชมกันเลย

บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 เอ็กซ์ไดร์ฟ40อี

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/BMW-X5-xDrive.jpg

รถเอสยูวีจากแคว้นบาวาเรียรุ่นนี้ถูกเรานำมาทดสอบไปแล้วเรียบร้อย เปิดตัวครั้งแรกที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โปในช่วงปลายปีที่แล้ว นับเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกที่บีเอ็มดับเบิลยูนำมาทำตลาดประเทศไทยและทั่วโลก

แน่นอนว่าจุดขายอยู่ที่เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรที่ติดตั้งมาคว้ารางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีมาครองได้ถึงสามสมัย ขุมพลังเบนซิน 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร โดยทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดอีก 113 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาที เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 6.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อใช้งานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 313 แรงม้า ความโดดเด่นอยู่ที่อัตราบริโภคน้ำมันที่ประหยัดถึง 31.3 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยไอเสียที่ 76 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น โดยขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/2016-bmw-x5-xdrive-40e_100504404_m.jpg

เทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และยังสามารถขับขี่ในตัวเมืองได้โดยไม่ปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสียเลย แบตเตอรี่ของรถมีความจุ 9 กิโลวัตต์ชั่วโมง และสามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป เมื่อแบตเตอรี่หมด สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง 50 นาที หรือเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.5 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที

สำหรับการออกแบบเป็นสไตล์รถตระกูล “เอ็กซ์” ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ด้านหน้าสะดุดตาด้วยกระจังไตคู่ ถึงแม้มิติตัวถังจะค่อนข้างใหญ่ แต่เส้นสายที่โฉบเฉี่ยวก็ทำให้ตัวรถมีบุคลิกปราดเปรียว กันชนหน้าออกแบบให้มีช่องรับลมขนาดใหญ่ที่ช่วยรีดอากาศและเพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/2016-bmw-x5-xdrive-40e_100515377_m.jpg

ภายในห้องโดยสารของเอ็กซ์5 เอ็กซ์ไดร์ฟ40อี แน่นอนว่าต้องเน้นความหรูหราและความสง่างามด้วยวัสดุคุณภาพสูงซึ่งลูกค้าสามารถเลือกวัสดุหุ้มเบาะและสีสันทั้งเข้มและอ่อนได้ตามความต้องการ โดยยังมาพร้อมแสงไฟสร้างบรรยากาศแบบแอมเบียนท์ สวิทช์ถูกออกแบบให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้ง่ายดาย มีปุ่มควบคุมระบบสัมผัส iDrive ใหม่ และจอ Control Display แบบลอยตัว กระจกมองหลังแบบลดแสงสะท้อนอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ระบบความปลอดภัยครบครัน ทั้งถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ ระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน ถุงลมนิรภัยปกป้องศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ตลอดจนระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง

สำหรับราคาจำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 เอ็กซ์ไดร์ฟ40อี อยู่ที่ 5,399,000 บาท

เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 500 อี 4แมติก

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/GLE-500-E_-63.jpg

ทางด้านจีแอลอี 500 อี 4แมติกที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบวี เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 3.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

จีแอลอี 500 อี 4แมติกติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม.

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/GLE-500-E_-80.jpg

รถยนต์ GLE 500 e 4MATIC ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ คือ โหมด HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โหมด E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตร โหมด E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น และโหมด CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

รูปลักษณ์ภายนอกเน้นความลาดเอียงแบบสปอร์ต และเรียบหรู โดยทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ส่งมาสองรุ่นคือ จีแอลอี 500 อี 4แมติก เอ็กซ์คลูซีฟ และจีแอลอี 500 อี 4แมติก เอเอ็มจี ไดนามิค ซึ่งมีการตกแต่งแตกต่างกัน โดยรุ่นหลังจะเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่บริเวณกันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า รวมถึงเพิ่มความรู้สึกกว้างขวางด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า

https://img.icarcdn.com/autospinn/body/GLE-500-E_.jpg

ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราแฝงกลิ่นอายความสปอร์ตเอาไว้เช่นเดิม โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push start), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth ตลอดจนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอีกเพียบ พร้อมเพิ่มสุนทรียศาสตร์แห่งการขับขี่ด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี

ระบบความปลอดภัย เริ่มจากฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program - ESP), ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC, ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Acceleration skid control –ASR), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST), ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC), เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC), ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) เป็นต้น

ราคาค่าตัวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 500 อี 4แมติก เอ็กซ์คลูซีฟอยู่ที่ 4.49 ล้านบาท และจีแอลอี 500 อี 4แมติก เอเอ็มจี ไดนามิคเคาะที่ 4.99 ล้านบาท


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ