ปฏิทินประเทศไทยปีนี้มีวันหยุดยาวมากมายหลายต่อหลายวัน แต่บางคนที่ทำงานเอกชนก็คงไม่มีเวลาได้ใช้สิทธิ์เพราะเจ้านายใจโหดเสียเหลือเกิน งานนี้เราเลยต้องจัดทริปสองวันไปกันหลังฝนเท ได้เฮกับหมอกแน่นอน
ทริปนี้เราได้รับเกียรติจากชาว Super Bike Magazine Thailand's Edition ให้ร่วมขบวนทดสอบไปด้วยกันโดยมีอาชาคู่มือเป็น BMW F700GS ที่เดี๋ยวเราจะนำบททดสอบมาฝากกันในภายหลัง
ยามเช้าที่ลมฝนยังไม่จางหาย
เราออกเดินทางกันในช่วงเดือนกรกฎาคมในจังหวะที่กรุงเทพมหานครฝนตกติดๆ กันมา 3 วันรวด มั่นใจว่าอย่างไรซะงานนี้เขาค้อเราหมอกท่วมแน่นอน ขบวนรถ 4 คันนัดพบกันย่านรัชดาหลังจากสลึมสลือออกมาจากที่นอนอุ่นๆ ตั้งแต่ฟ้ามืด
ล้อหมุนออกจากปั๊มย่านวิภาวดี-รังสิตเอาเกือบตี 5 มุ่งหน้าบางปะอิน-นครนายก แวะหาวกันหนึ่งทีตรงเลี่ยงเมืองสระบุรี-ลพบุรี อากาศเย็นๆ ยังไม่หนีไม่ไหน เรามุ่งหน้าต่อเพื่อไปพักเติมพลังมื้อเช้ากันที่วิเชียรบุรีซึ่งระหว่างทางบอกเลยว่าอากาศสดชื่นสุดๆ ในระยะการเดินทางของทริปที่ 263 กม.
ตั้งแต่ช่วงลพบุรีที่เราขี่ตัดขุนเขาบ้าง ผ่านพื้นที่สีเขียวสองข้างทางบ้าง มองภูเขาที่อยู่ไกลๆ ก็เห็นหมอกลอยอ่อยอิ่งอยู่เป็นระยะ ก็ถือว่าชื่นใจสุดๆ ในยามเช้าที่เรายังไม่ได้สัมผัสไอแดดแม้สักนิด แต่บรรยากาศแบบนี้ทำให้ข้าวเหนียวไก่ย่าง ส้มตำ ต้มแซ่บ มื้อเช้าของเราเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆ
เราแวะพักเติมน้ำมันปรับความดันลมยางอีกสองสามปั๊มตามประสาคนเพิ่งตื่นขี้ตายังไม่กระเด็น ก่อนตัดตัวเมืองเพชรบูรณ์ เลี้ยวซ้ายสู่เขาค้อมุ่งหน้าหาที่พักที่เหมาะสมกับฐานะ(อันยากจน) และมีสไตล์เก๋ๆ ชิคๆ ไปเรื่อยๆ เพราะอากาศข้างบนนี้สดชื่นจนอยากจะสูดให้เต็มปอดตลอดเวลา
เขาค้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่เราได้แวะขึ้นมาจะต้องมีอะไรที่เปลี่ยนไปตลอด เขาค้อหน้าฝนยังคงอากาศดีตลอดเวลาแม้ว่าตอนที่เราขนของเข้าที่พักจะเป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้วก็ตามที เราใช้โอกาสนี้ผ่อนคลายอิริยาบทสักเล็กน้อยเพราะยังมีอะไรสนุกๆ รอเราอยู่ข้างหน้าอีก
อะไรสนุกๆ ที่รอเราอยู่ข้างหน้าหวังว่าคงไม่ใช่เมฆฝนขมุกขมัวที่โอบล้อมภูเขาทั้งลูกอยู่ในขณะนั้น หลังจากแอบหลับกันไปคนละงีบ เราออกเริ่มต้นออกสำรวจเขาค้อให้ทั่วตอนระยะทริปที่ 351 กม. โดยทันที เผื่อว่าจะยีงมีมุมแจ่มๆ หลงเหลือให้เก็บภาพกันสักหน่อย
ระยะห่างที่ 10 องศาเซลเซียส
ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยไปมากกว่านี้เราออกจากเขาค้อมุ่งหน้ายังแคมป์สมแวะปั๊มน้ำมันสีฟ้าหาคาเฟอีกเข้าร่างกายในระยะการเดินทางที่ 465 กม. ถนนหมายเลข 12 มุ่งหน้าไปยังหล่มสักยังคงสวยงามไม่เปลี่ยนแปลงแต่ต้องระมัดระวังกันสักนิดเพราะบางทีข้างทางก็มีถนนถล่มอยู่บ้าง เป็นปัญหาที่แก้เท่าไรก็ไม่ตกเสียที
ในระยะการเดินทางของทริปที่ 468 กม. ริมถนนแถวๆ จุดนี้เราจะแวะถ่ายภาพข้างทางเพื่อเห็นพระธาตูผาซ่อนแก้วอยู่บนภูเขาด้านหลังไกลๆ ได้หรือบางทีใครอยากได้ภาพตอนขี่รถสวยๆ แวะจอดดักถ่ายภาพแถวนี้ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยแต่ยังไงก็เป็นถนนหลวงที่ต้องใช้ความระมัดระวังและใส่ใจเพื่อนร่วมทางให้มาก
อุณหภูมิในอากาศช่วงเวลาเที่ยงนิดๆ จากหน้าจอแสดงผลของ บีเอ็มดับเบิลยู เอฟ700จีเอส อยู่ที่25-26 องศาเซลเซียส ชิลล์มากพอที่เราจะแวะจอดข้างทางถ่ายรูปเก๋ๆ โดยไม่บ่นร้อนจนสายธารเหงื่อไหลออกจากจุ้กกะแร้ตอนที่ใส่เสื้อการ์ดอยู่
จังหวะที่เรายืนเล่นกันอยู่นั้นก็มักจะมีกลุ่มรถจักรยานยนต์ขับผ่านไป บางก้ทักทายบางก็ผ่านเลย และยังมีชาวต่างชาติขี่ฮอนด้าหน้าตาแปลกๆ ข้ามมาจากมาเลเซียแวะชะลอทักทายอย่างเป็นมิตร บางครั้งก็จะมีคนแวะจอดพูดคุยขอถ่ายรูปกับรถเป็นที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ เป็นวิถีที่ผู้ขับขี่สองล้อเท่านั้นที่พึงจะได้สัมผัส
แต่หลายครั้งสายลมที่พัดผ่านก็ไม่ได้นำมาเป็นเรื่องราวที่ชวนฟัง ขณะที่เรายืนกันอยู่นั้นก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับเลียบมาจอดข้างๆ พร้อมกับถามว่า "หนูมีเพื่อนมาอีกรึเปล่า" ก่อนที่คุณป้าหน้าตาใจดีและลูกชายจะเล่าต่อว่าเจออุบัติเหตุร้ายแรงของชาวสองล้อ
หลายครั้งที่ความห้าวแรงแซงหน้าสติและความตระหนักเรื่องความปลอดภัย จนเป็นเหตุให้ความซ่านำพาเราไปในจุดที่เราไม่ควรไปเหยียบ เราจากวิวสวยๆ ของเขาค้อมาชั่วคราวเพื่อมุ่งหน้ามาหามื้อเที่ยงที่หล่มสัก แค่ระยะห่างประมาณ 5 นาทีจากจุดที่เราพักเมื่อครู่อุณหภูมิบนจอแสดงผลของรถก็ตีขึ้นไปสูงถึง 34 องศาเซลเซียส ระยะทาง 5 นาที ก็อุณหภูมิที่ตีขึ้นเกือบ 10 องศา ปลดซิบเสื้อการ์ดสิครับรออะไรล่ะ
ภูหินร่องกล้าไม่เห็นต้องมาหน้าหนาว
หลังจากเติมพลังที่ร้านข้าวแกงข้างทางเป็นที่เรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปหาหมอกกันต่อในเส้นทางสุดฮิตนั่นคือ ภูทับเบิก-ภูหินร่องกล้า ทะลุมาออกทางนครไทยวกเข้าถนนสาย 12 อีกครั้ง เมฆฝนที่เคลื่อนตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ไกลๆ ทำเราใจไม่ค่อยจะดีแต่งานดีเสียเวลาขึ้นมาคุ้มค่าสุดๆ
การมาเที่ยววันธรรมดาเราไม่ต้องเจอกับรถลามากมายบนเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นสู่ภูทับเบิก ยิ่งเราไต่ผ่านเขาที่คดเคี้ยวมากเท่าไรอุรหภูมิก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ งานนี้เราจึงไม่พลาดที่จะแวะจอดในจุดชมวิวยอดฮิตของบรรดาสองล้อที่มองเห็นทิวเขาเบื้องล่างไกลสุดสายตา กับละอองหมอกที่ลอยอ่อยอิ่งมาจากเบื้องบน
อุณหภูมิลดต่ำลงเหลือแค่ 20 องศาฯ กว่าๆ อากาศเย็นสบายจนไม่อยากจะขยับตัวไปไหนไอคละคลุ้งสีขาวมวลหนาแน่นจนเราแยกไม่ออกว่าหมอกหรือเมฆไหลบ่าเขาท่วมภูเขาทั้งลูกลดระยะมองเห็นในการเดินทางลงจนเราต้องรีบหนีออกมา
อย่าถามถึงความเร็วที่ใช้เดินทางในทริปนี้เลย เพราะเราไม่ได้ซิ่งซ่าพาขึ้นเขาเลาะโค้งแต่อย่างใด แม้จะเป็นเส้นทางที่เคยมาอยู่บ่อยๆ แต่งวดนี้คณะเดินทางอยากจะมาแบบชิลล์ สภาพจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็นแวะไปเลย ถ่ายภาพไปตามทาง หาข้ออ้างในการจอดเป็นระยะ
เราขึ้นมาถึงจุดทับเบิกที่มองลงไปเห็นเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะด้านล่าง แล้วมุ่งหน้าไปยังภูหินร่องกล้าในทันที หลายคนคิดว่ามาทับเบิกมาเขาค้อต้องมาหน้าหนาวเรากลับคิดว่าช่วงเวลาที่เรามานี่ล่ะแจ่มเป็ดที่สุด คนไม่เยอะ หมอกหนาๆ อากาศเย็นๆ และบอกเลยว่ายังเย็นได้กว่าที่เราคิดอีกเยอะ
ทะลุผ่านด่านเจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าเจ้าอุทยานได้ไม่ไกลถนนทั้งเส้นก็มีแต่ไอหมอกลอยละล่องอยู่ในอากาศ อุณหภูมิลดต่ำเหลือเพียง 18 องศาอย่างรวดเร็ว พื้นถนนเฉอะแฉะและมีใบไม้ร่วงกองเกลื่อนอยู่ จังหวะนี้แอบอิจฉาเพื่อนร่วมทางคันหนึ่งที่มีฟังก์ชั่นปลอกแฮนด์อุ่นมือ(ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าเจ้าตัวไม่ได้เปิดใช้) รถกระบะเจ้าถิ่นขับสวนทางกันอย่างรวดเร็ว แม้ในโค้งลับตา น่านับถือใจจริงๆ
เราทิ้งระยะห่างจากกลุ่มเพราะคอยแวะเก็บภาพอยู่เนืองๆ ก่อนจะกลับมารวมกลุ่มอีกครั้งในจังหวะที่อุณหภูมิเพิ่มสูงและมีแดดสาดส่องเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง โชคดีที่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ร้ายแรง
บางช่วงเราก้เจอกับถนนด้านหน้าที่มีหมอกบนคลุมหนาแน่นจนทำเอาเพื่อนร่วมทริปที่ขี่นำมาจอดต้องจอดรอเพื่อให้เข้าไปพร้อมกัน นึกภาพถนนสองเลนกลางป่าทึบต้นไม้สูงใหญ่บรรยากาศเงียบเหงาที่ด้านหน้าหมอกลงหนาจนมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรโผล่มา อย่างกับว่าเราอยู่ใน ไซเรน ฮิลล์ อย่างไงอย่างนั้น
ฝนเทก่อนค่ำ พายุหมอกกระหน่ำหนา
กว่าจะทะลุมาออกนครไทยต่อเข้ายังถนนหมายเลข 12 ก็ใช้เวลาไปมากมายมหาศาล ท่านใดที่คิดมาเพื่อเวลากันให้ดีๆ งานนี้มีเสียเวลากว่าลงทางที่ขึ้นมา 2-3 เท่าตัว ถนนพังเป็นระยะ ลูกรังหลุมหนาๆ แวะมาทักทายบ่อยๆ ยิ่งพอเราสลับมาขี่แอดเวนเจอร์สปอร์ตโช้คแข็งๆ น้ำตาแทบไหล
ห่ายังระทมไม่พอท้องฟ้าที่เมฆดำปกคลุมมืดสนิทและสายฝนที่สาดอยู่ข้างหน้าและกำลังไล่เข้ามาหา น่าจะทำให้ความสุขของการเดินทางในทริปนี้ลดลงได้บ้าง เราตัดสินใจลุยฝ่าฝนก่อนมาหยุดพักกันบริเวณจุดชมวิวที่ร้านรวงปิดกันเงียบเชียบเพื่อรอให้ฝนซาแถวๆ ระยะเดินทางที่ 620 กม. ซึ่งก็ใกล้เวลาที่อาทิตย์จะลาลับไปเต็มที
สุดท้ายก็กลายเป็นเราต้องขี่ฝ่าสายฝนที่ยังคงโปรยปรายผ่านแคมป์สนกลับขึ้นไปยังเขาค้อหลังฝนตกและอุณห๓ุมิลดน้ำอย่างรวดเร็ว สายลมแหวกทะลุเสื้อการ์ดทำเอาเราสั่นสะท้านก่อนจะนึกออกว่าเราสลับเอารถที่มีปลอกแฮนด์อุ่นร้อนมาขี่จึงเปิดใช้ฟังก์ชั่นนี้อย่างไว ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งอย่างน้อยมือที่กำลังชาจนจะแข็งก็พอขยับได้สะดวกบ้าง
เราถึงที่พักพร้อมกับพายุหมอกที่ทั้งหนาและไหลแรงยิ่งกว่าน้ำที่ปั๊มทะลักผ่านก๊อกน้ำที่ระยะเดินทาง 650 กม. เรียกได้ว่าได้เสพย์สายหมอกตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแบบเต็มที่ แน่นอนว่าเช้าอีกวันตื่นมาก็อย่างก็จะสงบเงียบลงเหมือนเพียงกลิ่นหมอกจางๆ ระหว่างจิบกาแฟชิลล์ๆ
ข้อเสียของการมาเขาค้อในฤดูและวันที่ไม่ใช่วันท่องเที่ยวคืนหาของกินยาก คืนที่หมอกลงจัดเราจึงต้องซัดก๋วยเตี๋ยวชาวบ้านในร้านของชำข้างทาง พร้อมซื้อเครื่องดื่มชื่นใจไว้กล่อมให้เราหลับในคืนที่พายุลมแรงเช่นนี้
ประตูไม้ของห้องพักที่ไม่ได้ล็อคไว้เปิดอ้าตลอดเวลาที่มีลมกรรโชกแรง ทำให้คนที่เสียสละนอนหน้าประตูต้องหนาวสั่นและลุกขึ้นมาปิดอยู่หลายต่อหลายครั้ง กว่าจะเรียนรู้ว่าตัวล็อคมีประโยชน์อย่างไรก็เกือบเช้า นอนเก็บแรงให้มากในคืนก่อนเดินทางกลับ คุณก็รู้ว่าระยะทางเข้ากรุงฯ ไม่ใช่ใกล้ๆ ขอตื่นมาแวะถ่ายรูปให้จุใจแล้วเที่ยงๆ ค่อยไปต่อก็แล้วกัน
อากาศยามเช้าราว 20 องศาส่วนสายๆ 10-11 โมงก็ยังไม่ไปไกลกว่า 25 องศาเซลเซียส มัวแต่เอ่อระเหยกันกว่าจะได้ตั้งท่าออกจากเขาค้อก็ล่อไปซะเฉียดเที่ยง ไหนจะแวะพระธาตุผาซ่อนแก้วไปให้เมฆหมอกโอบกอดอีกสักรอบ พลางนั่งคิดว่าพอมากับเพื่อนถึงจะเป็นเส้นทางเดิมๆ ก็ไม่น่าเบื่อและยังมีเรื่องราวใหม่ๆ ให้พบเจออยู่ตลอดการเดินทาง แต่ทุกการเดินทางย่อมมีวันสิ้นสุด จริงไหมครับ
4 ชม. จากเขาค้อถึงกทม. จากแรงฮึดของคุณพ่อที่อยากเจอหน้าคุณลูก เรากลับถึงบ้านที่ระยะเดินทาง 1,078 กม. แบบไม่แวะกินข้าวเที่ยงเพราะมื้อเช้าเราก็กินกันวะเกือบเที่ยง ปิดทริปแบบสวยงามทุกคนปลอดภัย สำเร็จเป้าหมายอย่างใจหวัง ห่มหมอก กอดเขา เมาไอเย็น เม็ดฝนก็แค่รสชาติชีวิตเท่านั่นล่ะเนอะ
อ่านข่าวอื่นที่น่าสนใจ คลิกที่นี่
มองหาแหล่งซื้อรถยนต์มือสองที่ไว้ใจได้ คลิกที่นี่
ขอขอบคุณ บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
Special Thank: Suomy | Tiger B
เรื่องราวโดย: Ken [Warodom C.]
อ่านข่าววงการมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด คลิกที่นี่
ความคิดเห็น