มาสด้า ประเทศไทย จัดทริปทดสอบรถยนต์ครอสโอเวอร์ในเครือทั้งมาสด้า ซีเอ็กซ์-3 และมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 บนเส้นทางมองโกเลีย-รัสเซีย เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถรุ่นดังกล่าว และเป็นการต่อยอดการทดสอบมาสด้า บีที-50 บนเส้นทางจีน-มองโกเลียในปีก่อนหน้า
เอาจริง ๆ ก็คือหากเราลากเส้นการวิ่งทดสอบต่อกัน มาสด้าก็จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์และรถกระบะรายแรกที่วิ่งทดสอบกันตั้งแต่ประเทศจีนไปจนถึงเมืองหลวงของประเทศรัสเซีย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เหมือนกันสำหรับสื่อมวลชนที่ไปร่วมทดสอบ
ตอนที่ไปขับบีที-50 นั้น ผมอยู่ในกรุ๊ป 2 ซึ่งเป็นกรุ๊ปวิ่งกลับจากอูลานบาร์ตาร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมองโกเลียไปจนสุดชายแดนประเทศจีน แต่ในทริปของปีนี้ ได้มีโอกาสขับไม้แรกจากอูลานบาร์ตาร์ไปยังชายแดนรัสเซีย ข้ามไปยังเมืองโนโวซีบริก ก่อนส่งไม้ต่อให้กรุ๊ปหลังมุ่งหน้าไปมอสโคว
ก็เลยกลายเป็นว่าได้มีโอกาสบินไปลงที่อูลานบาร์ตาร์ เมืองหลวงของมองโกเลียเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนิด ๆ เมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มีการบริหารจัดการอะไรที่สนามบินให้วุ่นวายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เรียกว่ากว่าจะทำธุระที่สนามบินเสร็จก็ต้องเดินหานู่น ๆ นี่กันยกใหญ่
เราจับเที่ยวบินรอบดึกจากสุวรรณภูมิ เพื่อไปต่อเครื่องที่ประเทศจีน ก่อนบินดิ่งไปถึงอูลานบาร์ตาร์ในช่วงสาย ๆ ซึ่งก่อนเดินทางก็ได้รับการรายงานล่วงหน้าว่าอากาศเย็นลงกระทันหัน ทำให้อากาศหนาวกว่าที่คาด และแน่นอนว่าหิมะตกลงมาเป็นที่เรียบร้อย
ทีมงานทรานส์เอเชียซึ่งเป็นผู้นำทางของเราได้เตรียมรถไว้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ไม่รอดไปจากหิมะตกไปได้ ทำให้รถบางคันที่มารับเรานั้นมีน้ำแข็งเกาะตัวรถกันตั้งแต่วันแรก ขณะที่สองข้างทางของถนนก็เต็มไปด้วยหิมะเกาะตามยอดหญ้าเต็มไปหมดสุดลูกหูลูกตา
ผมและน้องนักข่าวอีก 2 คนได้รับมอบกุญแจรถยนต์หมายเลข 5 ซึ่งเป็นรถยนต์มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 มาเป็นพาหนะสำหรับประจำการตลอดทริป รถยนต์สีน้ำเงินดูตัดกันดีกับหิมะขาวโพลนและต้นไม้รายทางที่เปลี่ยนใบเป็นสีเหลือง เรียกว่าจะถ่ายวิวแบบไหนก็ดูสวยเด่นเอาเรื่อง
ออกจากสนามบินอูลานบาร์ตาร์ เราขับรถไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารที่อยู่ห่างจากสนามบินไปราวครึ่งชั่วโมง อย่างที่บอกว่าหิมะเริ่มลงมาพอดี ทำให้สมาชิกในทริปดูตื่นเต้นไปกับบรรยากาศรอบตัวที่นอกจากจะขาวโพลนไปหมดแล้ว ยังหนาวเหน็บจนพวกเราคว้าเสื้อหนาวมาคลุมตัวกันแทบไม่ทัน
รถยนต์มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ที่นำมาใช้ในการทดสอบทุกคันเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เนื่องจากน้ำมันดีเซลบนเส้นทางทดสอบอาจจะไม่ได้มีมาตรฐานที่เหมาะสมกับรถ ทำให้รถยนต์ทั้ง 10 คันในทริปนี้ ถูกเลือกมาเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซินทั้งหมด ซึ่งก็ถือว่ามาสด้าเพลย์เซฟอยู่พอตัวเหมือนกัน
ตัวรถที่เราทดสอบมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินสกายแอคทีฟ-จีเบนซิน ขนาด 2000 ซีซี. แรงม้าสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร ให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ให้อารมณ์และการตอบสนองที่แม่นยำเช่นเดียวกับเกียร์ธรรมดา
นอกจากนี้ ยังงมาพร้อม ไอ-แอคทีฟเซนส์ เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงของมาสด้า ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ระบบปรับไฟหน้าสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง และระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ
ตัวรถขนาดกำลังดี แต่อาจจะเล็กไปเล็กน้อยสำหรับการบรรทุกผู้โดยสารพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 3 ใบและสัมภาระจุกจิกเล็กน้อยมากมาย แต่ด้วยเบาะหลังที่ปรับพับได้ กับการจัดวางอันยอดเยี่ยม ก็ทำให้รถยนต์พร้อมผู้โดยสาร 3 ชีวิต นั่งไปได้ตลอดทางแบบไม่ลำบากยากเย็นอะไร
วันแรกของการเดินทางนั้นเราใช้เวลาหลังกินข้าวกลางวัน วิ่งยาวจากเมืองอูลานบาร์ตาร์ไปสู่เมืองซุกบาร์ตาร์เป็นระยะทางกว่า 330 กิโลเมตร วิ่งกันไปยาว ๆ แบบไม่มีจุดแวะพักอะไร เพราะเป้าหมายคือการเดินทางไปสู่เมืองที่ใกล้ชายแดนที่สุด เพื่อที่จะข้ามแดนไปรัสเซียในวันรุ่งขึ้น
เราขับรถผ่านถนนเปียกๆ ลื่น ๆ เพราะหิมะบนเส้นทางหลวงที่วิ่งตรงแน่วจากเมืองหลวงของประเทศไปเมืองใหญ่ชายแดน รถยนต์ที่นำไปจากประเทศไทยแม้จะเป็นพวงมาลัยขวา แต่เมื่อต้องมาวิ่งบนถนนด้านขวาก็ทำให้ต้องปรับตัวกันอยู่มากพอสมควรในการวิ่ง ด้วยความไม่ชินถนนสักเท่าไร
วิ่งทำเวลากันอย่างเต็มที่ กว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางก็ปาเข้าไปมืดเหมือนกัน แค่กินข้าวเสร็จก็หมดแรง อาบน้ำ พักผ่อนกันแล้ว ใครใคร่สังสรรค์ก็สังสรรค์กันไป คนมองโกเลียนั้นจะมองว่าเป็นมิตรก็เป็นมิตร แต่ก็ดุเอาเรื่องเหมือนกัน เรียกว่าต้องดูทิศทางลมกันสักเล็กน้อยก่อนเจรจาความ
คืนแรกที่มองโกเลียนั้น ผมนอนไม่ค่อยหลับ แถมตื่นมาแต่เช้า ก็เลยมีเวลาออกไปเดินเล่นกันสักเล็กน้อย รอบ ๆ เมืองยังเงียบสงัดในช่วงเวลา 7 โมงกว่า ๆ อุณหภูมิตอนกลางคืนที่ลงไปติดลบ 3 องศา เริ่มกลับมาสู่ตัวเลขแนวบวกเล็กน้อย ประกอบกับแดดเช้าที่สาดมาเต็มที่ ก็ทำให้อุ่นได้บ้าง
กดปุ่มสตาร์ทรภทีเดียวติดแบบไม่มีปัญหา แม้จะต้องเสีบเวลาไล่ฝ้ากันยกใหญ่กว่ากระจกจะเคลียร์พอที่จะให้เราขับรถไปได้อย่างไร้ปัญหา ขับรถมานิดเดียวจริง ๆ เราก็จะผ่านด่านมองโกเลียเพื่อเข้าสู่ประเทศรัสเซียกันแล้ว ซึ่งบอกเลยว่าทำใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคงไม่ง่ายอย่างแน่นอน
จริง ๆ แล้วก็เหมือนทีมงานจะรู้อยู่แล้วว่าการผ่านด่านจะเสียเวลามากสักเล็กน้อย เพราะระยะวิ่งในวันนี้จากซุกบาร์ตาร์ ประเทศมองโกเลีย ข้ามไปยังเมืองอูลัน อุเด ประเทศรัสเซียนั้น มีระยะทางประมาณกว่า 300 กิโลเมตรเท่านั้น ดูจากระยะทางดูเหมือนไม่น่าจะดึกเราก็น่าจะไปถึงที่พักอย่างแน่นอน
แต่เอาจริง ๆ แล้ว กว่าจะผ่านด่านมองโกเลียและรัสเซียมาได้นั้น ก็เป็นเวลากว่า 4 โมงเย็นของวันนั้นเข้าไปแล้ว เมื่อรถทุกคันผ่านด่านมาได้และหยุดพักกันอย่างเป็นทางการ ก็ได้เวลาของการควบพาหนะของใครของมันเพื่อไปให้ถึงที่หมายให้ไวที่สุด แต่ก็ไม่รอดครับ มืดสนิทระดับเปิดไฟหน้าขับเท่านั้น
มาถึงที่หมายแบบมืดสนิท กินอาหารกันให้เต็มคราบ จากนั้นก็เดินย่อยจากที่พักไปประมาณ 300 เมตร เราจะพบกับรูปปั้นศีรษะของเลนิน อดีตผู้นำของรัสเซียโดดเด่นอยู่ในกลางจตุรัสกลางเมืองอูลัน อูเด เป็นสัญลักษณ์ที่ใครที่มาก็ต้องเดินทางแวะมาเยี่ยมเยี่ยม ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันสักแชะสองแชะ
เดินกลับจากจตุรัส แวะไปเยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ตของรัสเซียกันสักเล็กน้อย แม้ว่าอากาศจะหนาวแต่ผมพบขุมทรัพย์อย่างไอติมรสชาติแปลก ๆ ที่ประเทศไทยไม่มีขาย เรียกว่าลองกันไปวันละรสไปจนหมดทริปก็ยังไม่ได้ลองทั้งหมด ใครมาแถว ๆ นี้อย่าลืมกินไอติมนะครับ ไม่แพงอีกต่างหาก
เดินฝ่าอากาศหนาวกลับที่พักแบบมือไม้สั่น เข้าห้องพักคืนนี้ที่เป็นโรงแรมที่ดูดีขึ้นมาหน่อย พรุ่งนี้มีโปรแกรมอีกมากมาย รวมถึงการแวะชมทะเลสาปไบคาล ส่วนวันนี้ขอนอนสลบหลับใหลใต้ผ้าห่มอุ่นก่อนละ เดี๋ยวยังต้องขับรถกันอีกยาว อากาศหนาว ๆ นอนสบายแน่นอน!!!
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
ความคิดเห็น