หลังเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟในประเทศไทยมาแล้วถึง 2 รุ่น มาสด้า ก็เริ่มเห็นทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งผู้บริโภคเริ่มหันมายอมรับสินค้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปรากฎการณ์แปลกใหม่สำหรับปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัว ก็คือการที่รถยนต์บางรุ่นทีเ่ปิดตัวใหม่ยังต้องประสบกับปัญหาการส่งมอบรถยนต์ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาสด้า ทั้งโมเดลที่เปิดตัวก่อนอย่างสกายแอคทีฟ เอสยูวี มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และรถยนต์นั่งน้องใหม่อย่างมาสด้า 3
แม่ทัพหญิงฝ่ายการตลาดของค่ายปีกบิน สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด ใช้เวลาว่างหลังการทดสอบมาสด้า 3 ใหม่เพื่อเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของบริษัท
"ปีนี้ต้องบอกว่าสกายแอคทีฟคือรถยนต์หลักของเรา ยอดขายที่เติบโตขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากรถทั้ง 2 รุ่น ซึ่งตอนนี้ต่างก็มีแบ็คออเดอร์อยู่จำนวนหนึ่ง สิ่งที่เราทำก็คือการคุยกับดีลเลอร์ให้ชะลอการรับจองรถเหล่านี้ เพราะเข้าใจว่าหากปล่อยให้ลูกค้ารอนานก็ย่อมไม่เป็นผลดี แต่ก็ต้องพยายามรักษาลูกค้าเอาไว้ให้ได้ และก็เร่งมือในการจัดหาสินค้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วที่สุด"
เธอกล่าวว่าสิ่งที่น่ายินดีอีกเรื่องก็คือกระแสตอบรับของมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ซึ่งเป็นรถยนต์โมเดลใหม่เลยสำหรับประเทศไทย ทำให้ไม่มีฐานลูกค้าเดิมมาก่อน เพราะฉะนั้น ลูกค้าที่นตัดสินใจซื้อรถดังกล่าวถือเป็นลูกค้าใหม่ทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งดูจากกระแสตอบรับแล้วถือว่ามีความพึงพอใจมาก
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 มียอดจองย้อนหลังอยู่ถึง 1,000 คัน จากความสามารถในการผลิตประมาณ 600 คัน ขณะที่มาสด้า 3 ใหม่ หลังเปิดตัวก็กวาดยอดจองถล่มทลายจนมีแบ็คออเดอร์ค้างอยู่ราว 2,600 คัน ทั้งที่โรงงานสามารถผลิตได้ราวเดือนละ 1,000 คันเท่านั้น
"ผลกระทบหลัก ๆ มาจากความสามารถในการผลิตเครื่องยนต์สกายแอคทีฟที่มีความต้องการสูงมากจากโรงงานทั่วโลก และแน่นอนว่าลูกค้าที่ตัดสินใจจองรถสกายแอคทีฟทั้ง 2 รุ่น ก็จะต้องรอประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งลูกค้าก็ไม่ได้ถอดใจ ทำให้เรามั่นใจว่าสินค้าของเราสามารถแข่งขันได้"
สุรีทิพย์กล่าวว่าในรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นจะไม่มีการทำแคมเปญเพื่อผลักดันยอดจำหน่ายอย่างแน่นอน แต่ที่จะเห็นก็คือรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการเตรียมการเปิดตัวรุ่นใหม่อย่างมาสด้า 2 ก็อาจจะมีแคมเปญออกมาบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เธอประเมินว่าในภาพรวมนั้น อุตสาหกรรมยานยนต์บางเซกเมนต์ยังเติบโตได้ เช่น กลุ่มเอสยูวี-บี หรือแม้แต่ซี-เซกเมนต์ก็ยังเห็นการเติบโตสูงอยู่ ขณะที่กลุ่มรถเล็กได้ถูกดูดกำลังซื้อไปก่อนหน้านี้แล้วดัวยโครงการรถยนต์คันแรก
"กลุ่มที่เติบโตคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจน้อยกว่า ซึ่งในภาพรวมนั้น มองว่าผู้บริโภคยังคงมีเงินอยู่ เพียงแต่อาจจะยังไม่มีความมั่นใจที่จะใช้เงินกับการซื้อรถยนต์ ขณะที่กลุ่มคนที่ระดับรายได้ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนนั้น เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากจากข้าวยากหมากแพง ซึ่งอาจจะไม่มีรายได้ที่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น"
ทั้งนี้ สุรีทิพย์ประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีจะต้องคอยจับตาดูปัจจัยในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน อัตราการว่างงาน รวมไปถึงเรื่องของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มว่าจะมีการเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด และแน่นอนว่าปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างแน่นอนในอนาคต
ใครที่ผ่านสมรภูมิปีนี้ไปได้อย่างเจ็บตัวน้อยที่สุดคือของจริง!!!
พบมาสด้ามือสองได้ที่ไทยคาร์ดอทคอม
ความคิดเห็น