ก่อนที่จะนำเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)ได้ส่งเทียบเชิญสื่อมวลชนไทยไปร่วมการทดสอบเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส คูเป้ กันไกลถึงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เพื่อให้ได้รับรู้ถึงสมรรถนะก่อนเปิดตัวในงานมอเตอร์โขว์ปีนี้
หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานที่ดีทรอยท์ มเอตอร์โชว์ ในฐานะตัวถังแบบที่ 4 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสรุ่นปัจจุบ้น และจากนั้นก็เปิดตัวรุ่นเปิดประทุนตามมาในงานแสดงรถยนต์ที่เจนีวา ซึ่งทำให้อี-คลาสมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นถึง 5 แบบตัวถัง
สำหรับในประเทศไทยเอง ในรอบปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวไปแล้ว 2 ตัวถัง ประกอบไปด้วย ตัวถังซีดานและตัวถังแบบเอสเตท ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ และเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่สร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำที่สุดรุ่นหนึ่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปัจจุบัน
ค่ายรถตราดาวก็เตรียมพร้อมที่จะนำเข้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส คูเป้ รุ่นใหม่เอี่ยม เข้ามาเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ทันทีในปีนี้ โดยหากไม่มีอะไรผิดพลาด จะมาพร้อมกับรหัสอี300 ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์แตกต่างจากรุ่นที่ทำตลาดอยู่ทั้ง 2 ตัวถังในปัจจุบัน
สำหรับรายละเอียดของรถทั้งหมดนั้น สามารถย้อนกลับไปอ่านคอลัมน์คาร์ อิน โฟกัส ที่เรานำเสนอเกี่ยวกับรถคันนี้ไว้อย่างละเอียดไว้แล้วก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะกลับมาอ่านบทสัมผัสแรกกันต่อ ซึ่งต้องบอกว่ารถคันนี้ให้ความโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและความหรูหราแบบเอาเรื่อง
อี-คลาส คูเป้ เจนเนอเรชั่นที่ 5 มีขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าพอสมควร โดยมีตัวถังยาว 4,826 มม. กว้าง 1,860 มม. ซึ่งยาวขึ้น 127 มม. และกว้างขึ้น 74 มม. ความสูงอยู่ที่ 1,430 มม.หรือสูงกว่าเดิม 38 มม. และมีระยะฐานล้อหน้า-หลังก็กว้างขึ้น 67 มม. และ 68 มม. ตามลำดับ
ในรุ่นอี300 ที่เราได้ทำการทดลองขับเป็นระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตรนั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1,991 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร วิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.4 วินาทีเท่านั้น
ถามว่าทำไมถึงต้องเป็นเครื่องยนต์รุ่นนี้เข้ามาทำตลาด อันนี้เดาส่วนตัวว่าหากเป็นการนำเข้ามาทั้งคัน และยังขายเครื่องยนต์เดียวกับรุ่นที่ประกอบในประเทศ ช่องว่างของราคาจำหน่ายน่าจะสูงเกินไปสักนิดหากลูกค้าเปรียบเทียบ ไหน ๆ จะนำเข้ามาแล้วก็เอาให้สุดทางไปเลยดีกว่า
แม้จะใช้เครื่องยนต์รุ่นเดียวกันกับเวอร์ขั่นที่อยู่ในซีดาน แต่เมื่อมาอยู่ในเวอร์ขั่นคุเป้แล้ว ก็ได้รับการปรับจูนแรงม้าเพิ่มขึ้นมาอีก 4 ตัว ซึ่งถามว่ารู้สึกถึงความแตกต่างไหมก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่เคยลองขับเครื่องยนต์นี้ในเวอร์ชั่นซีดานมาก่อนเหมือนกัน
เอาจริง ๆ ยังคุยกันระหว่างทริปทดสอบว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส น่าจะชอบบรรยากาศริมทะเล เพราะทดสอบตัวซีดานก็ไปกันถึงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส พอมาเป็นเวอร์ขั่นคูเป้ก็ยังวนเวียนกันอยู่ย่าน ๆ ริมฝั่งทะเลตะวันตกของยุโรปอย่างบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน
มาว่ากันที่ตัวรถกันบ้าง อี-คลาส คูเป้ใหม่ ถูกออกแบบมาด้วยจิตวิญญานของรถยนต์แบบแกรน ทูริสโม ที่กว้าวขวาง โอ่อ่า หน้ายืนหลังสั้น โดยมีพันธกิจที่สำคัญในการบรรทุกผู้โดยสาร 4 คนในการเดินทางระยะไกลได้อย่างสะดวกสบายเหนือกว่ารถคูเป้ทั่วไป
ความแตกต่างจากเวอร์ขั่นซีดานและเอสเตทนอกจากการเป็นตัวถังคูเป้แล้ว ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีการปรับไปพอสมควร อาทิ ระบบไฟส่องสว่างด้านหน้าและหลังที่มีการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำให้ได้โคมไฟที่สวยงามที่มาพร้อมฟังขั่นส์การทักทายจากระบบส่องสว่างที่เหนือกว่า
ที่ฝากระโปรงหน้ามีการออกแบบรุปทรงของมัดกล้ามบนฝากระโปรง ที่ช่วยลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลงไปเหลือ 0.25 ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในคลาสเดียวกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจในการกะระยะการขับขี่พอสมควรเหมือนกัน
ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบฉีดน้ำฝนอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยซันรูฟขนาดใหญ่ ที่สามารถเปิดออกได้อย่างกว้างขวาง หรือจะแค่เปิดม่านเเพื่อมองท้องฟ้าในยามขับขี่ก็เป็นเรื่องที่เร้าใจแล้ว เป็นซันรุฟที่น่าประทับใจที่สุดคันหนึ่งเลยทีเดียว
ห้องโดยสารภายในนั้นได้รับการออกแบบใหม่ให้นั่งสบายในทุกตำแหน่ง แม้แต่ในส่วนของห้องโดยสารตอนหลังที่เพิ่มมิติต่าง ๆ มาเรียบร้อย สามารถเข้าไปนั่งได้แบบเข่าไม่ชน หัวมีพื้นที่เหลือ แต่อาจจะต้องหาท่าทางในการเดินเข้า-ออกกันให้ดี
จริง ๆ ห้องโดยสารหลังมีเรื่องตลกเล่าสู่กันฟัง เพราะผู้บริหารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ที่ขอติดรถกลับโรงแรมด้วย ลังเลพอสมควรเมื่อผมบอกว่าจะนั่งข้างหลังแล้วให้เข้านั่งด้านหน้าไปเลย แต่ผมไม่หือไม่อือ เปิดเบาะแล้วกระโดดเข้ามานั่งด้านหลังทันที
ตลอดทางกลับโรงแรมประมาณ 30 กิโลเมตร ผมต้องตอบคำถามเรื่องเบาะหลังหลายรอบ ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของผู้ดูแลนะครับ ยืนยันเลยว่าเบาะตอนหบลังนั้นนั่งสบาย และไม่ได้ก่ออาการมึนงงสงสัยอะไรมากไปกว่าการนั่งในเบาะหน้าเลย
คอนโซลหน้าที่ได้รับการตกแต่งด้านกราฟฟิกจากรุ่นอื่น ๆ มาอีกเล็กน้อย ดูสปอร์ตมากขึ้น แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยฟังชั่นส์มากมายหลายหลาก การควบคุมหน้าจอผ่านแป้นระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยถือเป็นเรื่องที่ใช้งานได้ง่ายและดีเหมือนเดิม แถมกราฟฟิกก็สวยงามสะอาดตา
จุดที่ทุกคนมาเห็นแล้วต้องชอบเหมือนกันหมดก็คือช่องแอร์ภายในรถทุกตำแหน่งที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากล้ออัลลอยของรถ ทำให้ได้ช่องแอร์ที่ดูสปอร์ตสวยงามลงตัว เมื่อประกอบกับองค์ประกอบอื่น ๆ ของห้องโดยสารแล้วก็รู้สึกถึงความตั้งใจในการออกแบบรถรุ่นนี้
เมื่อมาถึงรถอย่างเป็นทางการ ผมที่มีความชำนาญรถพวงมาลัยซ้ายน้อยกว่าเพื่อนร่วมทาง เลยขอกระโดดมานั่งที่เบาะผู้โดยสารก่อน ปล่อยไก่กันตั้งแต่เริ่ม เพราะผมเดินอ้อมไปทางซ้ายของตัวรถ จนโดนแซวว่า ถ้าเดินเข้าไปผิดทางจะไม่เปลี่ยนที่คืนให้นะ
พอวิ่งกลับมาที่ฝั่งขวาเรียบร้อยและเปิดประตูเข้าไปวางสัมภาระ ระบบผลักเบาะที่นั่งแบบโยกทีเดียวก็ทำงานสะดวกดี แถมเวลาผลักกลับไปก็ยังเป็นระบบผลักทีเดียว ปล่อยให้ระบบไฟฟ้าเคลื่อนเบาะที่นั่งไปในตำแหน่งที่ระบุเอาไว้อย่างง่ายดาย
ทีมงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์คงอยากให้เราสัมผัสกับความสบายอย่างเต็มที่ เลยปรับเบาะโดยสารเอาไว้ต่ำสุดและอยู่ห่างจากคอนโซลหน้าค่อนข้างมาก ผลคือพอหย่อนตัวนั่งลงไปแล้วรู้สึกเคว้งคว้างเอาเรื่อง ต้องปรับเบาะขึ้นมาพอสมควรเพื่อให้ได้ตำแหน่งการนั่งปกติ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าห้องโดยสารตอนหน้านั้นกว้างขวาง เบาะท่ีนั่งรับกับน้ำหนักตัวอย่างสบาย ๆ นั่งปุ๊ป เข็มขัดนิรภัยก็จะยื่นออกมาให้หยิบคาดกันง่าย ๆ ไม่ต้องเอื้อมมือคว้ากันให้ยาก แถมการปรับตำแหน่งเบาะก็ทำได้อย่างละเอียดในทุกมุม
นั่งเป็นผู้โดยสารมาร่วม 100 กิโลเมตร ก็พบว่าเป็นรถที่เบาะนั่งดี ดนตรีไพเราะ นั่งเพลิน ๆ แทบจะหลับเอา พอขับรถมาได้ถึงจุดหนึ่งก็จอดรถพัก พร้อมเปลี่ยนมือไปขับบ้าง ซึ่งบอกว่าเป็นประสบการณ์การขับขี่ที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้
ประการแรกก็คือ อย่างที่บอกว่ามีการออกแบบกระโปรงหน้าของคูเป้ใหม่ ทำให้กระโปรงหน้ามีเส้นสายที่ขึ้นมาเป็นโครง ดูกะระยะยากชึ้นอีกสักเล็กน้อย แถมการออกแบบที่ดูหน้ายาวยื่นเล็กน้อย ก็ทำให้ต้องปรับตัวและปรับสายตากันมากพอสมควรกว่าจะลงตัว
อย่างที่สองก็คือเส้นทางทดสอบที่เตรียมไว้นั้น หากไม่เป็นถนนหลวง ก็จะเป็นถนนเล็ก ๆ ที่ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านหรือบนเขาที่ไม่มีเส้นแบ่งเลนชัดเจน ถือว่ายากพอสมควรสำหรับคนที่ยังปรับตัวให้เข้ากับรถยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พอจูนกันติดแล้วก็ไม่ใช่ปัญหา
เวลาขับรถในประเทศที่ใช้พวงมาลัยซ้ายนั้น พวกเราส่วนใหญ่จะมีปัญหาการขับรถกินขวากันอยู่แล้ว ก็แค่ต้องมีสติ ท่องจำ มองกระจกซ้ายขวาหน้าหลังมากหน่อย โชคดีที่รถเป็นเกียร์อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องไปกังวลเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ไปทิศทางตรงกันข้ามอีกอย่าง
เนื่องจากเวลาในการทดสอบมีจำกัด ก็เลยเอาเท่าที่ได้นะครับ ไหนจะมีกังวลเรื่องการจำกัดความเร็วอีก ไว้รถมาเมืองไทย ถ้ามีโอกาสหากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ตัดออกมาเป็นรถทดสอบคงได้ทำการทดสอบกันเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 245 แรงม้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้การตอบสนองอย่างปรู๊ดปร๊าดทันใจ ในย่านความเร็วตั้งแต่ต่ำไปถึงกลาง ที่ระดับความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กฎหมายยุโรปกำหนดนั้น ไม่มีอะไรให้ต้องเค้นเครื่องยนต์เลยแม้แต่น้อย
แต่หากต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งลงไปเบาเบา ก็จะพบว่ามาตรวัดความเร็วกวาดตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หรือหากเหม่อ ๆ ไม่ได้มองมาตรวัดความเร็ว เพียงครู่เดียว ตัวรถก็จะวิ่งผ่านความเร็วระดับ 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปอย่างง่ายดายแทบไม่รู้สึก
ช่วงล่างนั้นเน้นมาให้สบายเป็นหลักในโหมดมาตรฐาน เอาจริง ๆ คือลืมลองโหมดสปอร์ตมาให้ว่าแตกต่างกันขนาดไหน แต่การขับขี่บนทางหลวงผ่านมาได้อย่างสบาย ๆ การเข้าโค้งต่อเนื่องบนเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องติติง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมัวเอาสมาธิไปอยู่กับการขับไม่ให้ชิดขอบขวาเกินไปมากกว่า
อย่างที่บอกไปแล้วว่ามีโอกาสได้นั่งด้านหลังเป็นระยะทางสั้น ๆ เอาจริง ๆ ตอนแรกก็กลัวเมารถเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าผ่านมาได้แบบไม่มีปัญหาอะไร และคิดว่าแม้แต่ผู้ใหญ่มาก ๆ หากสามารถเข้าไปนั่งได้ ก็จะไม่บ่นว่าเวียนหัวหรือเมารถอย่างแน่นอน
ตัวรถยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีรุ่นใหม่สุดแบบครบครัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับเปลี่ยนตามป้ายจำกัดความเร็วได้ ระบบช่วยเบรกเพื่อป้องกันการชนจากด้านหน้า หรือแม้แต่ระบบรักษาระยะห่างจากคันหน้าแบบออโต้ไพลอทและระบบจอดรถด้วยรีโมท
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพอเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วคุณจะได้ระบบทั้งหมดนี้แต่อย่างใด เพราะตอนซีดานก็มีการยกออกไปหลายระบบ แต่ในคูเป้น่าจะมีลุ้นมากกว่า เพราะเป็นการนำเข้ามาทั้งคัน แต่บางระบบนี่คิดหนักเหมือนกันถ้าจะนำมาใช้กับถนนประเทศไทย
อีกเรื่องที่อย่าแปลกใจไป ไอ้รถสีทอง ๆ ที่เห็นในบทความนี้ทั้งหมดนั้น เมอเซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เรียกตามแบบที่เห็น แต่เรียกว่าเป็นสีเงิน อาราโกไนท์ ด้วยเหตุที่ลูกค้ายุโรปไม่ชอบรถสีทอง เดี๋ยวมาดูกันว่าเข้าเมืองไทยแล้วจะเรียกกันว่าสีอะไรอีกที
เอาเป็นว่าจะมีอะไรมาบ้างและจะเคาะราคาขายที่เท่าใด สิ้นเดือนนี้ไปติดตามกันได้ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ แน่นอน!!!
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ ที่นี่
ต้องการซื้อรถยนต์ใหม่และรถมือสอง ตรวจสอบราคา เชิญที่นี่
LINE
ความคิดเห็น