ลองขับทดสอบ Toyota C-HR ซันคอมแพคครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ รีวิว โตโยต้า ซี-เอชอาร์ เน้นขับสนุก ออพชั่นแน่น สมรรถนะดี พร้อมสเปคและราคา
รีวิว Toyota C-HR โตโยต้า ซี-เอชอาร์
กลับมาผมกันอีกครั้งนะครับสำหรับทริปการทดสอบรถยนต์ วันนี้เราอยู่กับรถครอสโอเวอร์ที่เรียกได้ว่ามีกระแสตอบรับยอดเยี่ยม หลังจากเปิดตัว กับ Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์) สปอร์ตครอสโอเวอร์อีกรุ่นที่โดดเด่นทั้งการดีไซน์ ความสวยงามทั้งภายในและภายนอก ซึ่งแตกต่างและฉีกแนวไปจากการออกแบบรถยนต์ Toyota ในยุคที่ผ่านๆ มา
เส้นทางการทดสอบครั้งนี้จัดเต็มแน่นอนเพราะเส้นทางทดสอบมีระยะเวลาให้ได้ขับแบบเหลือๆ บนเส้นทาง กรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ อีกทั้งในวันที่ 2 ยังได้ขับทดสอบสมรรถนะแบบเต็มๆ ภายในสนาม ช้าง อินเตร์เนชั่นแนล เซอร์กิต อีกด้วย ซึ่งภายในสนามจะได้ลองทั้ง อัตราเร่ง การทรงตัว และฟิลการขับขี่แบบเรซซิ่ง
ซึ่ง ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ ดีไซน์สุดแนวคันนี้ สามารถทำได้ดีในหลายๆ ด้านทีเดียว ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถูกใจผู้ที่ชอบขับขี่รถยนต์อย่างแน่นอนสำหรับรุ่นนี้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อเสีย รายละเอียดหลักๆ ซึ่งวันนี้ผมได้รวบรวมทุกๆ อย่างไว้ให้เพื่อนๆ ทุกท่านรับทราบกันแล้ว ไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ
รูปลักษณ์ภายนอก โตโยต้า ซี-เอชอาร์
Toyota C-HR เน้นรูปลักษณ์สุดสปอร์ต เส้นสายเหลี่ยมสันต่างๆ ชัดเจน จัดเต็ม ด้วยการออกแบบของ Toyota C-HR ถูกพัฒนาและออกแบบบนพื้นฐานแพลตฟอร์มใหม่ Toyota Global New Architecture (TNGA) หลักๆ ของแพลตฟอร์มใหม่จะมีจุดเด่นทั้ง ตัวถังที่แข็งแกร่งมากขึ้น
จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง ลดการโคลงของตัวถัง ทำให้การเข้าโค้ง การขับขี่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น , ความคล่องตัวในการขับขี่ , ทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้ขับขี่ที่ดี , และช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ ทำให้มีความนุ่มนวลในการขับขี่
การดีไซน์ด้านหน้าสังเกตความสปอร์ตได้ทั้งชุดโคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ลากยาวเพิ่มเติมความสวยงามบนท้องถนน ชุดกันชนหน้าด้านล่างแบบรังผึ้งสีดำ พร้อมไฟตัดหมอก และจุดเรดาห์ ที่ช่วยตรวจจับระยะห่างจากคันด้านหน้า
รูปลักษณ์ตัวถังโดยรวมจะมีความลู่ลมและให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา การตกแต่งหลังคาด้วยสีดำ ตัดกับสีสันของตัวถังทำให้โดยรวมดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ถัดมาบริเวณแก้มข้ามจะพบสัญลักษณ์เพลท Hybrid บ่งบอกความเป็นขุมพลังผสม
ทางด้านล้ออาจขัดหูขัดตากันไปสักเล็กน้อย กับลวดลายที่ดูเรียบๆ ไปนิด กับล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมยางเปค 215/60r17 เอาตรงๆ ก็ตามที่หลายๆ ท่านคาดฟวังกันว่าจะเห็นล้อที่มีลวดลายสวยงาม หรือสีสันแบบทูโทน สักนิด แต่ C-HR ก็ให้มาเพียงเท่านั้น แม้จะเป็นรุ่นท็อปก็ตาม
หากมองทางด้านข้างของตัวถังรถยนต์จะพบกับเส้นสาย เหลี่ยมสัน มัดกล้ามที่ชัดเจนของการออกแบบ ซึ่งก็สวยงามกันไปอีกแบบ และแหวกแนวแตกต่างไปจากรถยนต์จาก Toyota ในทุกๆ รุ่นที่ผ่านมา บริเวณด้านล่างของประตูจะพบชิ้นพลาสิกสีดำด้านขนาดใหญ่ ผสมผสานกับหลังคาแบบสีดำเงา ตัดกันกับสีตัวถังอย่างลงตัวสวยงาม
ด้านท้ายสุดล้ำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายการออกแบบอะไรต่างๆ มากมาย ชุดโคมไฟท้ายก็ล้ำ จนบางคนถึงกับเอ่ยปากว่า เยอะไปรึเปล่า แต่สำหรับผมก็ค่อนข้างสวยงาม สปอร์ตดี ชุดไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรงแบบ LED พร้อมไฟหรี่แบบ LED เช่นเดียวกัน พร้อมชุดสปอยเลอร์ด้านบนพร้อมไฟเบรคดวงที่ 3
ไฟทับทิมด้านหลังทั้งด้านข้าง และด้านล่าง ชัดเจนเวลากลางคืน ซึ่งเรียนตามตรงหากมองในหลายๆ มุม เจ้า C-HR คันนี้ก็ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันหลายแบบทีเดียว ด้วยเส้นสาย ด้วยเหลี่ยมกันการออกแบบ จนผมมานั่งมองดีๆ อีกที ก็คิดว่าเยอะตามที่เพื่อนๆ บอกเช่นเดียวกัน แต่เยอะในแบบที่สวย และถูกใจสำหรับชาวสปอร์ต
แถม Toyota C-HR สีสัน อื่นๆ มาให้ชมกัน
สีสันแต่ละคันจี๊ดจ๊าด เหมาะแก่วัยรุ่นอย่างแรงทีเดียว
ชมคลิปรีวิวรถยนต์ โตโยต้า ซี-เอชอาร์ Toyota C-HR รอบคัน ทั้งภายใน-และภายนอก ได้ที่นี่
ภายใน โตโยต้า ซี-เอชอาร์ Toyota C HR
ภายในล้ำไม่แพ้ภายนอก ดีไซน์ใหม่ยกชุด เบาะคู่หน้านั่งสบาย แต่เบาะคู่หลังอึดอัดไปนิด
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้เรา ว๊าว กันไปแล้ว หลังจากที่เปิดประตูออกมา เห็นชุดแผงคอนโซล เห็นชุดพวงมาลัย รวมไปถึงเบาะนั่งคู่หน้า ก็ทำให้ร้อง ว๊าว เบาๆ เหมือนกัน เนื่องจากการออกแบบใหม่ทั้งหมดที่ล้ำ และสวยงามไม่แพ้ภายนอก แถมของเล่นก็เยอะไม่เบาทีเดียว
แผงคอนโซลภายในที่ออกแบบให้มีองศาเอียงเข้าหาผู้ขับขี่เล็กน้อย เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายและลดการละสายตาออกจากท้องถนน จอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้วบริเวณกลางคอนโซล สามารถใช้งานได้ค่อนข้างง่าย ความลื่นไหลก็โอเคในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถึงกับลื่นไหลจะติดนิ้วมากมายนัก
ด้านบนคอนโซลถูกตกแต่งด้วยหนังสังเคราะสีน้ำตาลเข้มพร้อมเดินตะเข็บด้วยด้ายจริงๆ เพิ่มเลเยอร์ความสปอร์ตด้วยชิ้นพลาสติกสีโครเมี่ยม สวยงามกันไปอีกแบบ แอร์ลักษณะ 4 เหลี่ยมทั้ง 4 ช่อง ถัดลงมาจากช่องแอร์กลางจะพบชุดควบคุมระบบปรับอากาศซึ่งเป็นแบบ ดิจิตอล ที่มาพร้อมระบบ nanoe ระบบฟอกอากาศให้ภายใยห้องโดยสารมีความสดชื่นและสะอาด เอกสิทธ์เฉพาะ Toyota
ด้วยดีไซน์แผงคอนโซลส่วนบนยื่นออกมาเล็กน้อย ทำให้ด้านใต้ชุดปรับอากาศจะมีช่องเก็บของเล็กๆ ที่สามารถใส่กล่อง CD หรือจะวางอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ ถัดลงมาจะพบช่องวางแก้วน้ำ ที่ค่อนข้างลึกพอประมาณทีเดียว แต่มีเพียงแค่ 1 ช่องเท่านั้น
ถัดลงมาจะพบชุดเกียร์ ดีไซน์ค่อนข้างสปอร์ต ด้วยความยาวของด้านเกียร์ที่กำลังพอดีมือผิวสัมผัสค่อนข้างดีใช้ได้ ด้านล่างเกียร์จะพบเบรคมือแบบไฟฟ้า และปุ่มควบคุมระบบ EV ปุ่มเปิด-ปิด แทร็คชั่น คอนโทรล และปุ่ม Hold ที่จะช่วยเบรคแม้เรายกเท้าออกจากแป้นเบรค ใช้งานได้ดีในยามรถติด
แผงมาตรวัดต่างๆ ทรงสปอร์ต ช่องด้านซ้ายแสดงถึงการใช้งาของระบบไฮบริด ช่วงชาร์จ ช่วง ECO รวมไปถึงช่วง Power ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นผลมาจาก น้ำหนักคันเร่งที่เราส่งไปใช้งาน แทรกด้วยจอกลางแบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่ MID
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์ใหม่แบบ 3 ด้านทรงสปอร์ต แหวกแนว และสวยงาม ชุดควบคุมด้านซ้ายสามารถควบคุมระบบเอนเตอร์เทรนเมนต์ต่างๆ ปุ่มรับสาย-วางสาย ในส่วนด้านขวาควบคุมจอ TFT กลางมาตรวัด พร้อมปุ่มควบคุมระบบ Lane Departure , ระบบ Dynamic Radar Cruise Control ที่ช่วยรักษาระยะห่างรถเรากับคันหน้า และก้านด้านล่างจะเป็นด้านควบคุมระบบ Cruise Control
เบาะนั่งหนังทรงสปอร์ต คู่หน้านั่งโดยสารได้ค่อนข้างสบาย แต่แอบเสียดายที่ตัวท็อปก็ยังเป็นเบาะแบบธรรมดา ไม่มีการปรับไฟฟ้าแต่อย่างใด จุดพีคอีกประการที่หลายคนอยากทราบว่าเบาะหลังเป็นอย่างไร เบาะหลังเรียนตามตรงว่าหากพูดถึงตัวเบาะจริงๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ในเรื่องวิสัยทัศน์ ต้องยอมรับว่วาค่อนข้างอึดอัด ด้วยเบาะคู่หน้าที่หนา-ใหญ่ แผงกระจกข้างของประตูหลังที่เล็ก เสาC ที่ค่อนข้างหนา กระจกหลังที่เล็ก ทำให้ดูอึดอัดไปพอสมควร ตามแบบที่ทุกๆ คนเข้าใจกัน
เครื่องยนต์ Toyota C-HR
ขุมพลังไฮบริด อัตราเร่งไว้ใจได้ ช่วงล่างเซ็ตดี พวงมาลัยแม่น ด้านความประหยัดคันนี้สุดจริง !
สำหรับ Toyota C-HR ตอนนี้เปิดทำตลาดในประเทศมี 2 รุ่นเครื่องยนต์ให้ชาวไทยได้เลือกกันกับ ขุมพลังเบนซิน 1.8 ลิตร 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 175 นิวตันเมตร และรุ่นขุมพลังไฮบริด ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร (แรงม้าจากเครื่องยนต์เพียว 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า ทำให้มีกำลังรวมที่ 122 แรงม้า
พร้อมส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ E-CVT แตกต่างจาก CVT ธรรมดาอย่างไร? แตกต่างตรงที่ E-CVT ได้เพิ่มชุดมอเตอร์ที่ช่วยในการเปลี่ยนเกียร์เข้าไป ผลออกมาจึงมีความสมูทไร้รอยต่อในการทำงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการทดสอบก็เห็นผลจริง เกียร์นิ่ง สมูท น่าพอใจในในระดับนึงทีเดียว
ด้านระบบช่วงล่าง ด้านหน้ามาพร้อมแม็คฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ในส่วนด้านหลังมาแบบ อิสระแบบปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นเดียวกัน ด้านระบบเบรก มาพร้อมดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน สำหรับคู่หน้า และดิสก์เบรก สำหรับชุดหลัง พวงมาลัยแบบพาวเวอร์ ESP เซ็ตมาค่อนข้างไว และคม
จากการทดสอบอัตราเร่งแม้จะขับขี่ในโหมตปรกติ ทำได้ค่อนข้างพอใจ อาจจะด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ไม่ต้องรอรอบ การกดคิกดาวน์ เร่งแซงในบางจังหวะ ก็ไว้ใจได้ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยมากมายนัก ทางด้านความเร็วที่ทดสอบมีบางช่วงแอบลองกดดู ความเร็วสามารถไปได้ถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งผมว่าไปต่อได้อีก แต่ก็เริ่มตึงๆ แล้ว (เริ่มตึงตั้งแต่ช่วง 150 ขึ้นไป)
ทางด้านช่วงล่างคันนี้ทำให้ลืมฟิลการขับขี่รถ Toyota คันก่อนๆ ไปอย่างสิ้นเชิง แนวทางการพัฒนาค่อนข้างชัดเจน ช่วงล่างทำได้ดี การซึบแรงกระแทกในส่วนหน้าทำได้ดีมั่นใจ การจั๊มลงเนินซับแรงได้ดี ไม่โยนตัว การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงก็เกาะถนนจนแอบคิดว่านี่ เป็นรถยกสูงจริงๆ หรือ?
น้ำหนักการเซ็ตพวงมาลัยก็เป็นอย่างที่ควรชื่นชม ความคม ความไว ทำให้ขับขี่ได้สนุก และมั่นใจ แม้จะต้องขับในเมืองที่รถติดๆ ก็สามารถทำได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบขับรถยนต์ รวมไปถึงคุณผู้หญิงก็สามารถใช้งานได้ง่ายดาย เพราะน้ำหนักเบากำลังพอดีมือ
ด้านความประหยัดคันนี้ทำได้ประทับใจจริงๆ เนื่องจากในทริปทดสอบทีมงาน โตโยต้า ได้ให้สื่อมวลชน ลองแข่งขันขับประหยัดน้ำมัน แต่ละคนก็ทดสอบกันอย่างจริงจัง แอร์เปิดที่ 25 องศา ความแรง 2 ขีด ระหว่างขับขี่ก็เน้นการทำความเร็วไม่มากมายนัก (ผมใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) วิ่งเป็นระยะทาง ราวๆ 103 กิโลเมตร
ผลออกมาประทับใจทีเดียว ด้วยตัวเลขที่ 26.4 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งหากมองถึงการใข้งานจริงๆ การขับขี่ในเมืองจริงๆ อาจไม่ถึงเท่านี้ แต่ผมก็มองว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 17 กิโลเมตรต่อลิตรแน่ๆ ก็เอาเป็นว่าด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ความประหยัดเป็นที่หน้าพอใจทีเดียว (รุ่นเบนซิน สามารถเติมได้ถึง E85 แต่ในรุ่นไฮบริด ได้สูงสุดถึง E20)
โดยรวมถือเป็น ครอสโอเวอร์ที่ขับสนุก สมรรถนะดี ดีไซนแจ๋ว ระบบเยอะ แต่หากเป็นครอบครัว ที่เบาะหลังอาจลำบากไปสักนิด และเก็บเสียงได้ไม่ดีเท่าทีควร
อย่างที่บอกๆ ไปว่า C-HR เป็นรถที่ดีไซน์ค่อนข้างล้ำ สวยงามในระดับนึงทีเดียว ภายในก็ไม่ธรรมดาดีไซน์ออกแนวยานอวกาศ ผสานกับสีฟร้อนตัวอักษรสีฟ้าเข้าไปอีก ยิ่งทำให้ดูล้ำๆ และฉีกแนวไปจากรถรุ่นอื่นๆ ของ Toyota ในยุคนี้
เบาะนั่งคู่หน้าทำได้ค่อนข้างดี ความสบาย ความกระชับต่างๆ ประทับใจ แต่ในส่วนเบาะหลังอันนี้ต้องคิดหลักๆ กันเล็กน้อย ตามรายละเอียดข้างต้นที่กล่าวไป ด้านขุมพลัง ผมจะพูดถึงไฮบริดเท่านั้น เพราะได้ทดสอบแค่รุ่นนี้ การตอบสนองเร้าใจ อัตราเร่งไว้ใจได้
เกียร์ E-CVT อันนี้ผมประทับใจจริงเพราะมีความสมูทและเซ็ตมาในจังหวะที่ดีทีเดียว ด้านช่วงล่างก็ฉีกแนวไปจาก Toyota รุ่นอื่นๆ เพราะคันนี้ออกแนวขับสนุก และหนึบ เกาะถนนแม้จะเป็นรถยกสูงและขับเร็ว พวงมาลัยน้ำหนักดี คมและค่อนข้างไว ด้านความประหยัดก็ประทับใจ
ระบบออพชั่นต่างๆ ก็ใส่มาแน่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) เรดาห์จะตรวจจับวัตถุด้านหน้า และทำการส่งสัญญาณเตือนเพื่อลดความเร็วให้ (แต่จะไม่ลดจนหยุดสนิท) , ระบบควบคุมความเร็วแบบปรับอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) ควบคุมความเร็วให้คงที่ และรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า พร้อมแปรผันความเร็วอัตโนมัติตามระยะห่าง
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams) ระบบปรับลดไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ เมื่อตรวจจับว่ามีรถวิ่งสวน , และระบบสุดท้ายระบบเตือนเมื่อขับออกนอกเลยเพราะดึงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering Assist) ทำงานร่วมกับกล้องด้านบนกระจกหน้า จับเส้นถนนรถยนต์ หากตัวรถขับออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งสัญญาณเตือนและดึงพวงมาลัยกลับมาเอง
ข้อดี ข้อเสีย Toyota C-HR
ข้อดีมีเยอะ ข้อที่ควรปรับปรุงก็มี คือ การเก็บเสียง อาจจะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น ยางรถยนต์ สภาพท้องถนน จากการทดสอบระหว่างวิ่งไปจังหวัดบุรีรัมย์ การเก็บเสียงทำได้ดีตั้งแต่ออกตัวจนความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงลม เสียงจากพื้นถนนเริ่มเข้ามาในห้องโดยสารระดับนึงทีเดียว ซึ่งในช่วงที่ถนนมีพื้นผิวไม่เรียบยิ่งทำให้มีเสียงเล็ดลอดเข้ามามากเช่นเกียวกัน
ฝาท้ายหลังที่ค่อนข้างมีน้ำหนักมาก อาจจะลำบากสำหรับคุณผู้หญิงตัวเล็กๆ และอีกประการที่ผมพบเจอมาก็คือ เบาะหลังที่ทัศนวิสัย ค่อนข้างอึดอัดจริง หลายๆ อย่างทำให้การนั่งหลัง (ผมสูง 172 เซนติเมตร) อาจไม่สบายได้หากนั่งนานๆ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะแลกมากับรูปลักษณ์ที่สปอร์ต และการขับขี่ที่สนุกสนาน
บทสรุป
Toyota C-HR เป็นซับคอมแพคครอสโอเวอร์อีกรุ่น ที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขับรถด้วยตนเอง ด้วยอัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าด พวงมาลัยน้ำหนักดี ช่วงล่างเซ็ตมาขับสนุก มั่นใจ แต่หากเป็นครอบครัวที่มีหลายท่าน อาจจะไม่สะดวกสบายมากมายนัก และอีกประการคือ ความประหยัดที่ประทับใจทีเดียว ซึ่งเราจะยืมรถยนต์มาทดสอบความประหยัดจริงๆ จังๆ กันอีกครั้ง แล้วจะมาสรุปให้ทราบกันนะครับ
Toyota C-HR มีทั้งหมด 4 รุ่น 6 สี สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด
(Premium Red/Black Roof, Blue Metallic/Black Roof, Radiant Green Metallic/Black Roof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)
และ 3 สี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
(White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)
ราคา Toyota C-HR
Toyota C-HR แบ่งราคาดังนี้
- Toyota C-HR 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท
- Toyota C-HR 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท
- Toyota C-HR HV Mid ราคา 1,069,000 บาท
- Toyota C-HR HV Hi ราคา 1,159,000 บาท
ขอขอบคุณบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด สำหรับทริปการทดสอบ โตโยต้า ซี-เอชอาร์ ในครั้งนี้ ด้วยครับ
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น