[Test Drive]Honda HR-V 2018 นิยามการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

[Test Drive]Honda HR-V 2018 นิยามการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า

วรัญญู ยอดพรหม
โพสต์เมื่อ 01 August 2561

หลังจากที่ Honda เปิดตัว HR-V Minorchange ที่ทำตลาดมาในประเทศไทยกว่า 4 ปี ซึ่งถือว่าเป็นรถในกลุ่ม Crossover ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากได้กระแสการตอบรับที่ดีมาโดยตลอดตั้งแต่เปิดตัวจนได้เวลาการเปลี่ยนแปลงเสริมด้วยรุ่น RS และสีใหม่แดงแพสชั่น (มุก) ยกระดับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย

และเมื่อไม่นาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชนทดสอบขับ Honda HR-V รุ่นปรับโฉมแบบเช้าไปเย็นกลับ กับเส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-นครนายก รวมระยะทาง เกือบ 300 กม. โดยจุดเริ่มต้นโดยออกสตาร์ทจากสำนักงานฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ถนนศรีอยุธยา ซึ่งช่วงเช้าเพื่อรับฟังการบรรยายเส้นทางในการเดินทางพร้อม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมของตัวรถ

เริ่มการทดสอบออกจาก กรุงเทพฯ กลางเมืองช่วงเวลาเร่งด่วน  HR-V ขับขี่ในเมืองได้อย่างค่องตัวด้วยรูปแบบรถ ครอสโอเวอร์ที่ให้มุมมองที่ดีตัวรถทีมีขนาดพอดีกับการใช้งานในเมือง บวกกับระบบที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยกับระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองเป็นอย่างมาก ปลอดภัยมากขึ้น ช่วยให้เห็นจุดอับสายตาหรือช่วยให้เห็นมอเตอร์ไซค์ในการเปลี่ยนเลน เส้นทางออกเมืองทางทีมงานใช้เส้นทางทางด่วนวงแหวนตะวันออกในการขับขี่ด้วยความเร็ว HR-V ใหม่นี้มีการเก็บเสียงที่ดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มวัสดุในการซับเสียงใหม่หลายๆ จุด จึงทำให้สามารถลดเสียงที่รอดผ่านใต้ท้องรถและแรงสั่นสะเทือนจากปั๊มลดน้อยลง ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารได้รับความสบายมากกว่าเดิมในการเดินทาง จุดแรกที่แวะคือร้านกาแฟ ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดตัวรถภายนอก กับการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมโดยรวมดูสวยขึ้น มีความสปอร์ทเพิ่มขึ้น

ลายละเอียดภายนอก มีการปรับรายละเอียดให้โฉบเฉี่ยวขึ้น กันชนหน้า-หลัง และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่คาดด้วยแถบโครเมี่ยมรมดำ ส่วนตัวกระจังเป็นลายรังผึ้ง (เฉพาะรุ่น RS) สำหรับรุ่น E และ EL กระจังเป็นซี่แนวนอน มาพร้อมไฟหน้าแบบ Full LED (รุ่น E ไฟหน้าโปรเจคเตอร์) และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ทุกรุ่นย่อย บริเวณชายกันชนซ้าย-ขวามีการติดตั้งไฟตัดหมอกแบบ LED ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า รองลงมาในรุ่นกลาง EL เป็นไฟตัดหมอกแบบฮาโลเจน ส่วนรุ่น E ไม่มีไฟตัดหมอก  ที่กระจกมองข้างมีฝังไฟเลี้ยวในตัวทุกรุ่นย่อย แต่รุ่น RS เป็นสีดำตัดกับตัวรถ ส่วนรุ่น E และ EL เป็นแบบสีเดียวกับตัวรถ เช่นเดียวกับมือจับประตูในรุ่นท็อปเป็นโครเมี่ยมรมดำ รุ่นกลางโครเมี่ยม และรุ่นเริ่มต้นเป็นแบบสีเดียวกับตัวรถ สำหรับล้อแม็กในรุ่น RS ดีไซน์ใหม่แบบ 5 ก้านทูโทนขนาด 17 นิ้ว ส่วนรุ่น E และ EL มีขนาดเท่ากันแต่ต่างกันที่ลวดลายสีดำขอบเงิน ส่วนด้านหลังไฟท้ายเป็นแบบ Tube LED (เฉพาะรุ่น RS และ EL) ขณะที่สปอยเลอร์หลังก็มีทุกรุ่นย่อย แต่ในรุ่นท็อปนั้นมีสัญลักษณ์ RS บนฝากระโปรงท้าย

ภายในห้องโดยสาร เพิ่มความสปอร์ตด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ซึ่งไม่เฉพาะแค่การดีไซน์เท่านั้น แต่ตัวเบาะยังได้ออกแบบให้โค้งกระชับกับใต้ท้องขามากยิ่งขึ้นและปีกกระชับตัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงวัสดุซับเสียงในห้องโดยสารใหม่ เพื่อลดเสียงที่เล็ดรอดเข้ามาจากภายนอก และระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ Walk Away Auto Lock ส่วนในรุ่น RS มีเพิ่มเข้ามาอีก 1 ระบบ คือ เตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ City Brake Active System ซึ่งทำงานที่ช่วงความเร็ว 5-30 กม./ชม เสริมในด้านความปลอดภัยมากขึ้น  ภายในกว้างขวางสะดวกสบายมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ มาพร้อมเบาะนั่งอเนกประสงค์ที่สามารถปรับพับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Utility Mode, Tall Mode และ Long Mode รองรับการขนย้ายสัมภาระที่หลากหลายในทุกรูปแบบ จุดเด่นของ HR-V เบาะนั่งสามารถปรับราบเรียบไปกับตัวรถได้ทำให้เพิ่มพื้นที่ในการขนของได้มากขึ้น

เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่เขื่อนขุนด่าน จังหวัดนครนายก ซึ่งช่วงสายสภาพจราจรค่อนข้างโล่ง สามารถเพิ่มความเร็วได้ในบางช่วง ชัดเจนในการเก็บเสียงที่ดีขึ้น การทรงตัวที่ดีทำให้มั่นใจในการขับขึ่ การเร่งแซงตอบสนองได้อย่างทันใจ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ซึ่งทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผัน CVT สามารถถ่ายทอดออกมาให้ใช้งานอย่างสนุก สามารถขึ้นทางชันได้อย่างสบายๆ เครื่ยงยนต์ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไร ยังรองรับพลังงานทางเลือก E85

 

 

สรุปถึงแม้ HONDA HR-V รุ่นปรับโฉม จะได้รับการปรับรายละเอียดหลักๆคือภายนอกใหม่เพียงไม่กี่จุด แต่ว่า

โดยรวมแล้วก็ทำให้หน้าตาดูทันสมัยมากขึ้น มีความเป็นสปอร์ทด้วยสีใหม่ สิ่งที่สำคัญคือระบบความปลอดภัยที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น ถือว่าเป็นนึงในตัวเลือก

ราคาในแต่ละรุ่น

รุ่น E ราคา 949,000 บาท

รุ่นกลาง EL ราคา 1,059,000 บาท

และรุ่นท็อป RS ราคา 1,119,000 บาท (เดิม S, E และ EL)

มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี โดยมีสีใหม่ คือแดงแพสชั่น (มุก) และอีก 4 สี ได้แก่ ขาวออร์คิด (มุก) ดำคริสตัล (มุก) เงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และเทารูสแบล็ค (เมทัลลิก)

 

 

 

 

ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ที่นี่

ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสองเชิญที่นี่

 


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ