5 สถานที่น่าขี่รถเที่ยวที่ไบค์เกอร์มนุษย์เงินเดือนไปได้ใน 2 วัน 1 คืน! Share this

5 สถานที่น่าขี่รถเที่ยวที่ไบค์เกอร์มนุษย์เงินเดือนไปได้ใน 2 วัน 1 คืน!

Piyawat Wongrattanakumphon
โดย Piyawat Wongrattanakumphon
โพสต์เมื่อ 01 November 2562

ใกล้หนาวทั้งที จะออกทริปแต่ละครั้ง คิดไม่ออกเลยจะไปไหนดี งานก็ต้องทำ รถก็อยากขี่ ใครเจอปัญหาแบบนี้ มาดู 5 สถานที่ท่องเที่ยวที่ไบค์เกอร์สามารถไปได้แบบ เสาร์-อาทิตย์ คืนเดียวอยู่กัน


 

 

ช่วงปลายฝนต้นหนาว(ที่จะหนาวรึเปล่าก็ไม่รู้)แบบนี้ สิ่งที่เหล่าไบค์เกอร์ขาดไม่ได้ก็คือการออกทริป! แต่จะออกทริปแต่ละครั้งนั้น ต้องวางแผนกันยกใหญ่ ไม่ว่าจะไปไหนดี ไกลไหม อยากไปที่สวยๆ แต่ดันอยู่ไกล งานก็ต้องลาอีก อะไรต้องคิดเยอะแยะไปหมด แอดเองก็เป็นหนึ่งในไบค์เกอร์ที่ประสบปัญหานี้ วันนี้แอดจึงรวบรวม 5 สถานที่ท่องเที่ยวแจ่มๆ ที่เหล่าไบค์เกอร์จะไปขี่รถเล่นกันได้ภายในเวลา 2 วัน 1 คืน โดยไม่เหนื่อยจนเกินไปมาฝากกัน และที่ว่าแจ่มนี้ไม่ใช่แจ่มแค่วิว ถนนก็แจ่มโค้งต้องมีให้เราได้เล่นโค้งกันอย่างสนุกสนานสำราญใจ จะเป็นที่ไหนบ้างไปดูกันเลย!

 

1. ภูทับเบิก, เพชรบูรณ์

 

เชื่อว่าชื่อนี้คงเป็นที่คุ้นหูของไบค์เกอร์หลายๆ คนอยู่แล้วสำหรับ “ภูทับเบิก” จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยภูทับเบิกนี้เป็นภู(เขา)ที่สูงอันดับต้นๆ ของภาคกลาง และมีอากาศเย็นเกือบตลอดทั้งปี วิวบนยอดนั้นสวยมากกกก เรียกได้ว่าสวยไม่แพ้ภาคเหนือกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่เคยขึ้นไปมาแล้วคงจะรู้กันดี นอกจากนี้ ในตอนเช้าจะมีทะเลหมอกปกคลุมทั่วทั้งภู ซึ่งควรค่าแก่การมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะติดใจ โดยที่นี่มีที่พักด้านบนไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก, รีสอร์ทต่างๆ รวมถึงลานกางเต๊นท์ ให้เหล่าไบค์เกอร์ได้เลือกพักกันตามสไตล์ใครสไตล์มัน

และที่ขาดไม่ได้สำหรับเหล่าไบค์เกอร์ก็คือ “โค้ง” บอกเลยว่าทางขึ้นภูทับเบิกนั้นโค้งเยอะมาก และก็ชันเอาเรื่องเลยทีเดียว เป็นเส้นทางที่ขี่สนุกและท้าท้ายเหล่าไบค์เกอร์อย่างแน่นอน ใครที่ไม่เคยขี่ขึ้นเขาชันๆ อาจมีเหวอกันได้ นอกจากนี้ที่เพชรบูรณ์เองก็มีเส้นทางริมเขาสุดโด่งดังอย่าง “รูท 12” ซึ่งเป็นถนนที่มีความกว้าง มีโค้ง และวิวสุดสวย ให้ไบค์เกอร์ได้เล่นโค้งกันอย่างจุใจ สำหรับคนที่เล่นโค้งขึ้นภูทับเบิกไม่พอต้องลงมาต่อที่นี่เลย 
ไบค์เกอร์ที่คิดจะมาที่นี่ควรวางแผนการเดินทางให้ดี ควรออกเช้าหน่อย เพราะระยะทางค่อนข้างไกล เดี๋ยวจะไม่มีเวลาเที่ยว 

ระยะทางจากกรุงเทพฯ 420 กม.
ใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง

 

 

 

2. เขาใหญ่, นครราชสีมา

เขาใหญ่ เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของประเทศไทยที่ไม่มีใครไม่รู้จัก และก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะสมในการขี่รถเที่ยวอย่างยิ่ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ขี่รถเพียง 2-3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ในเขตอุทยานเป็นป่า มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์(แอดเคยขี่รถเจองูขวางถนนเลย) ต้นไม้ทึบเป็นบางช่วง ช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศเย็นกำลังน่าขี่รถ มีน้ำตกมากมายให้เที่ยวชมและเล่นน้ำ ที่ขึ้นชื่อเลยก็จะมีน้ำตกเหวนรก รวมถึงจุดชมวิวที่เห็นวิวสุดสวยอย่างผาเดียวดาย

โดยที่นี่เป็นภูเขาที่ใหญ่มาก(ใหญ่สมชื่อ) โดยมีพื้นที่กินเขตแดนถึง 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา นครนายก ปราจีนบุรี และสระบุรี เพราะฉะนั้นจึงมีโค้งให้ไบค์เกอร์เล่นกันอย่างจุใจ จินตนาการถนนที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ อากาศเย็นๆ ปะทะตัว พร้อมสาดโค้งไปเพลินๆ แต่มีค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท รถยนต์(ไม่รวมผู้โดยสาร) คันละ 50 บาท และมอเตอร์ไซค์(ไม่รวมผู้โดยสาร) คันละ 30 บาท ตัวอย่างเช่น คุณขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับแฟน โดยแฟนซ้อนท้ายไป ก็จะเท่ากับ ผู้ใหญ่ 2 คน + มอเตอร์ไซค์ 1 คัน = 40+40+30 = 110 บาท ซึ่งค่าเข้าถือว่าไม่แพงเลย สำหรับสิ่งที่รอคุณอยู่ข้างใน ไบค์เกอร์คนไหนยังไม่เคยไปโลดแล่นที่นี่ หนาวนี้เตรียมตัวไปลองกันด่วน!

ระยะทางจากกรุงเทพฯ 180 กม.
ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง

 

 

 

3. ศรีสวัสดิ์, กาญจนบุรี

กาญจนบุรี จังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย และมีภูมิประเทศที่น่าท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์(จริงๆ แล้วเมืองกาญฯ มีที่เที่ยวเยอะมาก สวยทุกอำเภอ แต่เรามีคืนเดียว เอาอำเภอเดียวก่อนแล้วกันเนอะ) ซึ่งภูมิประเทศเป็นภูเขาที่ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ และมีเขื่อนศรีนครินทร์อยู่ตรงกลาง รายเรียงไปด้วยที่พักตลอดทาง ที่นี่ควรจะมาในช่วงหน้าหนาว เพราะอากาศในช่วงหน้าร้อนจะค่อนข้างร้อน โดยซิกเนเจอร์ของที่พักที่นี่เลยก็คือ แพ หรือที่พักลอยน้ำนั่นเอง ซึ่งมีอยู่เยอะมากๆ ไม่ว่าจะบริเวณเขื่อนหรือตามแม่น้ำแควใหญ่ นึกสภาพไบค์เกอร์ขี่รถมาเหนื่อยๆ เข้าที่พักแล้วโดดลงเล่นน้ำจากประตูห้องมันจะฟินขนาดไหน

โดยเส้นทางในเขตอำเภอนี้จะเป็นเส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาทั้งหมด รวมถึงเส้นทางริมเขื่อน ที่เต็มไปด้วยโค้งให้เหล่าไบค์เกอร์ได้สนุกกันทั้งวัน และมาที่นี่แล้วก็อย่าลืมขี่ขึ้นไปบนสันเขื่อนศรีนครินทร์ เพื่อชมวิวเขื่อนแสนสวยที่กว้างขวางราวกับทะเล และมีภูเขาน้อยๆ เป็นเกาะเหนือน้ำ เหมาะกับการถ่ายรูปก๊วนเพื่อนไบค์เกอร์มากๆ นอกจากนี้ รอบๆ เขื่อนยังเต็มไปด้วยน้ำตกชื่อดังอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น, น้ำตกเอราวัณ, น้ำตกไทรโยคใหญ่ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของไบค์เกอร์สายเล่นน้ำเลยล่ะ

ระยะทางจากกรุงเทพฯ 240 กม.
ใช้เวลาเดินทาง 3-4 ชั่วโมง

 

 

 

4. สวนผึ้ง, ราชบุรี

สวนผึ้งเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวยอดฮิตใกล้กรุงเทพฯ ด้วยระยะทางที่ไม่ไกล มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและจุดเช็คอินที่น่าสนใจหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกมากมาย ให้ไบค์เกอร์ได้คลายร้อนกัน หรือสำหรับสายลุยต้องลองไปเขากระโจม สุดเขตแดนตะวันตกของประเทศไทย ที่มีทางขึ้นเป็นทางดินสุดหฤโหด บนยอดมองไปเป็นฝั่งพม่า มีป้ายให้ถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่าเราพิชิตเขากระโจมแล้วนะอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอุทยานหินเขางู, ถ้ำจอมพล และโป่งยุบ ให้ไบค์เกอร์ได้สัมผัสความงามของธรรมชาติอีกด้วย

สำหรับเส้นทางที่ราชบุรีก็มีโค้งให้เล่นกันประมาณหนึ่ง อาจจะไม่สะใจสายขี่นัก แต่ก็ชดเชยด้วยจุดเช็คอินและคาเฟ่มากมาย ให้ไปนั่งชิลกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหอมเทียน, โมอายคอฟฟี่ ที่มีรูปปั้นโมอายและสโตนเฮนจ์จำลองให้ได้ถ่ายรูปกัน ใครหิวๆ ก็แวะไปเดินตลาดน้ำดำเนินสะดวก หาของกิน ต่อด้วยของหวานกับเมล่อนฉ่ำๆ ที่ร้านคอโรฟีลด์ และมีฟาร์มแกะอีกหลายฟาร์ม อย่างเดอะซีนเนอรี่ วินเทจฟาร์ม, เวเนโต้, อัลปาก้าฮิลล์, นิวแลนด์, เฟราซ่า ฟาร์ม และเบลลิสซิโม่ คาเฟ่แอนด์รีสอร์ท ให้ได้เลือกชมกัน

สำหรับราชบุรีนั้นควรจะเที่ยวในหน้าหนาวเช่นเดียวกันกับกาญจนบุรี เนื่องจากอากาศในหน้าร้อนค่อนข้างร้อน ในหน้าหนาวอากาศจะกำลังเย็นสบาย และสำหรับนักบิดสายคาเฟ่ จิบกาแฟ ชมวิว ชมของหวาน ต้องไม่พลาดที่สวนผึ้ง

ระยะทางจากกรุงเทพฯ 180 กม.
ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง

 

 

 

5. เกาะช้าง, ตราด

ปิดท้ายกันด้วยเกาะช้าง เป็นอีกที่ที่น่าเที่ยวที่เหล่าไบค์เกอร์มักจะลืมคิดไปหรือคาดไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วที่นี่เป็นเกาะที่ใหญ่มากกก ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย รองจากภูเก็ต รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ต่างจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ต่างๆ โรงพยาบาล โรงพัก มีครบ! เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว ปลอดภัยแน่นอน 

ทางด้านกิจกรรมหลายๆ คนอาจจะคิดว่า เป็นเกาะไม่น่ามีอะไรให้ทำมาก แต่เปล่าเลย เกาะช้างนั้นมีกิจกรรมมากมายให้เลือกไปลุยกัน ที่น่าสนใจเลยก็เป็นดำน้ำ เพราะที่นี่น้ำใสมาก เห็นปลาชัดเจนตั้งแต่ยังไม่ทันลงน้ำเลย และที่นี่ยังมีป่าชายเลนที่ทอดสะพานไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมธรรมชาติกันด้วย ส่วนสายแอดเวนเจอร์ต้องไปปีนต้นไม้ ท้าทายความสูงกันกับ Tree Top Adventure Park ต่อด้วยพายเรือคายัก และขี่ช้างตะลุยเส้นทางธรรมชาติ ก่อนจะคลายร้อนต่อด้วยการเล่นน้ำตกคลองพลูกับฝูงปลา

สำหรับถนนหนทางบนเกาะนั้นเป็นถนนลาดยางสะดวกสบายรอบเกาะ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับเหล่าไบค์เกอร์ ด้วยถนนที่เลียบไปรอบเกาะ ด้านนึงเป็นเขาด้านนึงเป็นทะเล วิวสวยชวนขี่รถจริงๆ และยังมีโค้งไฮไลท์ของเกาะช้าง ที่ทั้งแคบทั้งชันสุดๆ ให้ได้ลองพิชิตกัน และที่สำคัญ ที่นี่อากาศไม่ร้อน มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี (ขอแค่ไม่เจอฝนก็พอ 55+)

ใครที่วางแผนจะมาเที่ยวที่นี่อย่าลืมเผื่อเวลาในการข้ามเรือเฟอร์รี่ไปเกาะช้าง โดยมีอยู่ด้วยกัน 2 ท่า ได้แก่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ใช้เวลาข้ามฟากประมาณครึ่งชั่วโมง โดยมีรอบตั้งแต่ 6:30 น. ถึง 19:00 น. และท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์ ใช้เวลาข้ามฟากประมาณ 45 นาที มีรอบตั้งแต่ 6:00 ถึง 19:00 เช่นกัน

ค่าเรือเฟอร์รี่ไปเกาะช้าง 
คนละ 80 บาท
มอเตอร์ไซค์เล็ก 40 บาท
บิ๊กไบค์ 80 บาท
รถยนต์ 120 บาท

ระยะทางจากกรุงเทพฯ 350 กม.
ใช้เวลาเดินทาง 5-6 ชั่วโมง

 

 

เป็นยังไงบ้าง สำหรับ 5 สถานที่ที่แอดนำเสนอ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวไหน ลองวางแพลนกันดูนะครับว่าที่ไหนใช่คุณ แล้วเก็บกระเป๋า ชวนแฟน ชวนพ่อชวนแม่ ออกไปเที่ยวกันเสาร์-อาทิตย์นี้เลย!

 

เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ