อีโคคาร์ 2 แตกต่างจาก อีโคคาร์ 1 อย่างไร

หลายคนยังสับสนระหว่างอีโคคาร์ 2 และอีโคคาร์ 1 ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร 

ที่มาอีโคคาร์

หลังจากงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2019 ปรากฎว่า มีผู้สนใจจับจองเป็นเจ้าของอีโคคาร์ 2 กันจำนวนมาก เพราะสเป็กดี ราคาถูกจริตกับเงินในกระเป๋า ซึ่งที่ผ่านมาผู้คนมักเข้าใจว่ารถยนต์อีโคคาร์คือรถราคาถูก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอีโคคาร์มีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง 3 อย่างทั้งสะอาด ประหยัดและปลอดภัย 

ในที่นี้เราขอโฟกัสเรื่องที่มาของโครงการอีโคคาร์คร่าวๆ ความแตกต่างของอีโคคาร์ 1 และอีโคคาร์ 2 รวมถึงประโยชน์จากอีโคคาร์ 1 และอีโคคาร์ 2 ประชาชนได้อะไร โครงการอีโคคาร์ 1 เริ่มตั้งแต่ ปี 2549 และเป็นโครงการแรกของบีโอไอที่กำหนดสเป็กของรถยนต์อีโคคาร์ ซึ่งประกอบด้วย สะอาด,ประหยัด, ปลอดภัย 

• สะอาด โดยในปี 2549 ได้กำหนดมาตรฐานเป็นยูโร 4 (ทั้งที่ขณะนั้น มาตรฐานยังเป็นยูโร 3 อยู่เลย) การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องน้อยกว่า 120 กรัมต่อกิโลเมตร
• ประหยัด ได้กำหนดอัตราการกินน้ำมัน น้อยกว่า 5 ลิตรต่อ 100 กม. หรือ 20 กม.ต่อลิตร 
• มาตรฐานความปลอดภัย ทดสอบการชน ต้องได้มาตรฐานการชนด้านหน้า และด้านข้าง

อีโคคาร์ 1

โครงการอีโคคาร์ 1 มีค่ายรถยนต์ที่เข้าโครงการ 5 ราย โตโยต้า นิสสัน ฮอนด้า ซูซูกิ และมิตซูบิชิ ซึ่งต่อมาฮอนด้าขอถอนตัว อย่างไรก็ตาม โครงการอีโคคาร์ 1 ผลการตอบรับดี โดยภาครัฐได้กำหนดสเป็กของรถ สร้างการผลิตอีโคคาร์ โดยกำหนดกลไก และผลที่ได้รับ มีเงื่อนไข เช่น ปริมาณการผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 4 /5 เป็นต้นไป ซึ่งค่ายรถยนต์ที่ลงทุนนั้น ดำเนินการในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นแค่ละค่ายรถจะครบจำนวนในเวลาที่แตกต่างกัน

"เปิดให้มีการลงทุน ซึ่งแต่ละบริษัทมีการลงทุนในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ฉะนั้น เราไม่ได้กำหนดว่าต้องลงทุนปีไหน แต่เรากำหนด 1 แสนคัน เพื่อประโยชน์ในการลงทุน หรือเกิด economy of scale หรือความคุ้มทุนในการลงทุน เช่น การผลิตชิ้นส่วน ก็คุ้มและเมื่อเข้ามาลงทุน มีการกำหนดคุณสมบัติรถยนต์ในประเทศ คือสะอาด ประหยัด ปลอดภัย ซึ่งในปี 2549 ได้กำหนดสเป็กรถในระดับท๊อปของโลกว่าในโลกมีอะไรดี ก็เอามาใส่" 

นอกจากนี้ มีการกำหนดเงื่อนไขการผลิตเครื่องยนต์ (Machining) ชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์ 4 ใน5C โครงการอีโคคาร์ตอนนั้นส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีรถยนต์ต้นแบบที่ต้องผลิตในไทย ส่งผลให้มีการลงทุนด้าน R&D ศูนย์ทดสอบและสนามทดสอบในไทย 

"ขณะนั้นเก็บภาษีปกติ 25% แต่โครงการนี้เก็บภาษีถูก เพียง17% เพราะการผลิตรถยนต์สเป็กสูง ต้นทุนสูง ภาษีต้องตำ่ ราคารถที่ขายสู่ผู้บริโภคจะได้ไม่แพง  ซึ่งเราไม่ได้มีการกำหนดราคา บางคนคิดว่ารถอีโคคาร์คือรถราคาประหยัด แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ต้องเป็นรถตามสเป็ก จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่แล้วแต่สะดวก แต่ต้องตามสเป็กที่กำหนด"

ความแตกต่างอีโคคาร์ 1 และอีโคคาร์ 2

ต่อมาในปี 2556 มีโครงการอีโคคาร์ 2 ขณะนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์จึงกำหนดสเป็กอีโคคาร์ 2 จากเครื่องยนต์ยูโร 4 เป็นเครื่องยนต์ยูโร 5  ซึ่งมาตรฐานสูงกว่าในรถยนต์ทั่วไปในขณะนั้น ประหยัดน้ำมันมากกว่า จากเดิมที่ใช้น้ำมันน้อยกว่า 5 ลิตรต่อ 100 กม. เป็นน้อยกว่า 4.3 ลิตรต่อ 100 กม.  และเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย ระบบเบรกเพิ่มขึ้นด้วย (มีมาตรฐานระบบเบรกที่มีABS & ESC ) การปล่อยมลพิษอีโคคาร์ 2 ก็น้อยกว่า ซึ่งมีผู้สนใจ 6 ราย คือ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ซูซูกิ มิตซูบิชิ และมาสด้า ซึ่งหากพิจารณาสถิติเมื่อเทียบสัดส่วนรถยนต์ในท้องตลาด อีโคคาร์ มีสัดส่วนสูงกว่าถึง 52% 

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

หลังลำดับที่มาที่ไป จะพบว่า อีโคคาร์ 1 และ อีโคคาร์ 2 ต่างก็มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ โดยเฉพาะมีประโยชน์ 3 อย่างกับประชาชน (สะอาด ประหยัด และปลอดภัย) ทำให้ผู้ซื้อรถสามารถเข้าถึงรถยนต์ที่มีมาตรฐานสูงในราคาที่ไม่แพง แต่ประเด็นสำคัญคือ อีโคคาร์ 2 ได้พัฒนาสเป็กให้ทันสมัยมากขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น 

ในแง่เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม มีการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากกำหนดให้มีการผลิตเพื่อจำหน่ายมากถึง 1 แสนคัน มีการลงทุนผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งมีหลายบริษัทเข้ามาลงทุน 

ในแง่สังคมรองรับการขยายตัวของเมือง เพราะปัจจุบันเกิดปัญหาโลกร้อน เกิดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เมื่อมีการกำหนดค่า Co2 น้อยประหยัด ลดปัญหาควันดำ (รายละเอียดนี้จะมีใน Eco Sticker ด้วย) เพราะอีโคคาร์ 2 ควันน้อยกว่ารถยนต์ชนิดอื่น (เว้นรถยนต์ไฟฟ้า) อีกทั้งมีมาตรฐานการชน คนโดยสารจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง

ที่มา สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) #กราฟฟิก Autospinn

เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่