e-Power แนวคิดการพัฒนาพลังงานทางเลือกที่คำนึงถึงความสะดวกสบาย ในการเดินทาง ด้วยการผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
E-Power พลังงานไฟฟ้า ที่พร้อมให้คุณได้สัมผัส เร็วๆ นี้
เทคโนโลยี รถไฟฟ้ามีอยู่หลายรูปแบบและอีกครั้งกับเทคโนโลยีที่เครื่องยนต์เปลี่ยนจากน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า 100% และไม่นานมานี้ e-Power ที่หลายคนพูดถึงและอาจจะเห็นผ่านตากันมาบ้าง จากค่าย Nissan ได้ถูกพูดถึงขึ้นมาด้วยหลายปัจจัยและอีกไม่นานก็จะได้สัมผัสของจริงกัน
ถ้าพูดถึง e-Power แบบที่เข้าใจง่ายๆก่อน คือ เริ่มจากแนวคิดการพัฒนาพลังงานทางเลือกที่คำนึงถึงความสะดวกสบาย ในการเดินทาง ด้วยการผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์สันดาปภายในกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ และส่งผ่านไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 95 กิโลวัตต์ เพื่อขับเคลื่อนโดยไม่ต้องชาร์จไฟ และใช้น้ำมัน ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า 100%
เทคโนโลยี e-Power มีใช้งานกับรถยนต์ของ Nissan ถึง 2 รุ่น ได้แก่ Nissan Serena e-Power และ Nissan Note e-Power ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ความสำเร็จของเทคโนโลยี e-POWER ที่เปิดตัวครั้งแรก ที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2016 กับ Note e-POWER และ ในปี 2018 กับ Serena e-POWER ซึ่งมียอดขายรวมถึงเดือนสิงหาคม ในปี 2019 รวมมากถึง 700,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของเทคโนโลยี e-POWER อย่างต่อเนื่อง กับการเปิดตัวเทคโนโลยี e-POWER ที่ฮ่องกงในปี 2019 เช่นกัน และนอกจากนี้ยังการันตีความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยี e-POWER ด้วยรางวัล Environmental award และ RJC Technology of the year
ทำความรู้จักกับระบบ e-Power อย่างแรกคือ ระบบขับเคลื่อนคือมอเตอร์ไฟฟ้า ทำงานแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า EV ส่งกำลังไปที่ล้อ ส่วนเครื่องยนต์เปรียบเสมือนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ หล่อเลี้ยงแบตเตอรี่ ส่วนเครื่องยนต์นั้นได้พลังงานมาจากการเติมน้ำมัน ไม่มีการเสียบปลั๊กชาร์จแบบรถ EV หลักการเหล่านี้ทำให้เราไม่เปลี่ยนแปลงการใช้งานในรูปแบบเดิมแต่สิ่งที่ได้คือ มลพิษที่น้อยลง ไม่ต้องกังวลกับการเดินทางไกล
หลักการทำงานของเทคโนโลยี e-Power คือ เครื่องยนต์สร้างพลังงานและส่งไปยัง > Generator เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อปั่นกระแสไฟส่งไปที่ > Inverter ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวเปลี่ยนกระแสไฟให้เป็น AC หรือ DC >Battery เก็บพลังงานไว้ใช้ > Motor เพื่อขับเคลื่อนรถ
หัวใจสำคัญทั้งหมดคือระบบ ที่เรียกว่า Inverter ทำหน้าที่ แปลงกระแสไฟฟ้าจาก DC เป็น AC เพื่อไปกักเก็บให้แบตเตอร์รี่ และ ในบางครั้งก็ยังแปลงกระแสไฟฟ้าแล้วจ่ายตรงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า หรือในบางกรณีก็จะทำงานพร้อมกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการขับขี่ในช่วงเวลาต่างๆ
หลักของเครื่องยนต์จะทำงานก็ต่อเมื่อ พลังงานใน Battery เหลือต่ำกว่า 40% หรือจังหวะที่ต้องการกำลังไฟมากเป็นพิเศษจากการเหยียบคันเร่งแซง และเมื่อมีกำลังไฟเต็มที่ 90%(เป็นการรักษา Battery ) เครื่องยนต์ก็จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ และใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเหมือนรถ EV ทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าที่ได้มาอีกส่วนก็คือ เมื่อเรายกคันเร่งหรือเบรคพลังงานก็จะถูกชาร์จกลับเข้าไปยังแบตเตอร์รี่เช่นกัน
ข้อดีของ e-Power
- อัตราการกินน้ำมัน ดีแน่นอน เพราะ e-Power มีอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในเกณฑ์ของ ECO Car เลยทีเดียว (23.8 กม./ลิตร และปล่อยไอเสีย Co2 ไม่เกิน 100 กรัม/กม.)
- อัตราเร่งดี e-Power ใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน แบบเดียวกับ nissan leaf ซึ่งทำให้ได้ความรู้สึกเดียวกัน ให้อัตราเร่งที่ดี ไม่มีการรอรอบแต่อย่างไร โดยมอเตอร์ตัวนี้ให้สมรรถนะสูงถึง 129 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-เมตร
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการ ชาร์จไฟ เพราะหลายคนที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าแต่ยังกังวลใจว่าเมื่อเราต้องเดินทางไกลจะต้องชาร์จที่ไหนและจะเสียเวลามากแค่ไหนในการชาร์จแต่ละครั้ง ซึ่ง ระบบ e-Power ยังคงใช้เครื่องยนต์เป็นต้นกำเนิดของกระแสไฟ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจเพราะเราก็เติมน้ำมันเหมือนเดิมแต่ให้การประหยัดกว่าเดิม
สรุปสำหรับ Nissan e-Power ใหม่ ที่คาดว่าอีกไม่นานนี้หลายคนก็จะได้สัมผัสของจริงและเป็นอีกตัวเลือกที่หน้าสนใจเป็นอย่างมากสำหรับตลาดรถไฟฟ้า และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่ อยู่ที่ราคาด้วยครับ
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น