Mitsubishi Outlander PHEV หลายท่านมองภาพแรกคือ หน้าตาดูลุงๆจังไม่ดึงดูดเลย แถมราคาก็ดูแรงจัง ดังนั้นเราต้องมาหาคำตอบกันว่า Outlander มีดีอะไรบ้าง
Mitsubishi Outlander PHEV
Mitsubishi Outlander PHEV รถไฮบริด ปลั๊กอิน ที่หลายท่านเห็นแล้วร้องยี้!! ต้องยอมรับว่าหน้าตานั้นไม่เข้าตาจริงๆ พร้อมกับค่าตัว 1.749 ล้านบาท นั้นยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกเพราะคิดว่าแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ดังนั้นเราต้องมาดูกันว่า Outlander จะมีข้อดีอย่างไร
ต้องยอมรับว่ากระแสรถ ไฟฟ้ามาแรงมาก ตั้งแต่แบบไฮบริด ไฮบริดเสียบปลั๊กชาร์จได้และไฟฟ้าล้วน ในช่วง 2-3 ปี นี้เรียกว่ามีค่ายรถออกรุ่นใหม่กันแบบรัวรัว ทั้งฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น อีกส่วนหนึ่งนอกเหนือเรื่องรักโลกและประหยัด คือราคาที่ประหยัดขึ้น โดยที่รถในกลุ่มไฟฟ้านั้น ทางสรรพสามิตที่เก็บภาษีกับรถในกลุ่มเบนซิน/ดีเซล 25-30% แต่ถ้าเป็นไฟฟ้าจะเหลือราว 4% ทำให้ราคารถถูกลงหรือบางค่ายก็ติดตั้งอุปกรณ์ลงไปเพิ่ม และขายในราคาที่เหมาะสม
Mitsubishi Outlander PHEV หลายท่านมองภาพแรกคือ หน้าตาดูลุงๆจังไม่ดึงดูดเลย แถมราคาก็ดูแรงจัง ดังนั้นเราต้องมาหาคำตอบกันว่า Outlander มีดีอะไรบ้าง มิตซูบิชิประเทศไทยจึงได้จัดการทดสอบ เส้นทางการทดสอบครั้งนี้ จัดเส้นทางในแบบ One Day Trip รอบกรุงเทพฯ กว่า 220 กม.
ทดสอบขับขี่
เริ่มต้นการทดสอบกันเลย ชุดแรกก่อนออกเดินทาง ทางมิตซูบิชิ โชว์ที่เด็ดกับระบบ Power Outlet 1500w ที่ท้ายรถ ซึ่งสามารถนำปลั๊ก 3 ตามาเสียบ เพื่อต่อพ่วงสำหรับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างสบาย โดยรองรับกำลังสูงสุดที่ 1500 วัตต์ ซึ่งครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิเช่น เครื่องปิ้ง กระทะไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องแช่ กาน้ำร้อน กระติกน้ำร้อน แม้กระทั้งแอร์เคลื่อนที่ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรก็ได้ที่มีกำลังไม่เกิน 1500 วัตต์ ซึ่งสามารถใช้งานได้นานถึง 6 ชั่วโมงเต็ม หรือถ้าคุณต้องการพักผ่อนระหว่างเส้นทางในการเดินทางก็สามารถนอนในรถถ้าไฟฟ้าเต็ม สามารถเปิดแอร์นอนในรถได้เลยเวลา 6 ชั่วโมงเหมือนกัน แบบเครื่องยนต์ไม่ติด
หลังจากไฟฟ้าหมด เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นเพื่อชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่และเมื่อไฟเต็ม เครื่องยนต์ก็จะหยุดการทำงาน แน่นอนว่าเหมาะกับสายแคป์ปิ้ง หรือ จุดกางเต็นท์ หรือต้องการพักผ่อน เรียกว่าเป็นระบบที่ตอบสนองการใช้งานกับผู้เดินทางเป็นประจำอย่างมาก
เดินดูรอบรถ ก็ต้องยอมรับว่า ดีไซน์รูปลักษณ์ภายนอกนั้น หลายท่านก็เห็นและเป็นคนตัดสินเอง เพราะความชอบของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน แต่อุปกรณ์มาตรฐานก็มีมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฟ Full LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก LED เซ็นเซอร์และกล้องรอบคัน กันชนหน้าทรงใหม่ คลังคาทรงสูง ล้ออัลลอยขนาด 18″
ออกเดินทาง จากเมืองทอง ภายในห้องโดยสาร ด้วยทรงหลังคาที่สูงทำให้ภายในดูโปร่ง ตกแต่งด้วยสีดำตัดกับสีเงิน พร้อมด้วยลายเคฟล่าที่คอนโซลหน้าและแผงประตู หน้าจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 8″ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay พร้อมระบบ Bluetooth Hand Free ที่รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง คันเกียร์ออกแบบเป็น Joystick ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น พร้อมมีปุ่มกด EV Mode ที่ด้านข้าง และมีปุ่ม Save (รักษาพลังงานแบตเตอรี่) และ Charge (ชาร์จไฟให้แบตเตอรี่) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมก้าน Paddle Shift อาจจะเข้าใจว่าเป็นเกียร์แต่ไม่ใช้ แต่เป็นระบบหน่วงกำลังของมอเตอร์แบบ Engine Bake ปรับความหน่วงได้ 6 ระดับ (B0 – B5) ซึ่ง B5 คือการหน่วงมากที่สุดแบบเดียวกับรถไฟฟ้า
แต่ที่ดูดีที่สุดคือเบาะนั่งคู่หน้าในรุ่นท็อปออกแบบในสไตล์ Diamond Quilting Design พร้อมระบบปรับไฟฟ้าที่คู่หน้า ส่วนด้านหลังก็เป็นลายเดียวกัน เบาะหลังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ไม่สามารถพับเรียบได้ คอนโซลกลางมีแอร์สำหรับตอนหลัง และจุดชาร์จ USB รวมไปถึง Power Outlet 1500w (ปลั๊ก 3 ตา) ให้อีก 1 ตำแหน่ง
จุดเด่นสุดของของ Outlander คือ เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เบนซิน 128 แรงม้า มีมอเตอร์มา 2 ตัวแยกเพลาหน้า 82 แรงม้า เพลาหลังอีก 95 แรงม้า ทำงานรวมกันแล้วได้ 305 แรงม้า ส่วนแรงบิด ระดับ 531 นิวตัน-เมตร หลายท่านคาดหวังว่าจะออกตัวแบบ ซุปเปอร์คาร์ แต่เปล่าเลยเพราะตัวรถที่มีน้ำหนักถึง 1.93 ตัน จึงทำให้มันไม่แรงอย่างที่คิด ออกตัวแบบผู้ดี เนียนๆแต่ไหลแบบไม่หยุด อารมณ์ตีนปลายไหลเร็วมาก ถ้าขับแบบรู้จักกับรถแล้วรถจะตอบสนองดีมาก
ในส่วนสิ่งที่ดีคือ การขับขี่ด้วย EV หรือไฟฟ้าเพียวๆ ตามสเปคขับได้ไกล 55 กม. ได้ลอง กดปุ่ม EV เลี้ยงคันเร่งอย่าให้เกินเกณฑ์ Eco หรือจุ่มแบบเต็มที่ในจังเหวาะแซง ในการทดสอบสามารถวิ่งได้จริง ในระยะ42 กม. (ออกจากสนามทดสอบไฟเหลือให้วิ่ง 40 กม.) เรียกว่าทำได้จริง พร้อมทั้งสามารถเหยียบในความเร็วสูงสุดในแบบไฟฟ้าได้ถึง 135 กม./ชม. ซึ่งในการทดสอบก็สามารถวิ่งได้จริง ว้าววววมาก
และเมื่อพลังงานไฟฟ้าหมด ก็มีปุ่ม Save (ประหยัดพลังงานแบตเตอรี่) และปุ่ม Charge (ชาร์จแบตเข้าไปที่แบตเตอรี่) ซึ่งตัวรถก็จัดแจงชาร์จพลังงานกลับเอง หรือต้องการให้ไวขึ้นก็ กดปุ่ม Charge 2 ครั้ง เครื่องยนต์จะทำงาน (ปั่นไฟให้เจเนอร์เรเตอร์) พร้อมกับการขับแบบเนียนไม่ได้ใช้พลังงานมาก ด้วยมอเตอร์ 2 ตัว ยิ่งทำให้การชาร์จไฟกลับเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เรียกได้ว่าไวกว่าเสียบชาร์จอีก
ในส่วนของช่วงล่างนั้น Outlander ทำได้ดีมากเพราะให้ความนุ่มนวลในการขับขี่มาก และในความเร็วสูงก็ให้การเกาะถนนที่ดี เทียบเท่า แบรนด์ยุโรปเลย ในการวิ่งทดสอบนี้มีทั้งในเมืองและนอกเมืองให้ทดสอบ อัตราเร่งหายห่วง ให้การตอบสนองที่ดีในทุกช่วงความเร็ว แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่ทางทีมงานให้คะแนนดีสุดคือ ความเงียบของรถเวลาใช้งาน ในช่วงการตัดต่อของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้านั้นเรียกว่าไม่รู้สึกเลยถ้าปิดหน้าจอแสดงผลคุณจะไม่รู้เลยว่าเครื่องยนต์ทำงานตอนไหน
อีกจุดเด่นคือ เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมมีระบบ Super All-Wheel Control ที่มีการถ่ายเทน้ำหนักแต่ละล้อให้สมดุลกันก็ช่วยจัดการได้อยู่หมัด และมั่นใจได้ ค่อนข้างที่จะหนึบ และเกาะถนนได้ดี ซึ่งทางทีมงานก็ได้จัดให้ทดสอบแบบสนามจำลองแบบออฟโรด กับ ระบบ Super All-Wheel Control
เริ่มจากโหมด Normal ก่อน ในโหมดนี้ เวลาออกตัวบนกรวด ล้อแทบไม่ฟรีเลย ไปแบบตรงๆ เวลาสาดโค้ง เหยียบเข้าแล้วหักพวงมาลัย รถจะตัดกำลังจากคันเร่งออก เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเมื่อท้ายออกระบบความปลอดภัยต่างๆก็จะเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
พอรอบสอง ผมลองเข้าโหมด Sport การตอบสนองคันเร่งดีขึ้น ล้อฟรีตอนออกตัวแต่ก็ยังควบคุมได้อย่างง่ายดาย รอบสองพอจับอาการรถได้โดยการโยนรถเข้าแบบถอนเท้าออกจากคันเร่งทำให้รถเสียอาการแต่พอรถจับได้ว่ารถเสียอาการระบบต่างๆก็เข้ามาช่วยเหลือทันที พร้อมการกระจายน้ำหนักแบบขับสี่ที่ฉลาดปรับเปลี่ยนอัตโนมัติว่าจะให้กำลังกับล้อหน้าหรือหลังมากกว่ากัน ทำให้ตัวรถควบคุมได้ง่ายดาย
โหมดสุดท้ายที่ได้ทดสอบคือ Lock ซึ่งจะส่งกำลังไปด้านหน้าและหลัง 50/50 และจะพยายามล็อคเช่นนั้นอยู่ตลอด อาการของรถ เรียกได้ว่าขับขี่ง่ายมากในสนามแบบหินผสมฝุ่น รถแทบจะไม่เสียอาการใดเลย ไปแบบเนียนเหมือนคุณเป็นนักแข่งแรลลี่โลก ถ้าใครชอบแบบรถท้ายออกแล้วแก้อาการ เรียกว่าแทบไม่มีให้เห็นเลย ทุกอย่างรถได้ควบคุมไว้หมดแล้ว
สำหรับขุมพลังเครื่องยนต์ของ Mitsubishi Outlander PHEV จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 128 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิด 199 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว (ที่ด้านหน้า 1 ตัว และด้านหลัง 1 ตัว) โดยมอเตอร์หน้าให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า และมอเตอร์หลังให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ทำให้สมรรถนะรวมของ SUV Plug-in Hybrid คันนี้มีแรงม้าสูงถึง 305 แรงม้า แรงบิดระดับ 531 นิวตัน-เมตร จัดเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ที่แบตเตอรี่ Lithium-Ion ขนาด 13.8 kWh ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในรถ PHEV ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบ Super All-Wheel Control (S-AWC)
โดยรูปแบบการขับเคลื่อนแบ่งได้ 3 รูปแบบดังนี้
- EV Drive Mode โหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100% สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. และสามารถขับได้ไกลถึง 55 กม.
- Series Hybrid Mode โหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ เมื่อเร่งความเร็วแบบฉับพลัน หรือเร่งเครื่องขึ้นทางลาดชัน
- Parallel Hybrid Mode โหมดการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยใช้กำลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้า จะทำงานเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือจังหวะเร่งแซง
ระบบความปลอดภัยขั้นสูง Mitsubishi Outlander PHEV
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM)
- ระบบล็อคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (ACC)
- ระบบปรับระดับไฟสูง – ต่ำอัตโนมัติ (AHB)
- ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS)
- ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน (BSW With LCA)
- ระบบเตือนด้านหลังขณะถอย (RCTA)
- กล้องมองภาพรอบคัน
ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Mitsubishi Outlander PHEV
- ระบบเบรก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
สรุป Mitsubishi Outlander PHEV
Mitsubishi Outlander PHEV เหมาะกับใคร ผู้ที่รักการขับขี่แบบออฟโรด พร้อมทั้งสายกางเต้นท์ ถ้าใช้งานในเมืองบ้านและที่ทำงานไปกับไม่เกิน 50 กม. คือเหมาะมากเพราะท่านจะเติมน้ำมันเพียงเดือนละครั้ง ประหยัดเกิน
ข้อดี
- สามารถเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จริง ไฟไม่เกิน 1500 W ยาวนานถึง 6 ชม.(นอนเปิดแอร์ในรถได้นาน 6 ชม.)
- เป็นรถประหยัดน้ำมันคันใหญ่ มีพื้นที่ห้องโดยสารและท้ายรถที่เก็บของได้เยอะมาก
- การตัดต่อเครื่องยนต์และไฟฟ้าไม่รู้สึกเลย อารมณ์เหมือนขับรถ EV มาก
- ช่วงล่างเทียบเท่ารถยุโรปได้เลย
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super All-Wheel Control ทำงานได้ฉลาดมากซึ่งคู่แข่งไม่มี
ข้อเสีย
- หน้าตาในตลาดโลกได้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว (หน้าใหม่มีแต่เครื่องยนต์เบนซิน แต่แบบ PHEV ยังไม่มี)
- ราคาที่อาจจะดูแพงกว่าคู่แข่ง
ต้องยอมรับกันตรงๆว่าโลกปัจจุบันหมุนเร็วถ้าเป็นเมื่อก่อนบ้านเราอาจจะได้รถมาใช้ช้ากว่าเมืองนอกก็คือเรื่องปกติ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ได้เห็นรถเปิดตัวก่อนใครในบางรุ่น จึงไม่แปลกเลยที่ทำให้ Mitsubishi Outlander PHEV โดนหนักในเรื่องหน้าตาเพราะเราเห็นกันมานานแล้วในต่างประเทศ แต่ถ้าคุณได้ทดลองขับจะทำให้ความรู้สึกต่างๆนั้นเปลี่ยนไปได้หรือลืมข้อเสียนั้นไป เอาเป็นว่าน่าเสียดายที่การเดินทางของ Outlander นั้นมาช้าไปหน่อย เพราะในตลาดประเทศไทยปัจจุบันมีคู่แข่งตัวเลือกมากมาย แต่ถ้าใครเป็นแฟน มิตซูบิชิ อยู่แล้วก็ต้องบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน (ซื้อรถต้องลอง)
ในส่วนเรื่องของราคานั้น ถ้าบอกว่าแพงก็แพง แต่ถ้ามองในเรื่องอุปกรณ์ต่างๆที่ยัดเข้ามาให้ในรถนั้นบอกเลยว่าไม่เเพงเพราะระบบหลายอย่างนั้นในบางคู่แข่งก็ไม่มีมาให้ และจุดเด่นของทางมิตซูบิชิก็คือระบบขับสี่ ที่โดงดัง และก็ขับขี่ได้ดีจริง คู่แข่งในตลาดในกลุ่มเดียวกัน เช่น MAZDA CX-5 ,HONDA CR-V, MG HS PHEV, จริงๆถ้ามองในตัวท๊อปราคาก็ไม่หนีกันมาก
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น