รีวิว Mercedes-Benz V 250 d รุ่น Business PLUS ทางเลือกใหม่ ถูกใจสายครอบครัว Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Mercedes-Benz V 250 d รุ่น Business PLUS ทางเลือกใหม่ ถูกใจสายครอบครัว

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 25 May 2564

Mercedes-Benz V 250 d Business PLUS รถอเนกประสงค์สัญชาติเยอรมัน ที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่หรูหรา แม้ตัวรถจะดูสูงใหญ่ แต่ในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ และการทรงตัวเมื่อทำความเร็วสูง ต้องบอกเลยว่า ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน


Mercedes-Benz V 250 d ในปี 2021 นี้ ทางเมอร์เซเดสเบนซ์ประเทศไทย ได้มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เข้ามา นั่นก็คือรุ่น Business Plus ซึ่งเป็นการนำรุ่น Business มาใส่ออปชั่นเพิ่มขึ้น ส่วนในรุ่นท็อปสุด Avantgarde Premium ก็ยังคงขายอยู่เหมือนเดิม ในบทความนี้ ผมได้มีโอกาสนำ Mercedes - Benz V 250 d Business PLUS มารีวิวให้กับทุกท่านได้รับชม ความน่าสนใจของรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร มีจุดไหนที่แตกต่างกับในรุ่นเริ่มต้น และรุ่นท็อปบ้าง เรามาดูกันครับ

รับชมรีวิวรูปแบบวีดีโอได้ที่นี่

ดีไซน์ภายนอก Mercedes-Benz V 250 d Business PLUS

Mercedes - Benz V 250 d Business PLUS มาในตัวถังที่สูงใหญ่ โดยมีความกว้าง 1,928 มม. ความยาว 5,370 มม. และความสูง 1,912 มม. ไฟหน้าเป็นแบบ LED lntelligent Light System ปรับลำแสงอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ พร้อมไฟ Day time Running ส่องสว่างเวลากลางวัน ซึ่งไฟหน้าของรุ่น Business Plus จะเหมือนกับในรุ่นท็อป Avantgarde Premium เลยครับ แต่ถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้น จะได้เป็นไฟหน้าแบบฮาโลเจน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดของความแตกต่างของแต่ละรุ่นย่อย

กระจังหน้าโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยโลโก้เมอร์เซเดสเบนซ์ขนาดใหญ่ และมีโครเมียมสองเส้นที่คาดยาวเป็นแนวนอน ซึ่งก็ช่วยเสริมให้ตัวรถมีความพรีเมี่ยมหรูหรา หากมองรวมๆด้านหน้าจะเห็นถึงการดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่ดูหรูหรา

สำหรับด้านข้าง จะเห็นได้ว่าตัวรถยาวพอสมควร กระจกด้านข้างบานใหญ่ ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้โดยสารที่นั่งภายในเมื่อมองออกมาภายนอกไม่รู้สึกอึดอัดแน่นอนครับ กระจกมองข้างพับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวให้ในตัว ที่ใต้กระจกมองข้างมีไฟสำหรับส่องสว่างยิงลงพื้นในเวลากลางคืน และที่กระจกมองข้างทางฝั่งขวาจะได้เป็นเลนส์แบบตัดแสง ส่วนฝั่งซ้ายจะได้เป็นกระจกเลนส์แบบธรรมดา

การเปิดฝาถังเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เราจะต้องเปิดประตูหน้าฝั่งซ้ายก่อน ถึงจะเปิดฝาถังได้ ซึ่งด้านบน (ฝาสีดำ) สำหรับเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนด้านล่าง (ฝาสีฟ้า) คือช่องเติม adblue

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยาง 225/55R17 ซึ่งทุกรุ่นย่อยไม่ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้นหรือรุ่นท็อปสุดก็จะได้ล้อลายนี้เหมือนกันทั้งหมด

ประตูด้านข้าง ทั้งฝั่งซ้ายและขวา เป็นแบบสไลด์ไฟฟ้า ซึ่งการเปิด-ปิด ทำสามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้งกดจากกุญแจรีโมท กดจากปุ่มตรงคอนโซลกลางคนขับ กดตรงปุ่มสีดำที่ขอบประตู และเปิด-ปิดได้ที่มือจับประตู

ไฟท้ายเป็นแบบ LED ซึ่งลำแสงของไฟท้ายตอนกลางคืนสวยงามมากครับ เป็นเส้น 3ขีดแนวตรง ส่วนไฟถอยจะได้เป็นหลอดไฟแบบฮาโลเจน

ในรุ่น Business PLUS จะมีกล้องถอยหลังมาให้ด้วยครับ ซึ่งกล้องหลังจะถูกพับซ่อนเก็บเอาไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน และเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอย ตัวกล้องก็จะกางออกมา ถือเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่ดูใส่ใจดีครับ ในขณะที่รุ่น Business ธรรมดา จะไม่มีกล้องหลังมาให้

ในรุ่น Business และ Business PLUS การเปิด-ปิดฝาท้าย จะเป็นแบบแมนนวลมือ ซึ่งจะแตกต่างกับในรุ่น Avantgarde Premium ที่จะได้ฝาท้ายแบบไฟฟ้า สำหรับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ก็มีขนาดใหญ่พอสมควร ซึ่งเราสามารถเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อีกด้วยครับ และที่ผนังฝั่งขวา จะมีช่องจ่ายไฟ 12V. และมีช่องสำหรับใส่แม่แรง

ดีไซน์ภายใน Mercedes-Benz V 250 d Business PLUS

ภายในมาในโทนสีดำหลังคาสีครีม ในรุ่น Business และ Business PLUS จะได้เป็นเบาะผ้า Santiago สีดำ และเบาะคู่หน้าจะเป็นแบบปรับแมนนวลมือ แต่ถ้าเป็นรุ่นท็อป Avantgarde Premium จะได้เป็นเบาะหนังปรับไฟฟ้าพร้อมเมมโมรี่ 3 จุด

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นจับถนัดกระชับมือ พร้อมปุ่มสำหรับควบคุมหน้าจอเรือนไมล์ และจอเครื่องเล่นตรงกลาง และยังมีปุ่มสำหรับรับสาย วางสาย ปุ่มปรับเพิ่มเสียง ลดเสียง

ด้านหลังของพวงมาลัยมีแป้น Paddle Shift สำหรับเล่นเกียร์ + - และที่ฝั่งซ้ายของพวงมาลัยจะมีก้านอยู่สองก้าน ก้านบนสำหรับควบคุมที่ปัดน้ำฝน ก้านล่างสำหรับควบคุม Cruise Control และตั้ง Limit ความเร็ว ส่วนก้านที่อยู่ฝั่งขวาของพวงมาลัยคือคันเกียร์

จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ระบบปฏิบัติการ MBUX และเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอย หน้าจอจะแสดงภาพเป็นกล้องถอย ซึ่งเราสามารถเลือกมุมมองได้สองแบบ คือมุมแคบ และมุมกว้าง นอกจากนี้เรายังสามารถตั้งค่าต่างๆเกี่ยวกับตัวรถผ่านที่จอตรงนี้ได้เลย แต่ถ้าไม่อยากใช้นิ้วกดให้หน้าจอเปื้อนรอยนิ้ว ก็สามารถใช้ Touchpad แทนได้

วิธีใช้ Touchpad ก็ง่ายมากครับ เพียงแค่ใช้นิ้วเลื่อนแล้วกดคลิก ซึ่งแป้น Touchpad นี้ จะมีให้เฉพาะรุ่น Business PLUS และ Avantgarde Premium เท่านั้น

ในส่วนของระบบแอร์ ที่ตอนหน้าจะเป็นแอร์แบบอัตโนมัติ 1 โซน และมีแอร์ตอนหลังแยกมาให้อีก 1 โซน พร้อมช่องแอร์ครบทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะนั่งตำแหน่งไหนก็เย็นฉ่ำแน่นอนครับ

เบาะแถวสอง และแถวสาม สามารถเลื่อนหน้า-หลังได้ นั่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัด มีพื้นที่ใช้สอยเยอะมากครับ และมีจุดยึดเบาะเด็กให้ทุกตำแหน่ง โดยในรุ่น Business และ Business Plus ภายในจะไม่โดดเด่นเท่ากับในรุ่นท็อป เพราะรุ่นนี้เหมาะสำหรับการนำไปตกแต่งเพิ่ม เช่นทำเป็นเบาะผู้สูงอายุ หรือตกแต่งภายในให้เป็น VIP เป็นต้น แต่ถ้าเป็นรุ่น Avantgarde Premium จะได้เป็นเบาะหนัง Lugano สีเบจ พร้อมระบบนวดหลังไฟฟ้า ซึ่งก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละคน ว่าต้องการนำรถไปใช้งานแบบไหน

เครื่องยนต์ Mercedes-Benz V 250 d

Mercedes Benz V 250 d ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2,143 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว พ่วงด้วยเทอร์โบ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) ให้กำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,400-2,400 รอบ/นาที ความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร ผ่านมาตรฐานค่าไอเสีย Euro 6

ทดสอบการขับขี่ Mercedes-Benz V 250 d Business PLUS

ก่อนที่จะได้ขับ ความคิดในหัวผมตอนนั้นคือ รถทรงแบบนี้ ขับแค่ 120 กม./ชม. หรือเข้าโค้งแรงๆ รถต้องส่ายแน่นอน แล้วเครื่องแค่ 2.1 ลิตร กับตัวรถคันใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้มีเทอร์โบพ่วงมาให้ก็เถอะ จะวิ่งไหวเหรอ ? แต่แล้วความคิดของผมก็เปลี่ยนไป เมื่อได้สัมผัส

จังหวะที่ขับออกตัว เพียงแค่เราอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D แล้วปล่อยเบรก ตัวรถก็พร้อมเคลื่อนที่แบบไร้แรงหน่วง เมื่อเติมคันเร่งเข้าไปอีกนิดรอบเครื่องกับความเร็วทำงานสัมพันธ์กัน กำลังของเครื่องยนต์ถูกเค้นออกมาแทบไม่ต่างกับรถเก๋ง ซึ่งก็พอจะเดาออกได้ทันทีว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ มีกำลังเหลือเฟือที่จะแบกตัวถังใหญ่โตได้แบบสบายๆในช่วงออกตัว แต่สิ่งที่ยังคาใจคือความเร็วปลาย และระบบช่วงล่าง

วันรุ่งขึ้นผมไม่รอช้า พาทีมงานออกไปทดสอบทางยาวๆแบบข้ามจังหวัดกันไปเลย ในการทดสอบ ผมขอแยกทีละโหมดการขับขี่เลยนะครับ

  • โหมด ECO  ในโหมดนี้ การตอบสนองของเครื่องยนต์และคันเร่งจะมาแบบเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับอืดนะครับ เมื่อลองทดสอบขับเร่งแซงในโหมดนี้ ยังสามารถทำได้แบบมั่นใจอยู่ เพียงแต่กำลังของเครื่องยนต์จะหน่วงๆไปหน่อย เหมาะกับการขับแบบเน้นประหยัดน้ำมัน ไม่เร่งรีบ หรือเอาไว้ใช้ขับในเมืองตอนรถติดน่าจะเหมาะที่สุด
  • โหมด Comfort สำหรับโหมดนี้ คือโหมดการขับขี่แบบปกติ หรือโหมด Normal นั่นเอง เป็นโหมดที่เหมาะสมที่สุดในการใช้งานของรถคันนี้แล้วล่ะครับ ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ ทั้งขับแบบช้าๆ หรือขับแบบเร่งรีบ ในโหมดนี้กำลังเครื่องยนต์มาแบบเหลือๆ เร่งแซงทันใจแบบไม่ต้องลุ้น เครื่องยนต์ไม่กระชาก ต่อเกียร์แบบนิ่มๆ
  • โหมด Sport คือโหมดที่แรง และขับสนุกที่สุดในรถคันนี้ครับ รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น พร้อมที่จะให้เรากระแทกคันเร่งอยู่ตลอดเวลา ขับสนุก ขับมัน เร่งแซงได้ทันใจ แบบไม่ต้องลุ้นเลย
  • โหมดแมนนวล คือโหมดการขับขี่เปลี่ยนเกียร์แบบตามใจเรา อยากลากรอบแค่ไหนก็ลาก จากเปลี่ยนเกียร์ตอนไหนก็เปลี่ยน คล้ายๆกับการขับรถเกียร์ธรรมดานั่นแหละครับ เอาไว้เล่นเกียร์สนุกๆเวลาอยากซิ่ง หรือชิงไฟ

แต่โหมดที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดในรถคันนี้คือโหมด Comfort การขับลอยตัวที่ย่านความเร็ว 120 กม./ชม. รถคันนี้ใช้รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณสองพันนิดๆ ซึ่งก็ถือว่ารอบเครื่องไม่สูงมาก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อรอบเครื่องยนต์ไม่สูง เครื่องยนต์ก็ไม่ทำงานหนัก

บางช่วงที่ถนนโล่งๆ ได้มีโอกาสกดคันเร่งได้แบบเต็มที่เหยียบแช่อยู่สักพัก เหลือบตามามองที่เรือนไมล์ โอ้แม่เจ้า !!! เข็มไมล์ทะลุ 200 กม./ชม. ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบขนาดนั้น แต่ด้วยความเงียบภายในห้องโดยสาร บวกกับภาพบรรยากาศภายนอกมันค่อยๆเลื่อนไปแบบช้าๆ คิดว่าขับอยู่แค่ 120 กม./ชม. แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ ช่วงล่างนิ่งมาก ทีมงานที่อยู่ภายในรถ นั่งเล่นโทรศัพท์กันแบบไม่รู้ตัว โดยปกติของรถตู้ทั่วๆไป หากช่วงล่างไม่ย้วย ก็จะกระด้างไปเลย แต่ Mercedes-Benz V 250 d ช่วงล่างซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีมากครับ
การเข้าโค้งที่ความเร็ว 140 กม./ชม. ที่เป็นโค้งปกติ ไม่ใช้โค้งหักศอก ทำได้สบายมากๆ ตัวรถไม่มีออกอาการใดๆทั้งสิ้น จากนั้นได้ลองเพิ่มความเร็วเป็น 170 กม./ชม. ก็ยังคงทำได้ดีอยู่ การเก็บเสียงก็เช่นกัน หากใช้ความเร็วไม่เกิน 160 กม./ชม. แทบไม่ได้ยินเสียงลมเลย ถือเป็นรถตู้ที่เก็บเสียงได้ดีมากๆคันนึงเลยทีเดียว

ซื้อรุ่นไหนดี ? ระหว่าง

  • Mercedes Benz V 250 d Business ราคา 3.99 ล้านบาท
  • Mercedes Benz V 250 d Business PLUS ราคา 4.15 ล้านบาท
  • Mercedes Benz V 250 d Avantgarde Premium ราคา 5.88 ล้านบาท

หากคุณต้องการซื้อเพื่อเอาไปแต่งภายในเพิ่ม ไม่เน้นออปชั่นเยอะ เพราะตั้งใจจะเอาไปใส่ออปชั่นที่คุณต้องการในภายหลังอยู่แล้ว รุ่นเริ่มต้น Business ราคา 3.99 ล้านบาท คือทางเลือกที่เหมาะสม ได้ระบบช่วงล่าง และความปลอดภัยพื้นฐานเหมือนกับในรุ่น Business PLUS เช่น โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ADAPTIVE ESP® (Electronic Stability Program) ,ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ,ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration Skid Control) ,ระบบรักษาการทรงตัวกรณีมีลมขวางปะทะตัวรถด้านข้าง (Crosswind Assist) ,ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill-Start Assist) ,ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise Control) ,ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light) ,ถุงลมนิรภัยด้านหน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า,ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)

แต่ถ้าคุณมองว่าออปชั่นในรุ่นเริ่มต้นมีให้น้อยเกินไป อยากได้เพิ่มอีก รุ่น Business PLUS ราคา 4.15 ล้านบาท คือทางเลือกที่น่าสนใจ สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มจากรุ่น Business คือ ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System (เหมือนกับในรุ่นท็อป Avantgarde Premium) ,กระจกมองข้างฝั่งคนขับ และกระจกกลาง ตัดแสง ,ระบบปฏิบัติการมัลติมีเดีย MBUX หน้าจอขนาด 7 นิ้ว พร้อม Touchpad ,กล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง

และถ้าคุณต้องการออปชั่นแบบจัดเต็ม เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา รุ่น Avantgarde Premium ราคา 5.88 ล้านบาท ตอบโจทย์คุณแน่นอน สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มจากในรุ่น Business Plus คือ ฝาท้ายไฟฟ้า ,ระบบช่วงล่างแบบ Comfort ,เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมเมมโมรี่ 3 จุด ,ไฟเรืองแสในห้องโดยสารปรับได้ 3 สี ,แอร์หน้า 2โซน ,เบาะหนัง Lugano สีเบจ ,เบาะหลังนวดด้วยระบบไฟฟ้า ,ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) ,ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® system ,ระบบช่วยเตือนหากมีรถคันอื่นอยู่ในมุมอับสายตาในขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Assist) ,ระบบช่วยเตือนให้ขับขี่อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist) ,กล้องแสดงภาพแบบรอบทิศทาง (360º camera) ,กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ (Reversing camera

สรุปโดยรวม

ในเรื่องของการดีไซน์ ส่วนตัวแล้วผมมองว่าเป็นรถที่ออกแบบเรียบง่าย แต่ได้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่หรูหรา ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถครอบครัว หรือการทำเป็นรถผู้บริหาร โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ ในเรื่องของวัสดุ งานประกอบ ยังคงรักษามาตรฐานได้ดี ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com  
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่ 
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ