หากพูดถึงรถในฝันของชาวออฟโรด หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Jeep ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เป็นรถสายลุยขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถลุยฝ่าพื้นที่แอดเวนเจอร์ไปได้ทุกหนทุกแห่ง พร้อมดีไซน์หน้าตาที่มีเอกลักษณ์
แรกเริ่มเดิมทีรถ Jeep ถูกใช้ในทางการทหาร ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1940 จากนั้นความต้องการรถ Jeep ก็แพร่หลายเป็นวงกว้างจนรู้จักกันทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะพบเห็นรถ Jeep ในบอดี้ตัวถังแบบ เอสยูวี แต่สำหรับบอดี้แบบกระบะนั้น จะพบเห็นกันน้อยมาก ต่อมาประมาณปี 2020 ทาง Jeep ก็ได้เปิดตัวรถกระบะรุ่นล่าสุดในชื่อ Jeep Gladiator จาก Jeep P&S ที่เพียบพร้อมทั้งในแง่ของรูปลักษณ์ดีไซน์ และความอเนกประสงค์ในการใช้งาน
รับชมรีวิวรูปแบบวีดีโอ ได้ที่นี่
ในบทความนี้ ทีมออโต้สปินน์ได้มีโอกาสขับทดสอบ Jeep Gladiator Rubicon ซึ่งเป็นการทดสอบทั้งออนโรด และออฟโรด จึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังครับ
ดีไซน์ภายนอก Jeep Gladiator Rubicon
ภายนอกดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ มองเห็นแต่ไกลก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นรถ Jeep ด้วยการใช้กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมช่องระบายแนวตั้ง 7 ช่อง ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่ถูกส่งต่อมาจากรถ Jeep รุ่นแรกๆ และถ้าสังเกตตรงกระจังช่องที่ 4 จะพบกับกล้องหน้ารถพร้อมตัวฉีดน้ำล้างกล้อง
ไฟหน้า LED ขนาดไม่ได้ใหญ่มากนัก มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ แสงสว่างของไฟหน้าตอนกลางคืน สว่างคมชัดมากครับ ลำแสงไม่ฟุ้งเส้นคัทออฟชัดเจน ส่วนไฟเลี้ยวถูกติดตั้งแยกมาอยู่ตรงบังโคลน และไฟตัดหมอกจะอยู่ที่ด้านล่างสุดตรงกันชน
สำหรับกันชนด้านหน้า จะเป็นชิ้นพลาสติกสีดำ แต่ในเรื่องของความแข็งแกร่งนั้นไม่ต้องกังวลครับ เพราะคานกันชนด้านในเป็นเหล็กทั้งหมด ลุยได้เต็มที่แน่นอน พร้อมกับมีขอเกี่ยวสีแดงเอาไว้สำหรับลากรถ
ในส่วนของกระจกหน้ารถนั้น สามารถพับได้ ซึ่งการพับกระจกหน้ารถ เราจะต้องถอดที่ปัดน้ำฝนออกก่อน จากนั้นปลดสลักที่อยู่ภายในรถ และดันกระจกมาพิงไว้กับฝากระโปรงหน้า
นอกจากนี้ หลังคา และประตูทั้ง 4 บาน ยังสามารถถอดได้อีกด้วยครับ เมื่อถอดออกแล้วตัวรถจะดูดิบมาก เหมาะกับการใช้งานในป่า กินลมชมวิวสัมผัสอากาศธรรมชาติได้แบบเต็มๆ
ที่แก้มข้างทั้งฝั่งซ้ายและขวา จะมีสติ๊กเกอร์คำว่า Rubicon เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความท๊อปสุดของรุ่น
สำหรับบันไดข้าง ของจริงจะเป็นขอบเหล็ก แต่สำหรับคันนี้ทาง Jeep P&S นำบันไดเหยียบมาติดตั้งเพิ่มเป็นอุปกรณ์เสริม
ล้อขนาด 17 นิ้ว สีเทาปัดขอบเงิน รัดด้วยยางขนาด 225/75R17 เป็นยาง Mud Terrian ที่เน้นการใช้งานทางออฟโรดเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้กับทางออนโรดได้เหมือนกันครับ แต่เสียงจะดังหน่อย
สำหรับไฟท้าย มาในดีไซน์ที่ดูแปลกตา เพราะไม่ได้ฝังไว้ที่ตัวกระบะ แต่แปะให้นูนออกมา ในเรื่องของการใช้งานนั้นก็มีแสงสว่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน มีกล้องมองหลังให้ และฝากระบะท้ายมีระบบผ่อนแรง น้ำหนักเบามือมากครับ
ดีไซน์ภายใน Jeep Gladiator Rubicon
อย่างที่บอกไปในตอนต้น ว่าหลังคาสามารถแยกส่วนและถอดออกได้ ดังนั้นแผ่นบุใต้หลังคาจึงไม่จำเป็นต้องใส่มาให้ และด้วยความที่คันนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นรถสายลุยและสามารถขับลุยน้ำได้ลึกประมาณ 70 ซม. ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าเราขับลุยน้ำด้วยความสูงเท่านี้แล้ว น้ำต้องเข้ามาในห้องโดยสารแน่ๆ ทางทีมออกแบบจึงต้องตัดฟังก์ชั่นเบาะปรับไฟฟ้าออก แล้วให้มาเป็นเบาะแบบปรับแมนนวลมือแทน พร้อมกับย้ายลำโพงขึ้นที่สูงไปอยู่บนคานหลังคา เพื่อป้องกันความเสียหายเมื่อขับลุยน้ำ
และเนื่องจากในรุ่นนี้ สามารถถอดประตูออกได้ทั้ง 4 บาน ดังนั้นระบบไฟฟ้าต่างๆที่อยู่ตรงแผงประตูเช่น ปุ่มเปิด-ปิดกระจกหน้าต่าง จึงต้องย้ายมาที่คอนโซนกลางแทน
แม้ภายในจะดูดิบ แต่ก็เป็นความดิบในสไตล์ที่หรูหรา ด้วยการเล่นสีสันที่ชุดแผงคอนโซลหน้าสีดำแดง มีหน้าจอเครื่องเล่นขนาดใหญ่ถึง 8.4 นิ้ว ที่ใช้งานได้หลากหลาย รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และจอกลางนี้เรายังสามารถเข้าไปดูสถานะ หรือตั้งค่าระบบต่างๆของตัวรถได้ เช่น ดูการทำงานของระบบขับเคลื่อน ,เปิดแผนที่นำทาง,เปิดกล้องหน้ารถ เป็นต้น
ถัดลงมาด้านล่างคือชุดควบคุมแอร์แบบ 3 โซน และยังมีปุ่ม idle Stop ,ปุ่ม Traction Control,ปุ่มช่วยขับขึ้น-ลงทางลาดชัน ถัดลงมาจากชุดควบคุมแอร์ จะเป็นสวิตช์สำหรับการปรับกระจกไฟฟ้า
และทีเด็ดของเจ้าคันนี้ ก็คือชุดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่เป็นแบบ Diff-Lock ไฟฟ้า เลือกการทำงานของระบบขับเคลื่อนได้ ว่าจะให้ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง หรือขับเคลื่อนสี่ล้อ และมีปุ่ม Sway Bar สำหรับตัดการทำงานของเหล็กกันโคลงด้านหน้า
จอเรือนไมล์ขนาดใหญ่ สำหรับดูข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรถ และยังสามารถดูแผนที่นำทางได้อีกด้วยครับ
เครื่องยนต์ Jeep Gladiator Rubicon
Jeep Gladiator Rubicon คันนี้ใช้เครื่องยนต์ เบนซิน 3.6 ลิตร V6 ให้กำลังสูงสุด 285 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร เป็นเครื่อง NA ไม่มีเทอร์โบพ่วง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4x4 AWD ความเร็วจาก 0-100 ใช้เวลา 7.4 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 8.4 กม./ล.
ขับทดสอบ Jeep Gladiator Rubicon
ในเรื่องของอัตราเร่งช่วงออกตัว แม้ว่ารถจะมีตัวถังขนาดใหญ่ และไม่มีเทอร์โบพ่วงมาให้ แต่จากการทดสอบ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ เพราะพลัง 285 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะแบกตัวถังขนาดใหญ่ให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าแบบไร้แรงหน่วง การทดสอบในช่วงแรกคือการใช้งานจริงบนถนนที่มีการจราจรแออัด จากการทดสอบ ถือเป็นรถที่ขับง่าย ระดับสายตาของผู้ขับขี่อยู่ในมุมสูงจนเราสามารถมองข้ามรถที่อยู่ด้านหน้าได้ ทำให้เรารู้ตัวก่อนที่คันหน้าจะเบรก แต่ด้วยตัวรถที่มีขนาดยาว 5,591 มม. กว้าง 1,894 มม. สูง 1,843 มม. เมื่อวิ่งบนถนนรถแทบจะเต็มเลน การตีวงเลี้ยว หรือขับเปลี่ยนเลนจึงต้องเผื่อระยะมากกว่ารถกระบะทั่วๆไป แต่พอขับไปสักพักจนคุ้นชินกับรถ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ พวงมาลัยไม่หนักมาก ขับง่าย
การขับขี่บนถนนโล่ง แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดใหญ่ถึง 3.6 ลิตร แต่ก็เป็นรถที่ไม่เหมาะกับการขับเร็วมากนัก เพราะจุดประสงค์การออกแบบของคันนี้ คือออกแบบมาเพื่อลุย และยางที่ใช้ก็คือยาง Mud Terrian จะหนึบและเกาะถนนมากเมื่อเป็นทางออฟโรด แต่ถ้าวิ่งบนทางออนโรดประสิทธิภาพในการใช้งานจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากคุณใช้ความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม. เสียงยางจะดังเข้าตัวรถจนคุยกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ ไม่รู้เรื่อง และการควบคุมพวงมาลัยที่ความเร็วมากกว่า 130 กม./ชม. จะคุมยากกว่า เพราะยางไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนถนนเรียบเป็นหลัก และการปรับจูนพวงมาลัยของรถแนวนี้ เค้าจะไม่เน้นคม แต่จะมีระยะฟรีของพวงมาลัยอยู่เล็กน้อย
การขับขี่บนเส้นทางออฟโรด ทางที่คิดว่าไม่น่าจะไปได้ แต่เจ้าคนนี้ขับผ่านไปได้แบบพริ้วเลยครับ ระบบขับเคลื่อนมีตั้งแต่ 2WD ไปจนถึง 4x4 Lo ขึ้นอยู่กับว่าสภาพพื้นผิวถนนในตอนนั้น ต้องการใช้กำลังในการปีนป่ายแค่ไหน หากไม่ได้ขับลุยมากนัก ใช้แค่โหมด 4x4 Hi ก็เอาอยู่แล้วครับ และถ้าเป็นทางแบบโหดๆ ที่ต้องใช้กำลังช่วงออกตัวเยอะก็ค่อยใช้ 4x4 Lo
นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆครับ ช่วงที่เป็นทางขึ้นเนินรถจะค่อยๆไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ และช่วงที่เป็นทางลง เราไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเบรกเลย ระบบจะทำให้เอง เรามีหน้าที่แค่บังคับควบคุมพวงมาลัย
และสิ่งที่ชาวออฟโรดต้องพบเจอบ่อย คือขณะที่กำลังไต่อยู่บนทางชัน หน้ารถจะเชิด ทำให้ผู้ขับขี่มองไม่เห็นเส้นทางที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายมากครับ แต่สำหรับคันนี้ หมดกังวลได้เลย เพราะผมใช้วิธีเปิดกล้องหน้ารถ แล้วดูเส้นทางถนนผ่านที่หน้าจอ และยังมีเส้นนำเลี้ยวให้อีกด้วยครับ สะดวกสุดๆไปเลย
อีกจุดเด่นของ Gladiator Rubicon คือ ปุ่ม Sway Bar ซึ่งเป็นตัวที่ทำหน้าที่ตัดการเชื่อมต่อเหล็กกันโคลงด้านหน้า ประโยชน์ของปุ่มนี้ คือเอาไว้ใช้เมื่อต้องขับผ่านเส้นทางที่เป็นเนินสลับ หรือเนินที่มีความลาดเอียง หรือใช้ในกรณีที่ช่วงล่างติดเนินจนล้อแขวนลอย ซึ่งเป็นปัญหาที่ชาวออฟโรดพบเจอกันบ่อย แต่สำหรับ Gladiator Rubicon เมื่อเรากดปุ่ม Sway Bar จะเป็นการตัดการทำงานของเหล็กกันโคลงด้านหน้า ทำให้ล้อรถทิ้งตัวลงพื้นอย่างเป็นอิสระ ช่วยให้ผ่านเส้นทางที่เป็นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย แต่เงื่อนไขของการใช้ปุ่ม Sway Bar คือเราจะต้องอยู่ในโหมดขับเคลื่อน 4x4 Hi หรือ 4x4 Lo เท่านั้น
สรุปโดยรวม ถ้าถามว่า Jeep Gladiator Rubicon เหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง ผมขอตอบว่า เป็นรถที่สามารถใช้งานได้ทั้งในเมืองและนอกเมืองครับ ขับไปทำงานได้ ขับไปส่งลูกที่โรงเรียนได้ แต่ถ้ามองตามหลักของความเป็นจริงแล้ว รถประเภทนี้ ถ้าจะดึงสมรรถนะออกมาได้เต็มที่ก็ต้องพาไปอยู่ในที่ที่เจ้าคันนี้ถนัด นั่นก็คือทางออฟโรด หากคุณกำลังมองหาที่สุดของรถกระบะเพื่อใช้ออกทริปออฟโรดกับเพื่อนๆ บอกเลยว่าคันนี้ตอบโจทย์การใช้งานแน่นอนครับ ในราคาค่าตัว 5,500,000 บาท
และถ้าท่านใดสนใจ Jeep Gladiator Rubicon หรือ Jeep รุ่นอื่นๆ ก็สามารถรับชมตัวจริงได้ที่โชว์รูม Jeep P&S ได้เลยครับ หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 02 1021863
ความคิดเห็น