รีวิว Honda Civic e:HEV RS แรง นุ่ม ประหยัด ของดีที่ต้องลอง Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Honda Civic e:HEV RS แรง นุ่ม ประหยัด ของดีที่ต้องลอง

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 23 June 2565

Honda Civic e:HEV RS ขุมพลังฟูลไฮบริด 2.0 ลิตร ที่ไม่ได้มีดีแค่ประหยัดน้ำมัน แต่ยังมาพร้อมความแรง และช่วงล่างที่นุ่มลงตัว


ฮอนด้า ซีวิค (Honda Civic) เป็นอีกหนึ่งรุ่น ที่ครองใจชาวไทยมาอย่างยาวนาน จนปัจจุบันก้าวเข้าสู่ เจเนอเรชันที่ 11 หลังจากที่โฉมนี้เปิดตัวไปด้วยรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 Turbo ก็ได้เสียงตอบรับที่ดีจากสาวกฮอนด้า แต่ด้วยคู่แข่งที่ชิงเปิดตัวรุ่นไฮบริดไปก่อน จึงทำให้ถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดของลูกค้ากลุ่มนี้ไป จนวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ฮอนด้า จะขอแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดคืน ด้วยการเปิดตัว Honda Civic e:HEV ยนตรกรรมไฮบริด C Secment

ในบทความนี้ ออโต้สปินน์ได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบ Honda Civic e:HEV เป็นครั้งแรกหลักจากที่เปิดตัว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางฮอนด้าจัดขึ้น เพื่อให้สื่อมวลชนสายยานยนต์ได้สัมผัสถึงสมรรถนะยนตกรรมไฮบริด บนเส้นทาง จากอำเภอเมืองเชียงราย ถึง อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางไป-กลับ 151 กิโลเมตร และรถที่ทีมงาน Autospinn ใช้เดินทางในทริปนี้ คือรุ่น Civic e:HEV RS ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุด ราคา 1,259,000 บาท

ดีไซน์ภายนอก Honda Civic e:HEV RS

Civic e:HEV RS มาพร้อมดีไซน์สุดเอกซ์คลูซีฟรอบคัน กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม ที่กึ่งกลางกระจังใช้เป็นโลโก้ฮอนด้าขอบสีฟ้า ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความเป็นยนตกรรมไฮบริด กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS ไฟหน้าเป็นแบบ Full LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ และยังมีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติมาให้อีกด้วยครับ ที่ด้านบนของกระจกหน้ารถจะเห็นได้ว่ามีกล้อง ซึ่งกล้องตัวนี้ทำหน้าที่ในการจับวัตถุ ทำงานให้กับระบบความปลอดภัยหลายระบบของรถคันนี้ รวมไปถึงระบบความปลอดภัย Honda SENSING ด้วย

ดีไซน์ด้านข้างเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย มีลายเส้นด้านข้างที่เป็นเส้นตรง ลากยาวตั้งแต่ช่วงแก้มหน้าจรดถึงตัวถังด้านท้าย มือจับประตูเป็นสีโครเมี่ยมรมดำ หากกุญแจรถอยู่ที่ตัว เรามาสามารถเปิดเข้าไปนั่งภายในรถได้เลย เวลาจะล๊อครถเพียงแค่ใช้นิ้วสัมผัสเบา ๆ ที่รอยบากตรงมือเปิด (ทำได้เฉพาะประตูคู่หน้า) และในกรณีที่เราอยู่นอกรถโดยที่ลืมล๊อคประตู ระบบจะล๊อคให้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้มีชื่อว่า Walk Away Auto Lock และในรุ่น RS นี้ จะได้เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ

กระจกมองข้างสีดำเงา พับและปรับได้ด้วยไฟฟ้า มีไฟเลี้ยวให้ในตัว ที่ใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้าย มีกล้องมาให้ 1 ตัว ซึ่งกล้องตัวนี้จะทำงานในระบบความปลอดภัย Honda LaneWatch เมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวซ้าย จะขึ้นเป็นภาพแสดงให้ที่หน้าจอในรถ ซึ่งเป็นอีกระบบความปลอดภัยที่ช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากมุมอับสายตาในขณะขับขี่

สำหรับล้อแม็กซ์ในรุ่นนี้ ก็สวยงามเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จะได้เป็นล้อขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 235/40R18 และเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

สปอยเลอร์หลังสีดำเงาซึ่งจะมีเฉพาะในรุ่น RS ไฟท้ายเป็นแบบ LED มีกล้องหลังให้ กันชนแบบสปอร์ต พร้อมไฟทับทิม

ดีไซน์ภายใน Honda Civic e:HEV RS

ภายในห้องโดยสารมาในลุคของความสปอร์ต ด้วยเบาะหนังกลับและวัสดุสังเคราะห์ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต เบาะฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะทางฝั่งซ้ายปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

พวงมาลัยหุ้มหนังเดินด้ายเย็บสีแดง มีปุ่มมัลติฟังก์ชันฝั่งซ้ายสำหรับควบคุมจอเครื่องเล่นตรงกลาง ส่วนปุ่มทางฝั่งขวาสำหรับตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และปุ่มตั้งระยะห่างระหว่างรถเรากับคันหน้า ปุ่มรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน

จอเรือนไมล์แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว สำหรับดูค่าต่าง ๆ ของตัวรถ

จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีนขนาด 9 นิ้ว Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto มีระบบสั่งการด้วยเสียงผ่าน SIRI และระบบเชื่อมต่อ Honda Connect

และถ้าหากเปิดไฟเลี้ยวซ้าย หรือกดปุ่มที่อยู่ปลายก้านทางฝั่งขวา กล้องที่อยู่ใต้กระจกมองข้างฝั่งซ้ายจะทำงาน หน้าจอกลางในรถจะขึ้นเป็นภาพด้านซ้ายของตัวรถ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Honda LaneWatch เป็นระบบความปลอดภัยเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากมุมอับสายตา

แอร์แบบออโต้แยกอิสระซ้าย-ขวา ดีไซน์ของช่องแอร์เป็นแบบรังผึ้งสีเงิน พร้อมสวิตช์ปรับทิศทางแอร์แบบก้านโยก
ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ใช้งานง่าย เพียงแต่เอาโทรศัพท์ไปวาง ไฟก็จะชาร์จเข้าแบตทันที และข้าง ๆ กันจะมีช่องจ่ายไฟ 12 V. และช่องต่อ USB Type-A 2 ช่อง

หัวเกียร์จับถนัดกระชับมือ แต่ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบดีไซน์แบบนี้สักเท่าไหร่ ผมว่ามันดูลีบและยาวไป

มีปุ่มสำหรับปรับเปลี่ยนโหมดขับขี่ 3 โหมด คือ Econ ,Normal ,Sport ถัดลงมาข้าง ๆ กันจะเป็นปุ่มเบรกมือไฟฟ้า และปุ่ม Brake Hold

เบาะหลังนุ่มกำลังดี จากการทดสอบนั่งโดยสารทางไกล ไม่ได้รู้สึกเมื่อยครับ ในรุ่นนี้ ทางฮอนด้าได้เพิ่มแอร์หลังมาให้แล้ว และเบาะหลังยังสามารถพับได้แบบ 60:40 อีกด้วยครับ ในส่วนของแบตเตอรี่ไฮบริด ตำแหน่งการวางจะอยู่ใต้ที่นั่งเบาะหลัง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เสียพื้นที่ในการโดยสาร หรือการบรรทุกของแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ Honda Civic e:HEV

Honda Civic e:HEV ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขุมพลังฟูลไฮบริด ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันจะได้พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และใช้เป็นแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตาม Eco Sticker 25 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 96 กรัม/กิโลเมตร

ซึ่งตอนแรกผมก็สงสัยครับ ว่าเครื่องตัวนี้ ใช่เครื่องเดียวกันกับที่อยู่ในแอคคอร์ดไฮบริด หรือเปล่า แต่จากการสอบถามทีมวิศวะกรที่ออกแบบ เขาตอบมาว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ เป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ ยังไม่เคยใช้ในบอดี้ไหนมาก่อน ในส่วนของเกียร์จะเป็นลูกเดียวกันกับที่ใช้ใน แอคคอร์ด ไฮบริด แต่ผ่านการปรับจูนใหม่ ให้เหมาะกับการใช้งาน

ทดสอบขับขี่ Honda Civic e:HEV RS

ในเรื่องของอัตราเร่ง ไม่มีอะไรน่ากังวล ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำให้แบกตัวถังที่มีน้ำหนักรวม 1,429 กิโลกรัม ไปได้แบบสบาย ๆ ช่วงออกตัวเพียงแค่ยกเท้าออกจากเบรก ตัวรถก็พร้อมเคลื่อนที่แบบไร้แรงหน่วง พอเติมคันเร่งเข้าไปอีกนิดสัมผัสได้ถึงความแรงแม้จะอยู่ในโหมด ECON ก็ตาม จากการทดสอบจาก 0-100 ในโหมดสปอร์ต จะใช้เวลาประมาณ 7.9 วินาที ซึ่งก็ถือว่าแรงใช้ได้เลยทีเดียวครับ ส่วนความเร็วสูงสุด จากการทดสอบเลขไมล์จะไปตันอยู่ที่ 191 กม./ชม. ซึ่งจริง ๆ แล้วกำลังเครื่องมันยังไปได้อีกเยอะครับ แต่เหตุผลที่ทางทีมวิศวกรต้องล๊อคความเร็วไว้เท่านี้ ก็เพื่อป้องกันมอเตอร์เสียหายนั่นเองครับ

ในช่วงที่เข้าโค้งด้วยความเร็ว 140 กม./ชม. ตัวรถทำได้นิ่งมากครับ เพราะมีการปรับจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงจากในรุ่น 1.5 Turbo จึงส่งผลให้พวงมาลัยควบคุมง่าย และน้ำหนักของพวงมาลัยปรับเซ็ทมาดีมากครับ ถ้าวิ่งที่ความเร็วต่ำจะเบามือไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่พอใช้ความเร็วสูง พวงมาลัยจะตึงมือขึ้น ขับเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ

และด้วยความที่รุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด การวางแบตเตอรี่จะวางที่ช่วงท้ายรถ และมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากรุ่น 1.5 Turbo ราว ๆ 100 กิโลกรัม ทางทีมออกแบบจึงต้องปรับเซ็ทช่วงล่างใหม่ด้วยการเพิ่มค่า K สปริง ให้มากขึ้นกว่าเดิม 10% รวมไปถึงตัวกระบอกโช้คก็ได้มีการปรับใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับน้ำหนัก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นถือว่าดีเกินคาดเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง จังหวะที่ขับจั๊มเนินหรือคอสะพาน ไม่โยน ไม่ย้วย ซึ่งในจุดนี้ผมชอบมากครับ ประกอบกับในรุ่นนี้ ได้เพิ่มระบบ ANC (Active Noise Control) จะทำหน้าที่ลดเสียงรบกวนโดยตรง เช่น ช่วยลดเสียงรบกวนในช่วงที่รถวิ่งอยู่บนถนนขรุขระ และระบบ ASC (Active Sound Control) ที่ช่วยเสริมแต่งเสียงเครื่องยนต์ให้เหมาะสม มีความเร้าใจเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

สำหรับพระเอกของระบบความปลอดภัยที่ให้มานั้น คงหนีไม่พ้น HONDA SENSING 6 ระบบ คือ

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก : หากเราขับรถมาแบบเพลินๆ แล้วรถคันหน้าเบรกแบบกะทันหัน หรือขับจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป ที่หน้าจอเรือนไมล์จะมีสัญลักษณ์และเสียงเตือน และระบบจะช่วยเบรกให้แบบอัตโนมัติหากอยู่ในระยะที่เริ่มไม่ปลอดภัย
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน : เมื่อเราล็อกความเร็วเอาไว้ เราสามารถยกเท้าออกจากคันเร่งได้เลย หากคันหน้าเบรก รถเราก็จะเบรกตามจนถึงจุดหยุดนิ่ง หากคันหน้าเพิ่มความเร็ว รถเราก็จะเพิ่มความเร็วตามจนถึงความเร็วที่เราล็อกเอาไว้ นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งระดับของความห่างระหว่างคันหน้าได้ถึง 4 ระดับครับ
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ : หากเราเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมกับหน่วงพวงมาลัยดึงให้ตัวรถกลับเข้ามาในเลน หากใครยังไม่ชินกับระบบนี้อาจรู้สึกหงุดหงิด เพราะพวงมาลัยจะขืนเมื่อเราขับทับเส้นเลนถนน แต่สำหรับผม ผมว่าเป็นระบบที่ดีเพราะช่วยสร้างวินัยในการขับรถ ทำให้การเปลี่ยนเลนจะต้องเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ : การใช้งานระบบนี้ เราจะต้องกดปุ่มที่ฝั่งขวาของพวงมาลัย โดยระบบนี้กล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า จะตรวจจับเส้นเลนถนน และจะบังคับควบคุมตัวรถให้อยู่กึ่งกลางของเลน และในทางโค้งพวงมาลัยก็จะหมุนเลี้ยวให้เอง แต่ถ้าเรายกมือออกจากพวงมาลัยนานเกินไป ระบบจะเตือนเพื่อให้เราเอามือจับพวงมาลัยครับ
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ : เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มืด ไม่มีรถอยู่ด้านหน้า ระบบจะเปิดไฟสูงให้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้ากล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกตรวจจับได้ว่ามีรถวิ่งสวนทางมา ก็จะปรับเป็นไฟต่ำให้แบบอัตโนมัติ การขับในเมืองอาจไม่ได้ใช้ระบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะในเมืองมีแสงไฟถนนเยอะอยู่แล้ว แต่มีประโยชน์มากเวลาเดินทางข้ามจังหวัดตอนกลางคืน
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ : ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราขับรถติดไฟแดง พอรถคันที่อยู่ด้านหน้าเคลื่อนที่ ระบบจะแจ้งเตือนให้เราทราบ

สำหรับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เคลมไว้คือ 25 กม./ล. แต่จากการใช้งานจริงที่ได้ทดสอบผมขอแยกออกมาดังนี้ครับ

  • หากขับแบบซิ่ง ๆ มีเท่าไหร่ใส่หมด เหยียบจนคันเร่งแทบทะลุพื้น จะได้อยู่ที่ประมาณ 14 กม./ล.
  • ขับแบบทั่ว ๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง ตามสภาพการจราจร จะได้อยู่ที่ประมาณ 17-19 กม./ล.
  • ขับแบบเน้นประหยัด เกร็ง ๆ เท้าหน่อย ได้ 20+ กม./ล.

สรุปโดยรวมจากการที่ได้ขับทดสอบ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ขับดีมากครับ แต่ก็มีบางอย่างที่มันยังขัดใจอยู่บ้าง ก็คือกล้องหลัง และกล้องด้านข้าง ผมว่ามันยังไม่คมชัดเท่าที่ควร เพราะด้วยราคารถ 1,259,000 บาท ควรจะได้ความคมชัดที่มากกว่านี้ รวมไปถึงกล้องรอบคันที่ยังไม่มีมาให้ ในขณะที่คู่แข่งในเซกเมนท์เดียวกันให้มาแล้ว

ราคา Honda Civic 2022

  • รุ่น 1.5 Turbo EL ราคา 964,900 บาท
  • รุ่น 1.5 Turbo EL+ ราคา 1,009,900 บาท
  • รุ่น 2.0 e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท (ไฮบริด)
  • รุ่น 2.0 e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท (ไฮบริด)

Autospinn เว็บไซต์รายงานข่าวรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซค์ เช็กวันเปิดตัวรถใหม่ ราคารถ ตารางผ่อน และรีวิวรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยทีมงานมืออาชีพ
ซื้อ-ขาย รถมือสอง ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยชัวร์ ต้องที่ ตลาดรถ One2car


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ