NETA V 2022 รถยนต์ไฟฟ้าระดับเริ่มต้นที่ถูกออกแบบให้ใช้งานในเมือง ทว่าการใช้งานของคนไทยนั้นไม่ได้ถูกผูกยึดไว้กับประเภทของตัวรถซะทีเดียว วันนี้เราเลยนำเจ้ารถคันนี้ไปลองขับกันในเส้นทางกรุงเทพ - เขาใหญ่ - กรุงเทพ ดูซิว่าเดินทางไกลแล้วเป็นยังไง?
NETA V
NETA V รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Compact Crossover รุ่นเริ่มต้น และเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่เนต้า ประเทศไทย นำออกมาจัดจำหน่ายให้ชาวไทยได้เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าเนต้ากันเป็นรุ่นแรก โดยเจ้า NETA V คันนี้ มีขนาดตัวรถ อยู่ในพิกัดเดียวกับ Honda Jazz, Honda City Hatchback, Toyota Yaris และ Mazda 2 Hatchback เป็นต้น
โดยรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะดำเนินการโดยบริษัท Hozon ในชื่อ Neta Auto (Thailand)
NETA V ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ NETA V มาในรูปแบบ Compact Crossover ยกสูง แบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง โดยขนาดของตัวรถอยู่ในพิกัดเดียวกับรถยนต์ B-Segment
ด้านหน้าของตัวรถ กระจังหน้าแบบปิดทึบ ตามพิมพ์นิยมของรถยนต์ไฟฟ้ายุคปัจจุบัน โดยมีช่องดักลมด้านล่าง เพื่อใช้งานกับระบบระบายความร้อนต่างๆ ของตัวรถ ส่วนไฟหน้า ใช้ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ฮาโลเจน พร้อมไฟ DRL แบบ LED เสริมความโดดเด่นในการขับขี่ช่วงกลางวัน ส่วนไฟเลี้ยวหน้าก็เป็นไฟ LED ด้วย
ใต้ป้ายทะเบียนรถ จะเป็นช่องดักลมเข้าสู่ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ โดย NETA V ใช้ระบบระบายความร้อนมอเตอร์และแบตเตอรี่ด้วยน้ำ ซึ่งมีการแยกส่วนการระบายความร้อนออกจากกันอย่างอิสระ หมดกังวลเรื่อง Overheat
มาดูที่ด้านข้างของตัวรถ จะเห็นได้ว่าตัวรถมีความยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยตามสไตล์ Crossover หลังคาของตัวรถ ถูกออกแบบมาให้เน้นเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารด้วยการดึงแนวหลังคาสูงขึ้นไป ส่วนทางด้านท้ายรถมีการปรับให้ลาดลงมา ทำให้รถดูกระฉับกระเฉงขึ้น
ไฟเลี้ยว ติดตั้งที่บริเวณเหนือซุ้มล้อ
NETA V แบตเตอรี่สูงจากพื้นเท่าไหร่
แบตเตอรี่ของ NETA V มีความสูงจากพื้น 165 มม. เทียบเท่าความสูงของรถยนต์แบบ B-SUV หรือ C-SUV บางรุ่น เหมาะกับการขับขี่ไปบนถนนบ้านเราแบบไร้กังวล
ช่องชาร์จแบตเตอรี่ ติดตั้งอยู่บริเวณเหนือซุ้มล้อหน้าซ้าย รองรับการชาร์จแบบ AC type 2 ที่ 6.6 kW และ DC CCS2 สูงสุด 50 kW
ส่วนฝาปิดทางด้านขวา ไม่สามารถเปิดได้ (ในประเทศจีน ฝาปิดด้านนี้เป็นช่องชาร์จแบตเตอร์รี่อีกฝั่งหนึ่ง เนื่องจากในประเทศจีนใช้หัวชาร์จ AC กับ DC คนละหัวกัน ส่วนประเทศไทย ช่องชาร์จ AC กับ DC สามารถใช้ช่องร่วมกันได้)
ด้านท้ายของตัวรถ ใช้ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED เต็มระบบ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์เตือนการชนด้านหลัง และกล้องมองหลังความคมชัดสูง
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง มีความจุทั้งหมด 500 ลิตร ความลึกของพื้นที่อยู่ที่ 715 มม. สูง 710 มม. และกว้างสูงสุดที่ 1,130 มม.
สามารถเพิ่มพื้นที่สัมภาระได้ด้วยการพับเบาะนั่งแถวหลังลง จะสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้เป็น 1,150 ลิตร ความลึกสูงสุดอยู่ที่ 1700 มม. โดยเบาะนั่งแถว 2 ไม่สามารถแยกพับได้
NETA V ภายใน
เข้ามาที่ภายในตัวรถ พื้นที่โดยสารโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับ Toyota Yaris แต่ข้อสังเกตคือตำแหน่งของเบาะนั่งจะอยู่ใกล้กับพื้นรถมากสักหน่อย ทำให้เวลาวางเท้าต้องเหยียดไปด้านหน้าเพื่อความสบาย
ตัวเบาะนั่ง หุ้มหนังสังเคราะห์ ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มสบาย นั่งสบาย ไม่พบอาการปวดหลังแม้ขับเป็นเวลานาน
หน้าจอมัลติมีเดียขนาด 14.6 นิ้ว พร้อมฟังก์ชั่นภาษาไทย ควบคุมง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสประดุจ Tablet ขนาดใหญ่ประจำตัวรถ โดยหน้าจอตัวนี้มีความลื่นไหลดีมาก รองรับการเชื่อมต่อมือถือผ่านระบบ Bluetooth และ Wifi
นอกจากนี้ยังสามารถแชร์หน้าจอของมือถือขึ้นไปที่หน้าจอของตัวรถได้ด้วย โดยสามารถแสดงผลได้ทุกแอปฯ ยกเว้นแอปฯ ที่มีลิขสิทธิ์ อาทิเช่น Netflix, Disney Plus ส่วนการทำงานจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
- ส่วนบน เป็นเมนูควบคุมระบบมัลติมีเดีย และการทำงานของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบความปลอดภัย, โหมดการขับขี่ นอกจากนี้สามารถปัดหน้าจอลงมาเพื่อเข้าถึงการตั้งค่าแบบด่วนได้
- ส่วนตรงกลาง เป็นพื้นที่กว้างที่สุด ใช้เป็นพื้นที่แสดงผลข้อมูลต่างๆ จากเมนูที่เลือกไว้
- ส่วนล่าง เป็นพื้นที่ควบคุมระบบปรับอากาศของตัวรถ และการตั้งค่าระบบไฟ
หน้าจอเรือนไมล์ของตัวรถเป็นแบบดิจิตอล วางเป็นแนวยาวอยู่ด้านบนของคอนโซล บอกข้อมูลการขับขี่ครบครัน โดยวางตำแหน่งเหมือนกับ Head Up Display ทำให้เราไม่ต้องละสายตาจากถนนมาที่เรือนไมล์เลย
ไฟอ่านแผนที่ เป็น LED ทรงกลม เปิด/ปิด ด้วยระบบสัมผัส ใช้งานง่ายมากๆ โดยมีเฉพาะที่นั่งด้านหน้าเท่านั้น ส่วนด้านหลังเป็นที่น่าเสียดายเพราะไม่มีไฟส่องสว่างมาให้ เวลาหาของตอนกลางคืนจำเป็นต้องใช้ไฟฉาย
พวงมาลัยไฟฟ้ามัลติฟังก์ชั่น ปรับระดับไม่ได้ ส่วนระบบเกียร์อยู่ที่ก้านพวงมาลัยด้านขวา ใช้งานรูปแบบเดียวกับรถยนต์ Tesla, Mercedes-Benz
เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า ปรับแมนนวลทั้งหมด สามารถปรับได้เฉพาะการเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง และเอนเบาะ ไม่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ได้
ที่วางแก้วน้ำ/ขวดน้ำด้านหน้า มีทั้งหมด 5 ตำแหน่ง ได้แก่แผงประตูข้างละ 1 , บริเวณคอนโซลกลางชั้นบน 2 และใต้คอนโซลกลางอีก 1
ส่วนที่วางโทรศัพท์มือถือนั้น มีอยู่ 2 ตำแหน่งหลัก ได้แก่ใต้จอภาพตรงกลาง และบริเวณที่วางแก้วน้ำของคอนโซลกลาง
เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลัง มีความนุ่มนวลสูง แต่ตัวเบาะติดตั้งห่างจากพื้นค่อนข้างน้อย ทำให้ต้องนั่งแบบงอขา ส่วนระยะห่างระหว่างเบาะหน้า - เบาะหลัง ถ้านั่งหลังคนขับจะมีพื้นที่วางขาเยอะสักหน่อย ส่วนฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า จำเป็นต้องเลื่อนเบาะขึ้นไปด้านหน้าสักหน่อย เพราะว่าไม่มีพื้นที่สอดเท้าไปด้านใต้เบาะนั่งคู่หน้าเลย
การนั่งโดยสาร แนะนำให้นั่งโดยสารในระยะทางไม่เกิน 200-300 กิโลเมตร ควรพักสักหน่อย ซึ่งก็พอดีกับระยะทางการขับขี่ต่อ 1 การชาร์จพอดี ถือว่ายังพอเดินทางไกลได้ระดับหนึ่ง
ส่วนระบบอำนวยความสะดวก มีช่องชาร์จ USB-A มาให้ 1 ช่อง และที่น่าเสียดายคือไม่มีที่วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำเลยแม้แต่จุดเดียว จำเป็นต้องอาศัยวางที่โซนหน้า
NETA V ระบบความปลอดภัย
- ABS
- Traction Control
- ระบบรักษาเสถียรภาพของตัวรถ
- ระบบหยุดรถบนทางชัน
- ระบบช่วยลงจากทางลาดชัน
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
NETA V ระบบอำนวยความสะดวก
- ระบบ V2L จ่ายไฟฟ้าออกสู่ภายนอก กำลังสูงสุด 3.3 kW
- Cruise Control ระบบล็อกความเร็ว
- ช่องชาร์จ USB-A 3 จุด รองรับการเชื่อมต่อกล้องหน้ารถ
- ไฟหน้าเปิด/ปิด อัตโนมัติ
- ระบบคันเร่งเดียว One-Pedal ปรับระดับได้
- เบาะนั่งแถวที่ 2 พับได้
- โหมดการขับขี่ Standard / Sport
สเปค NETA V 2022
มอเตอร์ | 1 มอเตอร์ |
---|---|
พละกำลังสูงสุด | 95 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด | 150 นิวตันเมตร |
ระยะทางขับขี่สูงสุด / 1 การชาร์จ มาตรฐาน NEDC | 384 กิโลเมตร |
ระบบขับเคลื่อน | FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า |
อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม | 3.9 วินาที |
ความเร็วสูงสุด | 124 กม./ชม. |
แบตเตอรี่ | ลิเธียมไอออน NMC |
พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด (kWh) | 38.54 |
แรงดันไฟฟ้า (V) | 400 |
รองรับการชาร์จ AC Type 2 (kW) | 6.6 |
รองรับการชาร์จ DC CCS 2 (kW) | 50 |
พวงมาลัย | พวงมาลัยไฟฟ้า |
ระบบกันสะเทือนหน้า / หลัง | แม็กเพอร์สัน, เทรลลิ่งอาร์ม |
ระบบเบรคหน้า/หลัง | ดิสก์เบรก |
ขนาดยางล้อ | 185/55 R16 |
มิติตัวรถ NETA V 2022
ขนาดตัวรถภายนอก ยาว x กว้าง x สูง (มม.) | 4,070 x 1,690 x 1,540 |
---|---|
ระยะฐานล้อ (มม.) | 2,420 |
ระยะห่างจากพื้น (มม.) | 165 |
น้ำหนักรถเปล่า (กก.) | 1,151 |
พื้นที่เก็บสัมภาระ NETA V 2022
ช่องเก็บของด้านหน้า (Frunk) | - |
---|---|
พื้นที่เก็บสัมภาระ | 335 ลิตร |
พื้นที่เก็บสัมภาระ เมื่อพับเบาะหลังทั้งหมด | 552 ลิตร |
ข้อมูลทางเทคนิคทั้งหมด อ้างอิงจากข้อมูลในมอเตอร์โชว์
NETA V คันเร่ง
คันเร่งของ NETA V สามารถตั้งค่าได้ตามชอบ จะตั้งแบบรถน้ำมันก็ทำได้ หรือจะตั้งเป็น One-Pedal ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะ One-Pedal ที่เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ใช้งาน ซึ่งสามารถเลือกได้ด้วยว่าในขณะยกคันเร่งจนหมด จะให้รถหยุดนิ่งได้เลย หรือจะให้รถยังสามารถเคลื่อนที่ได้ช้าๆ แบบรถน้ำมัน ก็สามารถเลือกได้เช่นกัน
ขับ NETA V ขึ้นเขาใหญ่
ในส่วนของการทดสอบขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า NETA V คันนี้ เราเดินทางกันกว่า 400 กิโลเมตร ในเส้นทางกรุงเทพ - อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ฝั่งปราจีน) - อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ฝั่งปากช่อง) - กรุงเทพฯ เพื่อทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ว่ามันทำได้เพียงแค่ขับในเมือง หรือเดินทางไกลก็ยังพอไปได้?
โดยเราจะขอแบ่งการทดสอบออกเป็นตั้งแต่ช่วงขับในเมือง, ทางด่วน, ทางหลวงระหว่างเมือง, การขับขึ้น-ลงเขา และการชาร์จแบตเตอร์รี่
NETA V ขับในเมือง ดีไหม
ในส่วนของการขับขี่ในเมืองของ NETA V ถือว่าตรงวัตถุประสงค์การออกแบบของรถยนต์คันนี้อย่างตรงจุด พวงมาลัยของตัวรถมีน้ำหนักที่เบามากๆ ตามสไตล์ของพวงมาลัยไฟฟ้า
ทัศนวิสัยการมองเห็นถือว่ามองได้ง่าย กระจกบังลมด้านหน้ามีขนาดใหญ่ อีกทั้งกระจกมองข้างติดตั้งห่างจากเสา A ค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่มีมุมอับสายตาอันเกิดมาจากเสา A ของตัวรถ
ช่วงล่าง ถูกออกแบบมาอย่างนุ่มนวลมากกกกกกกกกกกกก เป็นพิเศษ สามารถซับแรงกระแทกจากความไม่เรียบเนียนของท้องถนนได้อย่างดีเยี่ยม ไร้ข้อติติง แต่มันก็มาพร้อมกับ "ความย้วยเป็นพิเศษ" ด้วยเช่นกัน คุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงความ "เด้งดึ๋ง" ที่เกิดขึ้นจากช่วงล่าง ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถเร็ว แนะนำให้ปรับแต่งสปริงสักหน่อย ช่วยได้เยอะครับ
อัตราเร่ง ทำได้ดีงามตามสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า กดปุ้บมาปั้บ ไม่มีรอรอบแบบรถดั่งเดิม การขับในเมืองถือว่าขับได้สนุกสนาน อีกทั้งตัวรถมีฐานล้อที่สั้น ทำให้รถมีมุมเลี้ยวที่แคบ และหาที่จอดรถได้ง่าย
NETA V ขับบนทางด่วน ดีไหม
ในส่วนของการขับบนทางด่วนของ NETA V นั่น ถือว่ายังทำได้ดีในระดับหนึ่ง ถ้าคุณใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. ตัวช่วงล่างของรถยังคงทำงานได้ดี แต่ถ้าขับเร็วกว่านั้นคุณจะพบกับอาการ "ร่อน" ที่เกิดขึ้นได้ในความเร็วสูงกว่า 90 กม./ชม. โดยความเร็วสูงสุดของรถในโหมด Normal จะวิ่งได้ 110 กม./ชม. และโหมด Sport ที่ 124 - 126 กม./ชม. ซึ่งสามารถเข้าถึงความเร็ว Top speed ได้โดยง่าย เพราะตัวรถมีอัตราเร่งที่ดีมากๆ โดยโหมด Sport จะทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่คันเร่งจะกระชับขึ้นกว่า Normal อย่างชัดเจน
ทางด้านอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาราว 12.2 วินาที
NETA V ขับทางไกล ดีไหม
ในส่วนของการขับทางไกลด้วย NETA V นั่นถือว่า "ทำได้ดี" ในความเร็วระดับ 90-100 กม./ชม. ตัวพวงมาลัยของตัวรถจะมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้ควบคุมรถในความเร็วสูงได้ดีขึ้น แต่พวงมาลัยของรถเค้าไม่มีระยะฟรีพวงมาลัยมาให้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่การดันพวงมาลัยเล็กน้อย ก็ทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้แล้ว ส่วนนี้ผู้ขับขี่ต้องทำความคุ้นเคยเข้าไปสักหน่อย
ทางด้านช่วงล่าง หากเรามีความคุ้นชินกับมันแล้วจะพบว่า มันก็เป็นช่วงล่างที่เดินทางไกลได้สบายในรูปแบบของการซับแรงกระแทก ที่ไม่ค่อยส่งผลกระทบเข้ามาในห้องโดยสาร แต่ถ้าคุณเป็นสายมุด จะต้องเจอกับอาการย้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านระบบอำนวยความสะดวกในการขับขี่ จะมีเพียงการล็อกความเร็วแบบปกติเท่านั้น ส่วนอัตราเร่งเพื่อแซงนั้น ควรพึงระลึกไว้เสมอว่ารถยนต์คันที่เราต้องการแซง ขับขี่อยู่ในความเร็วที่ต่ำกว่า 110 กม./ชม. เพื่อให้คุณยังพอเร่งแซงได้แบบไม่ต้องลุ้น
ส่วนผู้โดยสารตอนหลัง ด้วยความที่ช่วงล่างถูกออกแบบให้นุ่ม ทำให้มันไม่มีอาการกระด้างออกมาให้เห็น ส่วนนี้ผู้โดยสารตอนหลังเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า "นั่งสบายกว่ารุ่นพิมพ์นิยมเยอะ"
ด้านการเก็บเสียง ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมเลยดีเดียว ตัวรถมีการป้องกันเสียงลมได้ดี และลดเสียงรบกวนจากถนนได้ดีในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าพื้นผิวถนนเป็นแบบไหนด้วย ถ้าเป็นถนนลาดยางถือว่าเงียบเลยครับ เอาว่าด้านการเก็บเสียงของรถรุ่นนี้ "สอบผ่าน"
NETA V ขับขึ้นเขาได้ไหม
การนำ NETA V ขึ้นเขานั้น ก่อนที่เราจะนำรถคันนี้ไปทดสอบ ยอมรับว่ามีการตั้งคำถามมาเยอะเหมือนกันว่า "ไหวหรอ?" นี่แหละครับทำให้เราต้องเอารถคันนี้ไปทดสอบขึ้นเขากัน โดยเราเลือกเป็นเส้นทางบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขับจากฝั่งปราจีนบุรี ไปลงฝั่งปากช่อง ระยะทางรวมราว 47 กิโลเมตร โดยเส้นทางช่วงแรกจะเป็นการโค้งขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเป็นการลงเขาต่อเนื่องในฝั่งปากช่อง
เริ่มต้นด้วยการขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราพบจาก NETA V นั่นคือ "มีอัตราเร่งที่ดีมากๆ" การเร่งส่งกำลังรถขึ้นเนินชันต่อเนื่องสามารถทำได้โดยง่าย คุณสามารถเรียกความเร็วเพิ่มขึ้นได้สบายๆ ในขณะที่รถกำลังไต่ทางชัน ซึ่งนี่คุณจะหามันไม่ได้ง่ายแน่ๆ กับรถยนต์ในระดับราคาใกล้เคียงกัน เรื่องกำลังมอเตอร์สำหรับขึ้นเขา "สอบผ่าน" อีกทั้งไม่มีปัญหาด้านความร้อนออกมาให้เห็นเลย ต้องขอยกนิ้วให้กับระบบระบายความร้อนที่ทำงานได้ดีเยี่ยม และมอเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานได้จริง
ทางด้านการทรงตัวในการขับขึ้นเขา บอกเลยว่าทำได้ดีเกินคาด จากที่เราขับรถในเมืองแล้วพบว่ามันนุ่มจนย้วย ทว่าพอเอามาขับขึ้นเขาแบบจริงจัง กับความเร็ว 60-80 กม./ชม. สาดทุกโค้งแบบไม่ใช้เบรก (เพราะเราใช้ One-Pedal ขับทั้งหมด" พบว่ามันไม่มีอาการโยนให้เห็นแม้แต่น้อย โดยมันมีลักษณะการพาตัวรถเข้าโค้งไปแบบทั้งลำตามสไตล์ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่น้ำหนักส่วนใหญ่ของตัวรถอยู่ที่แบตเตอรี่ใต้ท้องรถ
อันส่งผลให้ตัวรถแม้จะมีความสูงจากพื้นถึง 165 มม. แต่จุดศูนย์ถ่วงของรถก็อยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน ทำให้มันแทบจะไม่แสดงอาการโยนออกมาจนเหวอให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
เอาว่ารถยนต์น้ำมันแบรนด์ดังพิมพ์นิยมจากยุโรป พิกัด C-Segment โยนโค้งมากกว่านี้แน่นอน
ส่วนนี้ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มเอ๊ะว่า นี่คอนเท้นอวยรึเปล่า? เราบอกได้แค่ว่าควรหาโอกาสไปลองเอง แล้วจะเข้าใจครับว่าทำไมเราถึงกล้าสื่อสารออกมา...
ส่วนสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจสักหน่อยนั่นคือ พวงมาลัย ที่น้ำหนักแอบเบาไปหน่อย อันนี้ต้องอาศัยความคุ้นชินของผู้ขับขี่แล้วว่าสามารถใช้พวงมาลัยได้เนียนเพียงพอ แต่ถ้าจับจุดมันได้แล้ว บอกเลยว่า "สนุกครับ"
NETA V การชาร์จแบตเตอรี่
ในส่วนของการชาร์จแบตเตอร์รี่ของ NETA V รองรับการชาร์จแบบ AC ที่ 6.6 kW ชาร์จเต็มภายใน 6-8 ชั่วโมง โดยในการชาร์จ AC นี้ เมื่อแบตเตอร์รี่ใกล้เต็ม ระบบจะสั่งการให้มีการบาลานซ์เซลล์แบตเตอร์รี่ เพื่อทำการถนอมแบตฯ และยืดอายุการใช้งานของตัวแบตเตอร์รี่
ส่วนการชาร์จแบบ DC จะรองรับกำลังสูงสุด 50 kW โดยจากการทดสอบการชาร์จของเรา พบว่าตัวรถตั้งค่าการรับกำลังไฟแบบขั้นบันได โดยจะรับกำลังไฟเป็นดังนี้
ช่วง 20-30% รับกำลังไฟที่ 51 kW
ช่วง 35-60% รับกำลังไฟที่ 48.5 kW
ช่วง 61-70% รับกำลังไฟที่ 41 kW
ช่วง 71-80% รับกำลังไฟที่ 35.6 kW
ช่วง 81-100% รับกำลังไฟที่ 15 kW
ส่วนที่อยากให้สังเกตนั่นคือช่วง 81-100% ที่รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มักจะรับไฟฟ้าได้น้อยมาก โดยในบางรุ่นจะรับไฟฟ้าได้กำลังเทียบเท่าแบบ AC 6.6 kW เลยทีเดียว แต่ NETA V ยังคงความสามารถการรับไฟฟ้าได้มากถึง 15 kW ในช่วงการชาร์จ 81-100% ซึ่งถือว่าดีมากๆ สำหรับคนที่ใช้รถยนต์เดินทางไกล เพราะมันทำให้เราใช้เวลาในการชาร์จที่น้อย และได้ระยะทางขับขี่ที่ไกลมากขึ้น
ส่วนปริมาณแบตเตอร์รี่ที่แนะนำให้ผู้ใช้งานเดินทางไกล ควรชาร์จไม่เกิน 80% ก็เพียงพอแล้ว เพราะเป็นช่วงที่รถยนต์สามารถรับกำลังไฟฟ้าได้มากครับ
ส่วนการชาร์จแบตเตอร์รี่เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน หากคุณใช้งานรถยนต์ทุกวัน สามารถชาร์จให้เต็ม 100% ทุกวันได้เลย ทว่าหากคุณเป็นคนที่ไม่ได้ใช้งานรถยนต์ทุกวัน หรือขับน้อย "แนะนำให้ชาร์จไม่เกิน 80%"
โดยในการชาร์จแบตเตอรี่ จะแสดงผลการชาร์จผ่านหน้าจอกลาง รวมถึงคำนวณระยะเวลาการชาร์จจนถึง 100% ด้วยว่าต้องใช้ระยะเวลากี่นาที
ส่วนระยะทางขับขี่ต่อ 1 การชาร์จที่เราอยากแนะนำ ควรขับไม่เกิน 300 กิโลเมตร ก็ควรแวะหาที่ชาร์จได้แล้วครับ ทั้งนี้ถ้าใช้งานรถยนต์ในเส้นทางเดิมตลอด การชาร์จที่บ้านเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเดินทางไกลเนี้ย วางแผนให้จอดแวะทุกๆ 200-300 กิโลเมตรเพื่อชาร์จรถ จะดีที่สุดครับ
NETA V ค่าไฟเท่าไหร่
อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าของ NETA V ตัวรถได้แจ้งมาที่ 13.9 หน่วย / 100 กม. หรือ 7.19 กม. / 1 หน่วย นั่นเอง ซึ่งถือว่าประหยัดไฟฟ้ามากๆ โดยตัวรถจะใช้พลังงานไฟฟ้า 1% ต่อระยะทางขับขี่ราว 3-4 กม. บนทางเรียบ และใช้ไฟฟ้า 1% ทุกๆ 1 กม. บนทางขึ้นเขาลาดชัน ซึ่งสรุปเป็นการใช้งานทั้งหมดจนจบทริป โดยสามารถเทียบต้นทุนการเดินทางได้ดังนี้
ชาร์จสถานี DC ช่วง On Peak ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 7.5 บาท มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ 1.04 บาท / 1 กิโลเมตร
ชาร์จสถานี DC ช่วง Off Peak ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.5 บาท มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ 0.63 บาท / 1 กิโลเมตร
ชาร์จ AC ที่บ้าน ช่วง Off Peak ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 3 บาท มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ 0.42 บาท / 1 กิโลเมตร
ราคาข้างต้น รวมภาษี, ค่าบริการ, ค่า Ft แล้วเรียบร้อย
ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้าที่เราทำการทดสอบในทริปนี้ เราขับไปทั้งหมด 414 กิโลเมตร จ่ายค่าไฟฟ้าขาไป 170.25 บาท โดยชาร์จไฟฟ้าจาก 35-85% เป็นจำนวน 19.25 หน่วย และค่าไฟฟ้าขากลับ ชาร์จจาก 20-100% เป็นจำนวน 30.8 หน่วย จ่ายค่าไฟฟ้าไป 138.6 บาท รวม 308.85 บาท
สาเหตุที่ค่าไฟฟ้าขากลับถูกกว่าขาไป เนื่องจากเราชาร์จไฟฟ้าช่วง Off peak นั่นเอง ซึ่งมีค่าไฟฟ้าเพียงหน่วยละ 4.5 บาท แตกต่างจากช่วง On Peak ที่ค่าไฟฟ้าหน่วยละ 7.5 บาท
ส่วนการใช้งานไฟฟ้าทั้งหมด เราใช้ไฟฟ้าไป 50.05 หน่วย หรือคิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้าที่ 8.27 กม. / 1 หน่วย เนื่องจากเราได้พลังงานไฟฟ้าคืนทุกครั้งที่มีการถอนคันเร่งนั่นเอง คิดเป็นต้นทุนจริงเพียงกิโลเมตรละ 0.75 บาท เท่านั้น
ถ้าเราคำนวณการใช้งานในชีวิตประจำวัน แบบชาร์จไฟที่บ้านช่วง Off peak ทุกวัน สมมุติว่าเราขับรถเดือนละ 3,000 กิโลเมตร (วันละ 100 กิโลเมตร) เราจะจ่ายค่าไฟฟ้าที่เดือนละ 1,260 บาท หรือวันละ 42 บาทเท่านั้น
สรุป NETA V เหมาะกับใคร?
โดยสรุปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้า NETA V เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันแรก อยากลองของใหม่ที่ให้สิ่งที่รถไฟฟ้าควรจะมีมาแบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอร์รี่ลิเธียมไอออน NMC, ระบบ One-Pedal, ระบบ V2L และที่สำคัญ "ความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า" ในราคาจำหน่ายไม่ถึง 600,000 บาท
เป็นรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวแบบนานๆ ครั้งจะไปสักที รถคันนี้จะตอบโจทย์มาก
ทว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยคล่องด้านเทคโนโลยีเท่าใดนัก เนื่องจากหลายๆ ฟีเจอร์นั้นจำเป็นต้องทำความเข้าใจในระดับหนึ่งอยู่ หากคุณไม่คล่องด้านเทคโนโลยีมากนัก ก็ยังพอสามารถขับขี่ได้ แต่อาจจะใช้งานได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าคุณชอบรถที่ฟีเจอร์เยอะๆ แบบนี้ คันนี้ตอบโจทย์ครับ
ข้อดี ข้อเสีย NETA V มีอะไรบ้าง
หลังจากที่อ่านและรับชมรีวิวเนต้าวีกันมาแบบครบถ้วนทุกด้านแล้ว เรามาสรุปกันว่ารถคันนี้มีจุดเด่น จุดด้อยตรงไหนบ้าง
จุดเด่น NETA V
- ราคาต่อปริมาณแบตเตอร์รี่ ถือว่าถูกที่สุดในท้องตลาดประเทศไทย โดยได้ปริมาณแบตเตอร์รี่ถึง 38.5 หน่วย ในราคาจำหน่ายเบื้องต้นที่ 570,000 บาท หรือตกหน่วยละ 14,805 บาทเท่านั้น
- แบตเตอรี่สูงจากพื้น 16.5 ซม. ลดโอกาสกระแทกลูกระนาด รวมถึงสิ่งกีดขวางได้เป็นอย่างดี
- ประหยัดไฟฟ้ามาก จากการทดสอบรถใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยเพียง 13.9 หน่วย/100 กิโลเมตร หรือ 7.19 กิโลเมตร/หน่วย เท่านั้น
- ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ หมดห่วงเรื่อง Overheat
- มีระบบ V2L เปลี่ยนรถเป็นพาวเวอร์แบ้งค์เคลื่อนที่ได้ ซึ่งจ่ายไฟได้สูงถึง 3.3 kW แรงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น
- สามารถแชร์ภาพจากมือถือขึ้นจอมัลติมีเดียของตัวรถได้อย่างง่ายดาย
- จอภาพมีความไหลลื่นสูง
- กล้องมองหลังมีความคมชัดที่ดี
ข้อด้อย NETA V มีอะไรบ้าง
- ไฟหน้าไม่ค่อยสว่างนัก หากขับขี่ในเวลากลางคืน ควรอัพเกรดเป็นอย่างยิ่ง
- ช่วงล่าง ไม่ชอบก็แหยงไปเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบขับรถเร็ว หรือชอบมุด ควรอัพเกรดสปริง
- เบาะหลัง พับไม่เรียบ และไม่สามารถพับแยก 60:40 ได้
- ไม่มี Frunk (ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า) ซึ่งแท้จริงแล้ว ใต้ฝาครอบชุดมอเตอร์นั้นมีพื้นที่เหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ ส่วนนี้น่าเสียดาย
- ไม่มีที่วางแก้วน้ำสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- ไม่มีไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ ตรวจสอบราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น