รถยนต์ไฟฟ้า เป็นกระแสที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ใช่ว่าทุกคนที่พร้อมใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าซะทีเดียว แล้วถ้ามองเป็นรถยนต์ที่วิ่งไฟฟ้าได้ และวิ่งน้ำมันล้วนได้แบบ PHEV ล่ะ มันจะน่าสนใจกว่าไหม บทความนี้มีคำตอบครับ
PHEV vs BEV
การจะตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน เรียกได้ว่าเป็นการซื้อของชิ้นใหญ่ 1 ชิ้นเข้าบ้านกันเลยทีเดียว มีหลายๆ บ้านที่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์เพื่อมาใช้งานสักคันก็จะต้องเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของรถแต่ละคันก่อนว่ามีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไปอย่างไรบ้าง ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้รถยนต์มาเป็นรูปแบบรถ EV ซะเยอะ จากเดิมที่มีแต่รถ ICE เท่านั้น แถมราคาน้ำมันก็แสนโหด ทะลุลิตรละ 35 บาทเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้หลายๆ คนหันไปมองพลังงานทางเลือกอย่างไฟฟ้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 100% ทว่ามันก็ยังมีข้อจำกัดในด้านระยะทางขับขี่อยู่ ทำให้หลายๆ คนมองไปที่รถยนต์ไฮบริดที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่อย่าง PHEV ด้วย แล้วถ้าต้องเลือกเพียงแค่คันเดียวล่ะ? เอาแบบไหนดีนะ?
PHEV คืออะไร
PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) หรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เป็นรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า มีพลังงาน 2 รูปแบบในรถคันเดียว ได้แก่น้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้า โดยตัวรถจะสามารถเลือกได้ว่าจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานทั้ง 2 แบบ / แบบเครื่องยนต์อย่างเดียว และไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ และในรถยนต์ PHEV บางรุ่น สามารถสั่งให้เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บแบตเตอรี่เพื่อใช้งานกับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ด้วย ทำให้รถยนต์ PHEV มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำมากกว่ารถยนต์สันดาปปกติมาก
BEV คืออะไร
BEV (Battery Electric Vehicle) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน 100% ที่มีแหล่งกักเก็บพลังงานเป็นแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ภายในตัวรถ โดยการเติมพลังงานนั้นจะเป็นการชาร์จไฟฟ้าเข้าไปเท่านั้น เป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาก เพราะไม่มีการคายไอเสียเลย
เปรียบเทียบ PHEV vs BEV
ในส่วนของการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างรถยนต์ PHEV และ BEV นั้น เราจะใช้ BMW X3 Series มาเป็นตัวเปรียบเทียบกัน เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่ใช้ตัวถังเดียวกัน รุ่นปีเดียวกัน แตกต่างกันที่ประเภทของระบบขับเคลื่อนเท่านั้น โดยฝั่ง PHEV เราจะใช้ BMW X3 xDrive30e M Sport มาเป็นตัวแทน และฝั่ง BEV เป็น BMW iX3 M Sport
PHEV | BEV | |
อัตราสิ้นเปลือง* | 14.7 กม./ลิตร | 5.26 หน่วย/กม. |
ต้นทุนค่าพลังงานต่อกิโลเมตร** | 2.38 บาท | 0.95 บาท |
ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้า มาตรฐาน WLTP | 47 กม. | 470 กม. |
ระยะทางขับขี่รวมทั้งหมด | 600 กม.+ | 470 กม. |
อัตราเร่ง 0-100 | 6.1 วินาที | 6.8 วินาที |
ราคา | 3,799,000 | 3,499,000 |
*ทดสอบจากการขับขี่จริงโดย Autospinn
**ค่าน้ำมันเบนซินลิตรละ 35 บาท และค่าไฟฟ้าหน่วยละ 5 บาท
จุดเด่น PHEV
จุดเด่นของรถยนต์ PHEV นั่นคือ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำมากๆ เพียง 14.7 กม./ลิตร เท่านั้น คิดเป็นค่าน้ำมันเพียงกิโลเมตรละ 2.38 บาทเท่านั้น อีกทั้งการเติมน้ำมันใช้ระยะเวลาไม่นานก็เต็มแล้ว หรือถ้าขับในเมืองอย่างเดียวก็สามารถใช้โหมดไฟฟ้าล้วนวิ่งได้ด้วย ยิ่งถ้าคนชาร์จไฟฟ้าที่บ้านทุกวันอยู่แล้วยิ่งได้เปรียบ เพราะสามารถขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 47 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC
จุดเด่น BEV
จุดเด่นของรถยนต์ BEV นั่นคือ มีต้นทุนค่าเดินทางต่ำมากไม่ถึง 1 บาทด้วยซ้ำไป และสามารถขับขี่ได้ไกลถึง 470 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มาตรฐาน NEDC ซึ่งสามารถใช้งานเดินทางไกลได้แบบสบายๆ โดยใช้เวลาจอดชาร์จราว 30 นาที ก็สามารถขับขี่ต่อได้ระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว
จุดด้อย PHEV
ข้อด้อยของ PHEV หลักๆ จะอยู่ในเรื่องของการบำรุงรักษา ที่เราต้องบำรุงรักษาระบบขับเคลื่อนที่มากกว่าปกติ เพราะต้องดูแลทั้งระบบของเครื่องยนต์สันดาป, ระบบไฮบริด และระบบไฟฟ้า ส่งผลให้ค่าบำรุงรักษาของรถยนต์ประเภทนี้จะสูงสักหน่อย แต่ก็คลายกังวลได้มากถ้าเป็นรถยนต์ใหม่ และยังอยู่ในการรับประกันคุณภาพของผู้ผลิตรถยนต์
จุดด้อย BEV
ข้อด้อยของ BEV หลักๆ เป็นเรื่องของข้อจำกัดในการชาร์จไฟฟ้าที่ใช้ระยะเวลานาน และสถานีที่สามารถชาร์จได้เร็วนั้นยังมีอยู่อย่างจำกัด แตกต่างจากการเติมน้ำมันที่ใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็สามารถขับขี่ต่อได้มากกว่า 500 กิโลเมตรแล้ว แต่รถยนต์ไฟฟ้าหากต้องการขับขี่ต่ออีกสัก 300 กิโลเมตร อย่างน้อยต้องใช้เวลาในการชาร์จไฟฟ้าราว 30 นาทีจึงจะไปต่อได้
ฟันธง เลือก PHEV หรือ BEV
หากคุณมีกำลังในการตัดสินใจซื้อรถยนต์เพียงคันเดียว ถ้าต้องเลือกระหว่างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด กับรถยนต์ไฟฟ้า เราขอแนะนำให้เลือกเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะดีกว่า เนื่องจากคุณสามารถขับขี่ไปได้ทุกเส้นทางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จเร็วเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าคุณไม่ได้ชาร์จไฟฟ้ามา คุณก็สามารถขับด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามปกติ แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ถ้าไม่มีโครงข่ายสถานีชาร์จกำลังสูง ก็แทบจะไม่สามารถเดินทางเข้าไปในเส้นทางนั้นๆ ได้อย่างสะดวกมากนัก เนื่องจากต้องใช้วิธีการชาร์จแบบช้า ซึ่งใช้เวลาการชาร์จข้ามคืนเลยทีเดียว
ทว่า หากบ้านของคุณมีรถยนต์สันดาปอยู่แล้ว รถยนต์คันต่อไปที่เราอยากแนะนำขอแนะนำเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจะคุ้มค่ากว่า เนื่องจากต้นทุนการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้านั้น ถูกกว่ารถยนต์สันดาปราว 3-5 เท่า แล้วแต่รุ่นรถที่เปรียบเทียบนั้นๆ การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้านอกจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของคุณได้อย่างมหาศาล จึงไม่แปลกนักที่คนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์คันที่ 2 ของบ้าน จะทำให้แทบจะไม่หยิบเอารถยนต์สันดาปคันเก่าไปใช้งานเลย เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนการเดินทางที่ถูกกว่ามากนั่นเองครับ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ ตรวจสอบราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น