BMW 330e M SPORT แม้ภายนอกจะมาในสไตล์รถบ้าน แต่ถ้าได้ลองสัมผัสถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ บอกเลยว่า นี่มันรถซิ่งชัด ๆ เรียกได้ว่าเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดที่ได้ทั้งความประหยัด และความแรง ครบจบในคันเดียว
BMW Series 3 รหัสตัวถัง G20 โฉมนี้เปิดตัวกันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว หลายท่านอาจคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะเรียกว่าปลายโมเดลก็คงไม่ผิด เพราะที่ต่างประเทศเปิดตัวรุ่น LCi กันไปเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย ก็น่าจะรออีกสักพัก แต่ถ้าใครรอไม่ไหว ซื้อโฉมนี้ไปใช้ ก็คุ้มค่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะได้ทั้งความหล่อ หรูหรา แรง และเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ เป็นรุ่นประกอบไทย ราคาค่าตัว 2,799,000 บาท
รับชมรีวิว BMW 330e M SPORT รูปแบบวีดีโอได้ที่นี่
คันที่ผมนำมารีวิวในครั้งนี้ เป็นรุ่น 330e M SPORT สำหรับใครที่ซื้อในปีนี้ จะมาพร้อมกับโลโก้พิเศษ ซึ่งเป็นรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี ของ BMW M ในสีสันที่โดดเด่น สื่อถึงกลิ่นอายแห่งความแรงเร้าใจตามแบบฉบับมอเตอร์สปอร์ต ประกอบไปด้วยสามสีอันเป็นเอกลักษณ์ และสื่อความหมายที่แตกต่างกัน
สีฟ้า หมายถึง BMW สีแดง สื่อถึงความเร้าใจจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต และสีน้ำเงินเข้ม สะท้อนถึงการหลอมรวมระหว่าง BMW และความเร้าใจจากการแข่งรถ ผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยทั้งสามสีมาในลายเส้นแบบครึ่งวงกลม โอบล้อมโลโก้บีเอ็มดับเบิลยูไว้ในสามทิศทาง เพื่อสื่อถึงการเคลื่อนที่ของรถยนต์ในสนามแข่ง สอดประสานออกมาเป็นสามสีในตำนานบนโลโก้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของ BMW M
รีวิว BMW 330e M SPORT ภายนอก
BMW 330e M SPORT มีดีไซน์ภายนอกที่สะดุดตา โดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ มองเห็นแต่ไกลก็รู้ได้ทันทีว่าคันนี้คือ BMW เมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์ช่องที่อยู่ตรงซี่กระจังจะเปิดออก เพื่อรับอากาศ และเมื่อเราดับเครื่อง ช่องอากาศก็จะปิด
BMW 330e M SPORT ในรุ่นปี 2022 นี้ ออปชันสำคัญที่หายไปคือ โดนตัดฟังก์ชั่นกล้อง 360 องศาออก มีเพียงกล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า สำหรับทำหน้าที่ในการตรวจจับเส้นเลนถนน และตรวจจับวัตุถุทางด้านหน้า และกล้องหลัง สำหรับการถอยจอด
ไฟหน้าเป็นแบบ Full LED ด้านในจะมีอยู่สองโคม โคมตัวในทำหน้าที่เป็นไฟสูง โคมตัวนอกทำหน้าที่เป็นไฟต่ำ และมีหลอดไฟดวงเล็กที่ผนังโคม สำหรับทำหน้าที่ในการส่องสว่างด้านข้างเมื่อหักเลี้ยวพวงมาลัย พร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED และในรุ่นปี 2022 นี้ ได้เพิ่มระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant) มาให้ครับ
ไฟท้าย LED ทรงตัว L ที่ใช้กรอบรมดำ เมื่อเดินเข้าไปส่องใกล้ ๆ จะเห็นถึงความละเอียดของลำแสงสีแดง เสริมลุคสปอร์ตด้วยท่อไอเสียคู่
การเปิด-ปิดฝากระโปรงท้าย สามารถทำได้หลากหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นคือการเปิดแบบ Hands-free ใช้เท้าเตะไปที่ใต้ท้องรถ
คาลิปเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport สีน้ำเงิน และล้ออัลลอย M ลาย Double Spoke ขนาด 19 นิ้ว แต่ขนาดหน้ากว้างของล้อหน้า กับล้อหลังจะไม่เท่ากัน ล้อคู่หน้ากว้าง 8 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 225/40 R19 ล้อคู่หลังกว้าง 8.5 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 255/35 R19 โดยใช้เป็นยาง Runflat ทั้ง 4 ล้อ ซึ่งข้อดีของยางประเภทนี้คือ โครงสร้างแก้มยางจะมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ สามารถวิ่งได้โดยไร้ลมยางเป็นระยางทางประมาณ 80 กม. แต่ข้อด้อยคือ จะมีความกระด้างกว่ายางเรเดียล และมีราคาแพงพอสมควรเลยทีเดียว
BMW 330e M SPORT เป็นรถปลั๊กอินไฮบริด โดยตำแหน่งของแบตเตอรี่จะวางที่ช่วงท้าย จึงส่งผลให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายเพียงแค่ 375 ลิตร ในขณะที่รุ่น 320d มีพื้นที่เก็บสัมภาระ 480 ลิตร แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเรายังสามารถพับเบาะหลังได้ เมื่อพับไปแล้วก็จะได้พื้นที่เยอะขึ้น
รีวิว BMW 330e M SPORT ภายใน
BMW 330e M SPORT ภายในเน้นการใช้วัสดุที่เป็นหนังค่อนข้างเยอะ ภายในตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Tetragon หากใครชอบลายนี้ก็จะบอกว่าสวย แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบลายแนวนี้ อาจทำให้เสียความรู้สึกไปเลยทีเดียว เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมเมมโมรี่บันทึก นั่งแล้วรู้สึกโอบกระชับ มีตัวรองน่องที่สามารถยืดเข้าออกได้ ปีกเบาะด้านข้างไม่สูงมากนัก ทำให้การก้าวขึ้นลงทำได้สะดวก
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น M Sport หลังพวงมาลัยมีแป้น Paddle Shift สำหรับการเล่นเกียร์ + -
จอเรือนไมล์ขนาด 12.3 นิ้ว ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ หรือจะให้แสดงผลเป็นแผนที่นำทางก็ได้เช่นกัน และเมื่ออยู่ในโหมด Sport หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ได้อารมณ์ของความสปอร์ตเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมจอ BMW Head-up Display แสดงผลที่กระจกบังลมหน้า แต่ถ้าเราไม่ต้องการก็สามารถเข้าไปปิดได้ครับ
จอเครื่องเล่นตรงกลางขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Andriod Auto และเรายังสามารถใช้นิ้วมือวาดไปบนอากาศ เพื่อสั่งเพิ่มเสียง ลดเสียง เปลี่ยนเพลง สั่งเปิดแผนที่ ถือว่าล้ำสมัยเลยทีเดียวครับ
การเปิดแผนที่นำทางเราสามารถเปิดได้จาก 2 แหล่ง คือ เปิดจาก Apple CarPlay ผ่านโทรศัพท์ระบบ ios และเปิดแผนที่ของตัวรถด้วยการกดปุ่ม NAV และเมื่อรถอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอย ภาพจะตัดเป็นกล้องหลัง พร้อมเส้นกะระยะ นอกจากนี้ เรายังสามารถเข้าไปตั้งค่าระบบต่าง ๆ ของตัวรถได้ผ่านที่จอกลาง เช่น ตั้งค่าระบบไฟส่องสว่าง ตั้งค่าระบบความปลอดภัย เป็นต้น ถือว่าเป็นจอที่เล่นง่าย ไม่มีระบบอะไรซับซ้อนครับ
แอร์แบบ 3 โซน ด้านหน้าแยกซ้ายขวา และแอร์ตอนหลัง
หัวเกียร์ดีไซน์สวยงาม จับกระชับมือ ส่วนปุ่มทางฝั่งซ้ายที่อยู่ข้างกันนั้นคือเมนูลัด ในการควบคุมจอกลาง ปุ่มเบรกมือไฟฟ้า และปุ่มฝั่งขวาสำหรับเลือกโหมดการขับขี่
เบาะหลังมีพื้นที่กว้างขวาง นั่งสบาย ผมสูง 175 ซม. นั่งแล้วศีรษะไม่ติดเพดาน หัวเข่าไม่ดันเบาะหน้า นั่งโดยสารทางไกลได้แบบสบาย ฐานเบาะใหญ่นั่งได้เต็มก้น พนักพิงอยู่ในองศาที่กำลังดี หน้าต่างด้านข้างขนาดกำลังพอเหมาะ และถ้าเราเปิดหลังคาซันรูฟไปด้วย ก็จะได้ความรู้สึกโล่งโปร่ง มากยิ่งขึ้น
รีวิว BMW 330e M SPORT เครื่องยนต์
BMW 330e M SPORT ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ มีพละกำลัง 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า ที่ 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350 - 4,000 รอบต่อนาที
มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 83 กิโลวัตต์ / 113 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 265 นิวตันเมตร
เมื่อเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน จะผลิตกำลังได้สูงสุด 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร และสามารถเพิ่มกำลังส่งในการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นด้วยระบบ XtraBoost ซึ่งโหมดนี้เครื่องยนต์จะเพิ่มพละกำลังเสริมไปอีก 40 แรงม้า เป็นระยะเวลาประมาณ 10 วินาที สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 230 กม./ชม. สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าแบบเพียว ๆ ได้ระยะทาง 59 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 12.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลัง
ระยะเวลาในการชาร์จไฟ
- การชาร์จแบบปกติ จาก 0-100% ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 45 นาที
- BMW i Wallbox (กำลังชาร์จ 3.7 kWh) จาก 0-100% ใช้เวลา 3 ชม. 30 นาที
ระบบความปลอดภัย BMW 330e M SPORT
- ถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
- ถุงลมนิรภัยศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง (ยกเว้นผู้โดยสารตอนหลังกลาง)
- ระบบ Teleservices
- ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
- ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)
- ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist)
- ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC)
- เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
- ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection)
- เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
- กล้องแสดงภาพด้านหลัง
รีวิว BMW 330e M SPORT การขับขี่
BMW 330e M SPORT ตัวถังมีขนาดที่พอเหมาะ สะดวกทั้งการใช้งานในเมืองและนอกเมือง เป็นรถที่ควบคุมได้ง่าย คล่องตัว ซอกแซกไปตามสภาพการจราจรได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างเกาะถนนมาก พวงมาลัยไว แม่นยำ และให้การตอบสนองที่ดี ระบบช่วงล่างเป็นแบบ Adaptive M จะเปลี่ยนความนุ่ม-แข็ง ตามโหมดการขับขี่ เป็นรถที่สามารถใช้งานได้ทั้งการขับแบบเน้นประหยัดน้ำมัน เริ่มตังแต่ในโหมด EV ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้าเพียว ๆ ไร้มลพิษ สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กม./ชม. แต่เราจะต้องกดคันเร่งไต่ระดับไปเรื่อย ๆ ห้ามคิกดาวน์ ซึ่งตัวเลขที่เคลมไว้เมื่อวิ่งไฟฟ้าเพียว จะอยู่ที่ 59 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC) จากการใช้งานจริง จะได้ระยะทางราว ๆ 40 กม. หากคุณใช้รถวันนึงไม่เกิน 40 กม. ก็แทบจะไม่ต้องใช้น้ำมันเลยล่ะครับ และเมื่อคุณใช้ไฟในแบตเตอรี่หมด ระบบก็จะตัดการทำงานเป็นโหมดไฮบริดให้แบบอัตโนมัติ
ในโหมดไฮบริด เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกัน เฉลี่ยแล้วจะกินน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 14-18 กม./ลิตร แต่ถ้าอยากให้ประหยัดน้ำมันกว่านี้ ก็สามารถปรับไปที่โหมด Eco หรือ Eco Pro ได้ครับ คันเร่งอาจรู้สึกหน่วง ๆ หน่อย แต่ประหยัดน้ำมันขึ้นแน่นอน โดยในโหมดนี้ พวงมาลัยจะเบา และช่วงล่างจะออกแนวนิ่มนวล แต่ไม่ย้วย เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเร่งรีบ หรืออยากซิ่ง ให้ปรับเป็นโหมด Sport หรือ Sport XtraBoost เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะรีดกำลังออกมาเพิ่มอีก 40 แรงม้า รวมเป็น 292 แรงม้า โดยโหมดนี้ พวงมาลัยจะหนักขึ้น และช่วงล่างจะแข็งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมกับการขับขี่ด้วยความเร็ว ส่งผลให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียงแค่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม. พร้อมกับเสียงท่อที่ดังคำรามทั้งด้านนอก และภายในตัวรถ ได้อารมณ์ความสปอร์ตแบบจัดเต็ม
สำหรับการทรงตัวในทางโค้งก็ทำได้ดีเช่นกัน จากการทดสอบเข้าโค้งด้วยความเร็วประมาณ 140 กม./ชม. ช่วงล่างเอาอยู่ น้ำหนักของพวงมาลัยอยู่ในระดับที่กำลังดี เข้าโค้งได้ง่าย หน้าไม่ดื้อ ท้ายไม่ปัด เป็นรถที่เข้าโค้งได้มั่นใจตามสไตล์รถยุโรป
สรุปโดยรวม
แม้จะเป็นรถปลายโมเดล แต่หน้าตาของโฉมนี้ยังดูหรูหรา ล้ำสมัย ระบบต่าง ๆ ที่มีให้ก็ครอบคลุมการใช้งาน ด้วยความที่เป็นรถปลั๊กอินไฮบริด จึงสามารถขับได้ทั้งระบบไฟฟ้า และน้ำมัน เรียกได้ว่าเป็นรถที่ขับได้ทั้งแบบประหยัด และขับซิ่ง และเนื่องจากเป็นรถประกอบไทย จึงมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เพียงแค่ 2,799,000 บาท (รวม BSI STANDARD Package) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับพ่อบ้านขาซิ่งเลยทีเดียวครับ
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ ตรวจสอบราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น