ย้อนกลับไปช่วงปี 2020 มินิได้เปิดตัวรถไฟฟ้า 100% ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยตอนนั้นมีโควต้าเพียง 25 คัน ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที รถทั้ง 25 คัน ถูกจองจนหมดเรียบ ถือเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกของมินิ ที่ได้รับความสนใจมาก ๆ ในช่วงนั้น
มินิ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน ด้วยการดีไซน์ที่โดดเด่น ขนาดตัวรถที่เล็กกะทัดรัด เหมาะกับการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมมินิถึงเป็นรถที่มีผู้ใช้งานอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่มินิผลิตแต่รุ่นเครื่องยนต์สันดาป ได้ถูกพัฒนาต่อยอดตัวถัง Mini F56 ให้เป็นรถไฟฟ้า แต่ทั้งนี้ทางมินิก็ยังคงรักษาคาแรคเตอร์ที่มีดีเอ็นเอ มาจากรถโกคาร์ท จึงทำให้รถยนต์ทุกรุ่นของมินิให้การขับขี่ที่สนุก บทความนี้ออโต้สปินได้มีโอกาสนำ Mini Cooper SE 2023 รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% มารีวิวให้กับทุกท่านได้รับชม ความน่าสนใจของเจ้าคันนี้จะมีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
รับชมรีวิว Mini Cooper SE 2023 รูปแบบวีดีโอ ได้ที่นี่
Mini Cooper SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ไม่ได้ออกแบบตัวถังมาให้เป็นรถไฟฟ้าตั้งแต่แรก แต่ใช้ตัวถังเดียวกันกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาป ในรหัส F56 สังเกตได้จากตัวถังภายนอก ที่มีรูปทรงเหมือนกัน ส่วนการจัดวางตำแหน่งแบตเตอรี่นั้นจะวางที่พื้นเป็นรูปตัว T ทำให้ไม่เสียพื้นที่ในการใช้งาน และมีจุดศูนย์ถ่วงที่ดี ให้การทรงตัวที่ดีแทบไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปเลยทีเดียว
Mini Cooper SE ในปี 2023 นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงออฟชั่นทั้งภายนอกและภายใน เพื่อให้ดูลงตัวมากขึ้น สำหรับภายนอก จากเดิมจุดที่เป็นสีเงินโครเมี่ยม ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำ เช่นกรอบไฟหน้า-หลังสีดำ ขอบกระจังหน้าสีดำ มือเปิดประตูสีดำ โลโก้ Mini สีดำ เป็นต้น
กล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า จะทำหน้าที่ให้กับระบบความปลอดภัย เช่นจับเส้นเลนถนน เวลาขับออกนอกเลนพวงมาลัยจะขืนและดึงกลับให้อยู่ในเลน เป็นต้น รวมถึงมีเซนเซอร์หน้า 4 จุด หลัง 4 จุด
ในส่วนของฝากระโปรงดูผิวเผินจะเหมือนเป็นช่องรับอากาศ แต่ความเป็นจริงแล้วช่องตรงนี้ถูกปิดตาย
สำหรับคันที่นำมารีวิวนี้ เป็นรุ่นที่ทางมินิ คอลแลป กับ PDM สิ่งที่เพิ่มเติมขึ่นมาจากรุ่นปกติ คือ สติ๊กเกอร์หลังคา ,สติ๊กเกอร์กระจกข้าง ,ปุ่มล็อครถลายพิเศษ ,ชุดพรมเสื่อปูพื้นทั้งคัน , PDM Picnic Basket
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุ 211 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะก็จะได้ความจุ 731 ลิตร
ล้อขนาด 17 นิ้ว Electric Power Spoke 2-tone พร้อมยางรันแฟลต 205/45R17 ดีไซน์แปลกตา หากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ ซึ่งการออกแบบล้อลายนี้ จะช่วยให้เจ้าคันนี้วิ่งได้ระยะทางที่ไกล
สำหรับภายใน รุ่นปี 2023 จะถูกตัดออฟชั่นบางอย่างออกไป เช่น ที่ชาร์จแบบไร้สาย หน้าจอ Head Up Display Pop-Up รวมถึงช่องจ่ายไฟ USB มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
หลังคาซันรูปแบบ 2 ตอน แต่จะเปิด-ปิดได้เฉพาะตอนหน้า โดยการกดปุ่มที่ด้านบนเพดาน
เบาะดีไซน์สปอร์ตแบบปรับแมนนวลมือ มีตัวดันหลัง พร้อมระบบอุ่นเบาะร้อน 3 ระดับ เบาะนั่งแล้วรู้สึกนุ่มกำลังดี มีปีกเบาะด้านข้างยื่นออกมาโอบกระชับ แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่ปีกเบาะด้านข้างจะบีบอาจทำให้รู้สึกอึดอัด
จอเครื่องเล่นรองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย เมื่ออยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอย กล้องจะตัดเป็นภาพด้านหลัง ซึ่งภาพที่ได้นั้นก็คมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ที่หน้าจอยังแสดงสถานะเซ็นเซอร์หน้า-หลัง หากเราเคลื่อนรถเข้าใกล้สิ่งกีดขวาง จะมีเสียงเตือนให้ผู้ขับขี่รู้ตัว
ก้านสวิตช์ที่มีอยู่มากมาย ถือเป็นอีกจุดเด่นของภายใน ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ก้าน
- ก้านที่ 1 ระบบจอดรถ โดยระบบจะค้นหาที่จอดรถและนำรถเข้าจอดให้เอง
- ก้านที่ 2 ตัวหน่วง เพื่อให้มอเตอร์ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ได้มากขึ้น โดยมี 2 ระดับความหน่วง
- ก้านที่ 3 สำหรับการสตาร์ทรถ
- ก้านที่ 4 เปิด-ปิดระบบ Traction Control
- ก้านที่ 5 สำหรับปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ มีให้เลือกอยู่ทั้งหมด 4 โหมด คือ Green+ , Green , Mid , Sport
ขุมพลัง Mini Cooper SE 2023
มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า แบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 32.6 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 217 กิโลเมตร ต่อการชาร์เต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) Top Speed 150 กม./ชม.
ระยะเวลาในการชาร์จไฟ จาก 0-80%
- AC Home Socket : 12 ชั่วโมง
- AC Wallbox 7.4 kW : 3 ชั่วโมง 12 นาที
- DC Charge 50 kW : 36 นาที
ทดสอบการขับขี่ Mini Cooper SE 2023
ในเรื่องของอัตราเร่งนั้นไม่มีอะไรน่ากังวลครับ แรงติดเท้า กดคันเร่งปุ๊บ รถพุ่งทะยานไปแบบเงียบ ๆ ไร้แรงหน่วง รู้ตัวอีกทีความเร็วก็ไปตันอยู่ที่ 150-153 กม./ชม. ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโหมดการขับขี่ไหนก็สามารถทำความเร็วได้ถึง Top Speed ถ้าถามว่าแต่ละโหมดให้ความรู้สึกอย่างไร ผมขอตอบแยกทีละโหมด ดังนี้ครับ
- โหมด Green+ เป็นหมดที่ประหยัดพลังงานที่สุด โดยระบบจะตัดการทำงานของคอมแอร์ ทำให้แอร์ไม่เย็น ในโหมดนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางที่ไกลกว่าโหมดอื่น ๆ เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องเซฟไฟในแบตเตอรี่ เช่น ตอนที่ไฟในแบตเตอรี่ใกล้หมด การตอบสนองของคันเร่งในโหมดนี้จะรู้สึกหน่วงเล็กน้อย
- โหมด Green เป็นโหมดประหยัดพลังงาน แต่โหมดนี้คอมแอร์จะทำงาน แอร์เย็น การตอบสนองของคันเร่งในโหมดนี้จะคล้ายกับโหมด Green+ แต่จะได้ระยะทางการวิ่งที่น้อยกว่า Green+ เล็กน้อย
- โหมด Mid เป็นโหมดปกติ ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ ระบบจะเลือกมาที่โหมด Mid ในโหมดนี้คันเร่งจะติดเท้า เหยียบปุ๊บความเร็วมาปั๊บ เป็นโหมดที่ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ทั้งขับในเมือง นอกเมือง อัตราเร่งมาดีมากครับ
- โหมด Sport เป็นโหมดที่แรงที่สุดของรถคันนี้ คันเร่งจะไวกว่าโหมด Mid แค่แตะคันเร่งเบา ๆ รถจะพุ่งทันที เป็นโหมดที่ขับสนุกมาก เหมาะสำหรับขาซิ่งที่ชอบความเร็วแบบวาร์ป แต่ก็จะแลกกับอัตราสิ้นเปลืองพลังงานที่มากกว่าในโหมดอื่น ๆ
ในส่วนของระบบช่วงล่าง ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นเลยล่ะครับ ขับมุดซ้ายมุดขวา เปลี่ยนเลนแบบเร็ว ๆ เข้าโค้งแบบแรง ๆ รถนิ่งมาก ไม่มีอาการร่อนเลยครับ รวมถึงน้ำหนักของพวงมาลัย อยู่ในระดับที่กำลังดี ไม่เบาหวิว และไม่หนักจนเกินไป พวงมาลัยแม่นยำ ได้ความรู้สึกเดียวกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปเลยล่ะครับ เป็นรถที่ขับสนุก ขับแล้วมั่นใจ แต่ช่วงล่างกระด้างตามสไตล์รถมินิ
อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน Mini Cooper SE 2023
การทดสอบในครั้งนี้ จะเน้นใช้งานในเมืองเป็นหลัก ไม่เน้นขับประหยัด แต่เน้นใช้งานจริง เส้นทางที่ขับทดสอบคือ ถนน สุขุมวิท สาธร สีลม กัลปพฤกษ์ พระราม9 ก่อนทดสอบผมได้ชาร์จไฟจนเต็ม 100 % ที่หน้าจอระบุว่า ถ้าวิ่งด้วยโหมด Green+ จะสามารถวิ่งได้ 218 กม. แต่โหมดที่ผมใช้ขับทดสอบคือ Mid
หลังจากที่ได้ทดสอบเป็นระยะทาง 204.9 กม. จนไฟเหลือประมาณ 20% ผมได้นำรถไปชาร์จไฟให้เต็มเหมือนเดิม รวมใช้ไฟไปทั้งหมด 26.1 kWh เมื่อหารออกมาแล้ว 204.9÷26.1 = 7.85 กม./ kWh ถือว่าเจ้าคันนี้เป็นรถที่กินไฟน้อยมากครับ
ในปี 2023 นี้ Mini Cooper SE ยังน่าใช้อยู่มั้ย ?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Mini Cooper SE เปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2020 กับความจุแบตเตอรี่ 32.6 kWh ระยะทางที่มินิเคลมไว้คือ 217 กม.ต่อการชาร์ไฟเต็มหนึ่งครั้ง (NEDC) ซึ่งก็ถือว่าเป็นระยะทางที่เหมาะสมในช่วงปีนั้น แต่พอมาถึงปี 2023 รถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่นเริ่มเปิดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้น จนทำให้ Mini Cooper SE กลายเป็นรถที่วิ่งได้ระยะทางที่น้อยไปโดยปริยาย ถือเป็นจุดด้อยถ้าเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่น ในราคา 2,459,000 บาท ดังนั้นถ้าคุณคิดจะซื้อรถ Mini Cooper SE ในปี 2023 นี้ คุณต้องมองข้ามเรื่องนี้ให้ได้ ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ไม่ได้แสดงว่า Mini Cooper SE 2023 ยังไม่ตอบโจทย์คุณ
แต่ถ้ามองในเรื่องของการดีไซน์ และสมรรถนะการขับขี่ ผมว่า Mini Cooper SE เค้ามีจุดแข็งเรื่องนี้เลยทีเดียว ได้ภาพลักษณ์ที่ดูดี ดีไซน์น่ารัก ได้ช่วงล่างที่ขับสนุก ปลอดภัย และเป็นรถที่กินไฟน้อย ถ้าในหนึ่งวันคุณใช้รถไม่เกิน 190 กม. เน้นใช้งานในเมือง ไม่ได้ออกต่างจังหวัดบ่อยก็ซื้อได้ครับ แต่ถ้าในหนึ่งวันคุณใช้งานมากกว่า 190 กม. หรือต้องเดินทางไกลบ่อย หรือในระแวกบ้านไม่ค่อยมีสถานีชาร์จไฟ Mini Cooper SE 2023 อาจจะยังไม่ตอบโจทย์คุณ
Mini Cooper SE 2023 ราคา 2,459,000 บาท
อัปเดตข่าวรถยนต์ ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสอง ทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น