ผู้ใช้งานรถยนต์จำนวนไม่น้อย มีความเชื่อว่าตัวเองขับรถเป็นอยู่แล้ว แต่เรากล้าพูดได้เลยว่าทักษะของคนจำนวนไม่น้อย อยู่ในระดับ "ขับได้" เพราะอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ จะดีกว่าไหมถ้าเรามีทักษะแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้นได้? เพราะนี่แหละถึงจะเรียกได้ว่าคุณ "ขับรถเป็น"
ขับได้ กับ ขับเป็น ไม่เหมือนกัน
รถยนต์ ยานพาหนะสำหรับการเดินทางยอดนิยมของคนไทย เพราะมันช่วยทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยคนที่เป็นผู้ขับรถยนต์นั้นมักจะมีความเข้าใจว่าการที่เราสามารถควบคุมพวงมาลัย, คันเร่ง, เบรก, เกียร์,เลี้ยวรถ, จอดรถ, เดินหน้า-ถอยหลังได้ ก็มักจะอนุมานไปแล้วว่าขับรถเป็น
กระทั่งการเรียนเพื่อไปสอบใบขับขี่ แม้ว่าคุณจะผ่านการสอบใบขับขี่ มีความรู้เรื่องข้อกฎหมายมาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ทักษะเหล่านี้มีไว้เพื่อเพียงพอสำหรับให้คุณ "ขับรถได้" เท่านั้น
ทว่า ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น คุณลองจินตนาการดูว่า คุณขับรถมาด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ปรากฎว่ารถคันหน้าเกิดเบรกกระทันหันในระยะเพียงแค่ 100 เมตร หากคุณเห็นแล้วเหยียบเบรกทันทีแบบ 100% ของแป้นเบรก คุณจะหยุดรถพอดีที่ท้ายรถของคันข้างหน้า...ทว่าสิ่งที่เราพบกันโดยปกติคือหลายๆ คนจะไม่กล้าเหยียบเบรกเต็ม 100% เพราะมักจะค่อยๆ ไล่กำลังเบรกเข้าไป ซึ่งจะทำให้คุณหยุดรถไม่ทัน
หรือในกรณีที่มีสิ่งกีดขวางอยู่ในโค้งอับสายตา หากคุณมาด้วยความเร็วขณะเข้าโค้ง และพบว่ามีรถจอดอยู่ในโค้ง เป็นคุณจะหักหลบ หรือเหยียบเบรก?
กระทั่งในกรณีที่มีรถจอดอยู่บนถนน หรือมีสิ่งกีดขวางอยู่บนเลนที่คุณอยู่อาทิเช่น ซากยางของรถบรรทุกที่ระเบิดอยู่บนถนน บอกเลยว่าถ้าคุณเผลอไปชนมันเข้า รถของคุณเสียหายอย่างแน่นอน 100% เอาว่า หากคุณขับรถมาด้วยความเร็วเพียง 90 กม./ชม. การหักหลบนั้นบอกเลยว่าอันตรายมาก หากคุณมีทักษะไม่เพียงพอ เพราะหากคุณทำผิดวิธี รถอาจเสียหลักได้เลย
สถานการณ์เหล่านี้ คือสิ่งที่ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่เชื่อว่าต้องเคยเจออย่างแน่นอน
Skill Driving Experience by IMC
ทางสื่อสากลเล็งเห็นว่า สาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินจํานวนมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้ขับขี่ไม่มีทักษะ และประสบการณ์ในการควบคุมบังคับรถในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเพียงพอ จึงทำให้เกิดโครงการ Skill Driving Experience ขึ้นมา
อันเป็นโครงการฝึกอบรมทักษะการขับรถยนต์ในขั้นสูงขึ้น โดยอ้างอิงจากสถานการณ์จริงที่คุณมักจะได้พบเจอกับการขับรถจริงๆ บนท้องถนน เอามาเรียนรู้ และฝึกฝนวิธีแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้นอย่างถูกต้องและปลอดภัย เป็นทักษะติดตัวคุณเพื่อนำไปใช้งานได้จริงบนท้องถนน เพื่อทำให้คุณ "ขับรถเป็น และปลอดภัย"
โดยรถยนต์ที่ใช้ในการเรียนการสอนจะมีครบทุกรูปแบบ ทั้งรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า, ล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อให้คุณทำความรู้จักกับระบบขับเคลื่อนต่างๆ ว่ามันมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันอย่างไร มีจุดเด่น/จุดด้อยตรงไหนบ้าง
โดยรถยนต์ที่ใช้ในการฝึกอบรมนี้มีหลากหลายรุ่น จากหลากหลายแบรนด์ ทั้ง Audi, BMW, Mercedes-Benz และ Subaru
เนื้อหาการเรียนการสอนใน 1 วัน จัดว่าเข้มข้น เน้นเรื่องของการใช้งานจริง โดยจะเริ่มต้นจากการบรรยายภาคทฤษฎีในห้องเรียนก่อน ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ
โดยทางครูผู้สอน จะให้เรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถยนต์นั้นล้วนแล้วเป็นกฎฟิสิกส์ทั่วไปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องของจุดศูนย์ถ่วงของรถที่สามารถถ่ายเทไปได้ทุกทิศทาง ประกอบกับเรื่องของการยึดเกาะของยางรถยนต์ ที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขับขี่
สิ่งที่พื้นฐานที่สุดของการเรียนการสอนนี้คือจะให้คุณ "ปรับท่านั่งและพวงมาลัยให้ถูกต้องตามหลัก" หลายๆ คนอาจมองว่าเป็นท่านั่งที่ไม่สบาย ดูแน่นๆ อึดอัด แต่ต้องบอกว่านี่คือท่านั่งที่ถูกต้องตามหลักการ เพราะมันจะทำให้คุณควบคุมรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยล้วนๆ
ส่วนภาคปฎิบัติ สำหรับบุคคลทั่วไปประกอบด้วย 3 สถานี ได้แก่
- Oversteering : แก้ไขอาการรถหมุน
- Understeering and Emergency Brake : แก้ไขอาการหลุดโค้งและการเบรคฉุกเฉิน
- Emergency Handling : เรียนรู้การควบคุมอาการรถเวลาเสียหลัก
การปรับเบาะนั่งรถยนต์อย่างถูกต้อง
การปรับเบาะนั่งรถยนต์อย่างถูกต้อง มีอยู่ 4 ข้อหลัก ได้แก่
- ปรับความสูงเบาะให้สูงที่สุด แต่ต้องเหลือพื้นที่เหนือศีรษะไว้ เพื่อให้มองเห็นระยะตัวรถรอบคันได้ชัดเจน โดยเฉพาะหน้ารถ โดยทั่วไปจะให้เหลืออย่างน้อย 1 ฝ่ามือ
- ปรับระยะขา ด้วยวิธีการปรับเบาะเข้า-ออก ซึ่งเป็นการปรับระยะขา เพื่อทำให้เราสามารถเหยียบเบรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีปรับ ให้เรานั่งให้สะโพกแนบตัวเบาะลึกที่สุด และสามารถเหยียบเบรคแบบ 100% ได้โดยขาไม่ตึง หัวเข่ายังงออยู่ และสะโพกไม่ขยับ
- ปรับพนักพิงหลัง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ต้องปรับให้ตั้งตรงที่สุด โดยที่เรายังนั่งสบายอยู่
- ปรับตำแหน่งหัวหมอน ให้ตำแหน่งหูของเราอยู่กึ่งกลางหัวหมอน เมื่อมองจากด้านข้าง การปรับแบบนี้เมื่อถูกชนจากด้านหลัง หัวหมอนจะช่วยรองรับแรงกระแทกให้ศีรษะเราได้
การปรับพวงมาลัยรถยนต์อย่างถูกต้อง
การปรับพวงมาลัยรถยนต์อย่างถูกต้อง หลักคือเราต้องสามารถบังคับได้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 3 กับ 9 นาฬิกา เมื่อจับแล้วแขนทั้ง 2 ข้างต้องสามารถงอได้ แขนไม่ตึง และต้องมองเห็นเรือนไมล์อย่างชัดเจน
สำหรับทักษะการขับขี่นั้น ขอแนะนำให้ท่านไปสัมผัสด้วยตัวเองด้วยการลงทะเบียนเรียน โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
อัปเดตข่าวรถยนต์ ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสอง ทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น