การเปิดโลกออฟโรดครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย Jeep ซึ่งได้จัดคอร์ส “Jeep® 101 Academy” เพื่อเป็นการเรียนรู้บททดสอบเพื่อฝึกทักษะการขับขี่แบบออฟโรด แน่นอนว่ารถที่เราจะได้ขับนั้นต้องเป็นเจ้าพ่อแห่งเส้นทางออฟโรดอย่าง Jeep Wrangler Rubicon ด้วย บอกเลยว่าคอร์สนี้สนุกมาก!
สนามเทสรถในงาน Jeep ® 101 Academy
จุดเด่นของงาน Jeep® 101 Academy จะเป็นคอร์สที่จัดในสนามทดลองขับรถ Jeep ตั้งอยู่ในย่านนิมิตใหม่ กรุงเทพมหานคร ณ โชว์รูม P&S Jeep นิมิตใหม่ โดยผู้เข้าอบรมในคอร์สนี้จะได้รับความรู้เรื่องการขับขี่แบบออฟโรดจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัวในสนามการทดสอบที่เสมือนว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ
สนามจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซน A มี 3 Stations และ โซน B อีก 2 Stations ซึ่งทั้งหมด 5 Stations นี้จะเป็นการจำลองสภาพเส้นทางที่เราจะต้องพบเจอจริงๆ เมื่อเราเริ่มเข้าสู่วงการการขับขี่แบบออฟโรด เช่น
- Stations ที่ 1 จุดลาน Warm-Up ที่มีสภาพเส้นทางเป็นทางลูกรัง มีทางโค้งมุมหักเลี้ยวแคบๆ และ เนินตัดสลับกันเล็กน้อย เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องและทำความเข้าใจกับรถที่เราจะขับกัน
- Stations ที่ 2 จุดดาวอังคาร มีสภาพเส้นทางเป็นทางดินแคบๆ มีหลุมบ่อที่ค่อนข้างลึก และมีเนินและหลุมตัดสลับกันภายในทางดินนั้นอีกทีนึง
- Stations ที่ 3 จุดหลุมอุกกาบาต มีสภาพเส้นทางเป็นหลุมที่ลึกมากๆ และมีความลาดชันสูงทำให้ยากต่อการมองเห็นทัศนวิศัยด้านหน้ารถและการขับขี่รถ
- Stations ที่ 4 จุดลานแอตแลนติก ที่มีสภาพเส้นทางแบบเนินตัดสลับต่อเนื่องไปจนถึงเนินดินที่เทโค้งแบบมีองศาที่ชันราวกับว่าขับขึ้นไปแล้วรถจะพลิกคว่ำ ปิดท้ายด้วยบ่อโคลนเละๆ ที่ชวนใช้ Traction ของรถ
- Stations ที่ 5 จุดล่องแก่ง มีสภาพเส้นทางเหมือนการจำลองสภาพแม่น้ำลำธารที่ค่อนข้างลึกในระดับหนึ่ง ทอดยาวต่อเนื่องไปจนถึงเส้นทางที่เป็นร่องดินโคลนลึกๆ และเต็มไปด้วยน้ำสีดำทมิฬพร้อมกับโคลนตมเละๆ ซึ่งจะยากต่อการบังคับและควบคุมตัวรถ
ด่านทดสอบที่มีความท้าทายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบสมรรถนะของ Jeep โดยตรง เช่น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Rock Trac 4x4 พร้อมอัตราทดเกียร์ 4:1 ระบบปลดเหล็กกันโคลงไฟฟ้า Electronic Front Sway Bar Disconnect, ระบบล็อคเฟืองขับหน้าหลังแบบไฟฟ้า Tru-lok Front & Rear Locking Differential
ระบบ Off Road+ ผ่าน 5 คุณสมบัติที่สะท้อนความเป็นตัวจริงของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Jeep® การยึดเกาะ หรือ Traction, การควบคุมที่แม่นยำบนทางวิบากและทางแคบ Maneuverability, ความยืดหยุ่นของระบบกันสะเทือน Articulation, การลุยน้ำ Water Fording และ ความสูงใต้ท้องรถ หรือ Ground Clearance เป็นต้น
นอกจากการได้ทดสอบสมรรถของรถยนต์จากทาง Jeep แล้ว บอกเลยว่าคุณจะได้ทักษะการขับขี่แบบออฟโรดจากผู้เชี่ยวชาญและจะทำให้คุณไม่ต้องกลัวอีกต่อไปเมื่อนำรถไปลุย ซึ่งทาง จี๊ป ประเทศไทย ยังได้จัด “Jeep® 101 Academy:Jeep® Test Day” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจและต้องการทดลองขับ Jeep ในแบบออฟโรดด้วย ในวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2566 ซึ่งสามารถติดต่อและลงทะเบียนกับเฟซบุ๊กแฟนเพจ Jeep Thailand ได้เลย
รถยนต์ที่ใช้ทดสอบในงาน Jeep® 101 Academy
ในส่วนของรถยนต์ที่เราใช้ทดสอบกันในงาน Jeep® 101 Academy ก็ไม่ใช่รุ่นอื่นใด นั่นก็คือ Jeep Wrangler Rubicon ราชาออฟโรดสัญชาติอเมริกันที่สะท้อนตัวตนผ่านชื่อของสภาพเส้นทางออฟโรดที่โหดร้ายที่สุดอย่าง Rubicon เป็นตัวโหดโดดเด่นของทาง Jeep เขาเลย ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละสนามที่เราได้พบเจอนั้น ถ้าไม่ใช่ Jeep และไม่มีผู้เชี่ยวชาญไปด้วย ผมก็คงคว่ำคาเนินไปแล้ว
สำหรับ Jeep Wrangler Rubicon นั้นจะใช้เครื่องยนต์ Petrol 4Cyl. 2.0L Turbo หรือก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนแบบ 4x4 พร้อมโหมดขับเคลื่อน 2H, 4H Auto, 4H Part Time และ 4L ให้พละกำลังพุ่งๆ ที่ 270 แรงม้า กับแรงบิดแน่นๆ อีก 400 นิวตันเมตร พร้อมลุยทุกสภาพเส้นทาง
ในการทดสอบเราจะได้ลองใช้โหมดที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่แบบออฟโรดทั้งหมดซึ่งต้องบอกว่าแม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่มาก หนักมาก และ สูงมาก ที่ ยาว 4,334 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,892 มิลลิเมตร มีระยะฐานล้อ 2,459 มิลลิเมตร แต่เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน และ โหมดต่างๆ มันทำให้รถคันนี้ผ่านทุกสถานีทดสอบได้แบบปลอดภัยสนุกมากสำหรับการขับขี่
ในสภาพเส้นทางโซน A เราได้มีการทดสอบการใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part Time ประกอบกับโหมด Sway Bar ซึ่งต้อบอกว่าเป็นหัวใจหลักในการขับออฟโรดของ Jeep และไม่มีใครทำได้ดีเท่า Jeep เลยก็ว่าได้
เมื่อกดปุ่ม Sway Bar ระบบก็จะทำการตัดการเชื่อมต่อของเหล็กกันโคลงด้านหน้าออก ซึ่งประโยชน์ของปุ่มนี้คือเอาไว้ใช้เมื่อต้องขับผ่านเส้นทางที่เป็นเนินสลับหรือเนินที่มีความลาดเอียงสูงๆ หรือใช้ในกรณีที่ช่วงล่างติดเนินจนล้อแขวนลอย
แน่นอนว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ชาวออฟโรดจะต้องพบเจอแน่ๆ ในการขับจริง แต่สำหรับ Wrangler Rubicon เมื่อเรากดปุ่ม Sway Bar ก็จะทำให้ล้อรถทิ้งตัวลงพื้นได้อย่างเป็นอิสระ ช่วยให้ผ่านเส้นทางที่เป็นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย และรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยในการขับขี่เพราะล้อติดพื้นและมี Traction ตลอด
นอกจากนี้ในโซน A ก็ยังมีอีก 1 สถานนีที่ชูจุดเด่นของโหมดช่วยขับและกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างดีนั่นนก็คือสถานีหลุมอุกกาบาตซึ่งมีสภาพเส้นทางเป็นทางลาดชัน ชันแบบที่ว่าตูดชี้ฟ้าหน้าจมดิน พอขึ้นมาจากหลุมนี้แล้วหน้าก็ชี้ฟ้าตูดก็มุดดินแทนเลยทีเดียว ตัวช่วยในด่านนี้คือโหมดช่วยออกตัวและชะลอตัวสำหรับทางลาดชันซึ่งงายดายแค่คลิกเดียว
ด้วยกำลังเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ของ Wrangler Rubicon ทำให้โหมดช่วยออกตัวและชะลอตัวสำหรับทางลาดชันนั้นใช้งานได้สบายมาก เพียงแค่กดปุ่มเดียวตัวรถก็จะออกตัวชะลอขับลงเส้นทางที่ลาดชันมากๆ และค่อยๆ ขับขึ้นทางลาดชันให้เราเองด้วยพละกำลังที่มหาศาลโดยที่เราแทบไม่ต้องเหยียบคันเร่งและเบรกเลย แถมใช้ได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลังด้วย ขอแค่เราคอยประคองพวงมาลัยและมองไลน์การขับผ่านจอแสดงผล 8.4 นิ้ว ตรงกลางคอนโซลให้ดีก็ผ่านไปได้แบบชิลล์ๆ
พอผ่านมาถึง โซน B ซึ่งเป็นโซนที่มีความท้าทายสูงมากสำผมที่เป็นผู้ขับขี่ แต่เมื่อผ่านโซน A มาแล้วก็ทำให้มั่นใจได้ว่าถ้าขับ Jeep ไม่ว่าจะทางแบบไหนเราก็รอดและไม่คว่ำแน่นอน การผ่านโซน B ของผมจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเหมือนตอนที่ยืนดูสื่ออื่นๆ ทดสอบกัน แต่กลับดูเป็นเรื่องท้าทายและน่าสนุกมาก
ในโซนนี้จะไม่ได้เน้นใช้งาน Sway Bar เท่าไหร่ ด้วยสภาพเส้นทางที่เป็นแอ่งน้ำ ทางดินโคลน และ บ่อโคลนตมสีดำทิฬแบบเละกำลังได้ที่ การขับรถผ่านเส้นทางแบบนี้จึงไม่ได้ต้องการความยืดหยุ่นของระบบช่วงล่างเท่าไหร่ แต่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์และแรงตะกุยจากระบบขับเคลื่อนพร้อมกับการควบคุมที่ดีของตัวรถมากกว่า
โซน B จึงเน้นใช้การควบคุมรถกับ Traction Control พร้อมกับใช้ชุดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เป็นแบบ Diff-Lock ไฟฟ้าซึ่งมีส่วนช่วยเยอะมาก และใช้จอ 8.4 นิ้ว ที่คอนโซลกลางในหน้าฟังก์ชัน Off Road Pages ไม่ว่าจะเป็น Pitch & Roll ที่เป็นการดูระดับองศาความเอียงความชันของรถ ประกอบกับการใช้ TrailCam เพื่อเป็นไกด์ไลน์เส้นทางขับการเลี้ยวรถบนภาพจริงด้านหน้าที่เราอาจมองไม่เห็นจากสถานการณ์ต่างๆ
แม้ว่าในบางจุดเราจะมองไม่เห็นพื้นหรือทางข้างหน้าเลยแต่ฟังก์ชันเหล่านี้ก็สามารถเป็นตัวช่วยให้เราขับผ่านจุดต่างๆ ไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อถึงจุดที่ต้องการความยืดหยุ่นของช่วงล่างก็เพียงแค่กดปุ่ม Sway Bar ให้เหล็กกันโคลงตัดการทำงาน เมื่อออกตัวไปได้แป๊บเดียวเสียงดังแต๊กก็ดังขึ้น นั่นคือสัญญาณให้เรารู้ได้เลยว่ารถคันนี้พร้อมลุยแล้วหรือจะดูรายระเอียดการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านหน้าจอได้เลย บวกกับระบบพวงมาลัยที่ควบคุมง่ายกับ Traction Control ที่เร็วทันใจก็ทำให้เราผ่านทุกจุดได้สบายมาก
จากการที่เราลองทดสอบครบทุกจุดแล้วก็ทำให้เราได้รู้ว่าสภาพเส้นทางที่โหดร้ายขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ Jeep Wrangler Rubicon ตัวผมและช่างภาพเองก็คงรถพลิกคว่ำคาเนินสูงหรือไม่ก็อาจจะรถติดแอ่งจมบ่อโคลนจนไม่ได้ขับไปไหนเลยก็เป็นได้ เป็นรถยนต์ราคา 5 ล้านกว่าบาทที่รู้สึกว่ามันน่าจะแพงกว่านี้ได้อีกนะรถที่ดีขนาดนี้ ยกให้เป็นราชาทางออฟโรดของแท้ไปเลยสำหรับคนที่ชอบขับออฟโรดและชอบแคมป์ปิ้งแบบผม
ใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่สนุกเร้าใจแบบนี้และได้ความรู้เรื่องการขับขี่แบบออฟโรดแบบเต็มที่จากผู้เชี่ยวชาญจริงๆ สามารถลงทะเบียนงาน “Jeep® 101 Academy:Jeep® Test Day” เพื่อทดลองขับ Jeep ในแบบออฟโรดได้เลยที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Jeep Thailand งานนี้จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2566 นี้
โดยสามารถสอบถามและลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ facebook.com/jeepthailand (https://m.me/jeepthailand) หรือ Line ID:@jeepthailand (https://lin.ee/G3Pgmh4) ภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 อีกทั้งยังจะมีการจัดคอร์สระดับกลางและสูงในโอกาสต่อไปอีกด้วย ถ้าสนใจก็ตามมาเลยครับสนุกมาก!
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น