รีวิว Aion Y Plus 490 Premium คันเดียวจบ ได้ครบทุกความต้องการ Share this
รีวิวรถยนต์
โหมดการอ่าน

รีวิว Aion Y Plus 490 Premium คันเดียวจบ ได้ครบทุกความต้องการ

Champ Autospinn
โพสต์เมื่อ 12 February 2567

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าไซส์ใหญ่ ภายในกว้าง ฟังก์ชันครบในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท บอกเลยว่า Aion Y Plus 490 Premium ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน


ต้องยอมรับว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างก็งัดจุดเด่นของตัวเอง สู้กันแบบดุเดือดเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด หนึ่งในนั้นคือ Aion แบรนด์ในเครือ GAC ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยยังไม่ถึงปี แต่กวาดยอดจองไปแบบถล่มทลาย พร้อมกับตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทย ที่จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2024 นี้

บทความนี้ ออโต้สปินน์ ได้มีโอกาสขับทดสอบ Aion Y Plus Premium ซึ่งเป็นรุ่นย่อยใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของรุ่นย่อยใหม่นี้ คือได้อัปเกรดฟังก์ชันเพิ่มเติมจากในรุ่นเริ่มต้น (490 Elite) 24 รายการ

ราคา Aion Y Plus ปี 2024

  • รุ่น 490 Elite ราคา 899,900 บาท
  • รุ่น 490 Premium ราคา 995,900 บาท

การทดสอบในครั้งนี้ เป็นกิจกรรม SMART CAR for Smart Living ที่ Aion ประเทศไทย จัดขึ้น ขับจาก กรงเทพฯ – เขาใหญ่ – กรุงเทพฯ รวมระยะทางไปกลับ 460 กม. มีโอกาสทดสอบทั้งในเรื่องพละกำลัง ระบบช่วงล่าง ฟังก์ชันการใช้งาน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ จึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังครับ

Aion Y Plus รุ่น 490 Premium ต่างจากรุ่น 490 Elite อย่างไร ?

AION Y Plus 490 Premium ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันเพิ่มขึ้น 24 รายการ ดังนี้

  1. ระบบไฟสูงอัจฉริยะ (IHBC)
  2. ระบบฝาท้าย เปิด-ปิด อัจฉริยะ (Smart Tailgate)
  3. เบาะนั่งคนขับพร้อมระบบระบายอากาศ (Front Seat Ventilation)
  4. ระบบ Welcome Seat ปรับระดับที่นั่งอัตโนมัติเมื่อเปิดประตูรถ
  5. เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยไฟฟ้าแบบ 4 ทิศทาง
  6. เบาะผู้โดยสารตอนหลังพร้อมพนักพิงศีรษะ
  7. เบาะผู้โดยสารตอนหลังพร้อมที่พักแขน
  8. กระจกมองหลังแบบตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
  9. ไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 32 เฉดสี เปลี่ยนสีอัตโนมัติตามจังหวะดนตรี
  10. ล้อดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว
  11. ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC S&G)
  12. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA)
  13. ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)
  14. ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
  15. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
  16. ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
  17. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร (LKA)
  18. ระบบกล้องมองภาพแบบพาโนรามา Panorama HD 540 องศารอบตัวรถ
  19. ระบบนำทางเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตออนไลน์ (Navigation System)
  20. ระบบสั่งการด้วยเสียง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (Voice Command TH/EN)
  21. ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging)
  22. ระบบควบคุมคำสั่งรถยนต์จากระยะไกล ผ่าน Application
  23. สายชาร์จฉุกเฉิน Emergency Charger
  24. ระบบเชื่อมต่อและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก  (V2L)

จาก 24 รายการด้านบน ถือว่าคุ้มค่ามากครับ กับเงินที่จ่ายเพิ่มจากรุ่นเริ่มต้น 96,000 บาท อัปเกรดเพิ่มเติมทั้งภายนอก ภายใน และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกหลายระบบ

ดีไซน์ภายนอก ในรุ่น 490 Premium จะได้ล้อขนาด 18 นิ้ว ยาง 215/50R18 แต่ถ้าเป็นรุ่น 490 Elite จะได้ล้อขนาด 17 นิ้ว ยาง 215/55R17 แม้ขนาดล้อจะต่างกัน แต่ขนาดเส้นรอบวงรวมยาง จะมีขนาดที่พอกัน ทำให้ความรู้สึกตอนขับออกตัวไม่ต่างกันครับ

รุ่น 490 Premium อัปเกรดระบบฝาท้ายไฟฟ้ามาให้จากโรงงาน สามารถสั่งเปิดปิดได้ที่หน้าจอกลาง เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน

อีกจุดที่ผมชอบก็คือ รุ่น 490 Premium มีระบบ V to L (Vehicle to Load) เป็นระบบที่สามารถจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกได้ เหมาะสำหรับสายแคมป์ปิ้งเวลาไปเที่ยวนอกบ้าน เราสามารถเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเช่น เครื่องทำป๊อปคอน พัดลม เตาย่างไฟฟ้า หม้อสุกี้ไฟฟ้า เครื่องดนตรีไฟฟ้า เสียบเข้ากับตัวรถได้เลย เปรียบเสมือนรถเป็นแหล่งจ่ายไฟเคลื่อนที่

ในส่วนของภายใน มีฟังก์ชันเพิ่มเติมจากรุ่นเริ่มต้นให้หลายจุดเลยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นฟังก์ชันเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน เช่น เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ,เบาะคนขับมีระบบระบายอากาศ พร้อมระบบ Welcome Seat ปรับระดับที่นั่งอัตโนมัติเมื่อเปิดประตูรถ ,เบาะผู้โดยสารตอนหลังมีพนักพิงศีรษะ พร้อมที่พักแขน ,มี Wireless Charging และยังมีฟังก์ชันยิบย่อยอีกหลายจุด ประกอบกับรุ่นนี้ มีภายในที่กว้างขวางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้รุ่น 490 Premium เป็นรถที่น่าใช้งานมากครับ

หน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย เสริมความหรูหราด้วยไฟสร้างบรรยากาศ Ambient Light 32 เฉดสี ที่สามารถเปลี่ยนสีอัตโนมัติตามจังหวะดนตรี ใครที่ได้ลองขึ้นมานั่งและเล่นฟังก์ชั่นต่าง ๆ ก็จะรู้สึกว่ารุ่นนี้ดูล้ำสมัย แต่ยังมีบางฟังก์ชั่นที่ยังไม่สามารถใช้งานได้ในตอนนี้เช่น Apple CarPlay และ ระบบกล้องมองภาพแบบพาโนรามา 540 องศา ซึ่ง 2 ฟังก์ชั่นนี้ต้องรออัพเดต Software คาดว่าเร็ว ๆ นี้น่าจะใช้งานได้ปกติ

อีกจุดที่ตอกย้ำความคุ้มค่า ก็คือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีให้เยอะมากเมื่อเทียบกับรุ่นเริ่มต้น จากการที่ได้ทดลองใช้งานในระบบต่าง ๆ ถือว่าทำงานได้เสถียรระดับนึงครับ เช่น ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC S&G) ที่ทำงานจนถึงจุดหยุดนิ่ง และสามารถตั้งระยะห่างระหว่างรถเรากับคันหน้าได้ ช่วงที่รถคันหน้าชะลอ รถของเราจะค่อย ๆ เบรก แบบหัวไม่ทิ่ม พอรถคันหน้าเคลื่อนที่ รถเราก็จะค่อย ๆ เร่งความเร็วแบบไม่กระชาก และถ้าคันหน้าเบรกกะทันหัน รถเราก็มีระบบช่วยเบรกให้ด้วยครับ

แต่สำหรับระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ผมว่าระบบนี้ทำงานรุนแรงไปหน่อยครับ หากเป็นรถรุ่นอื่นที่มีระบบนี้ เวลาขับเปลี่ยนเลนแบบไม่เปิดไฟเลี้ยว พวงมาลัยจะขืนเบา ๆ แบบพอหอมปากหอมคอเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้ตัว และยินยอมให้ผู้ขับขี่ขืนพวงมาลัยสู้ได้ แต่สำหรับ Aion Y Plus 490 Premium พวงมาลัยจะสู้มือแรงมากครับ ประมาณว่าต้องให้เราเปิดไฟเลี้ยวเท่านั้นถึงจะยินยอม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ช่วยให้คนขับมีวินัยในการเปิดไฟเลี้ยวตอนเปลี่ยนเลน แต่สำหรับถนนในประเทศไทยบางช่วงที่เป็นทางแคบ ทำให้ต้องขับชิดกับเส้นเลนถนนแบบเลี่ยงไม่ได้ หากเราเปิดระบบ (LKA) ไว้ อาจทำให้คนขับมีตกใจกันบ้าง หากใครที่ไม่ชอบระบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะสามารถเข้าไปปิดระบบนี้ได้ หรือจะตั้งค่าให้แจ้งเตือนแค่เสียง หรือสั่นอย่างเดียวก็ได้ครับ โดยรวมของระบบความปลอดภัยในรุ่น 490 Premium ถือว่ามีครบครันเลยทีเดียว

ในส่วนของขุมพลังขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะเป็นสเปกเดียวกัน คือ มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดแม่เหล็กถาวร 1 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. จะใช้เวลาประมาณ 8.5 วินาที

ประเภทแบตเตอรี่ Magazine Battery LFP ความจุ 63.2 kWh แรงดัน 400 V รองรับการชาร์จ AC 7 kW และ DC 80 kW ระยะทางวิ่งสูงสุดเมื่อชาร์จไฟเต็ม 490 กม. (NEDC)

ใช้งานจริง หากใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. จะได้ระยะทางประมาน 400 กม. แต่ถ้าใช้ความเร็วเกินกว่านั้นหรือขับซิ่งหน่อย ระยะทางก็จะลดหลั่นลงไป หากใครขับซิ่ง ๆ หน่อยก็จะได้ประมาณ 360 กม.

ในเรื่องของพละกำลัง จากการขับทดสอบ Aion Y Plus 490 Premium จะได้ความรู้สึกเหมือนกับรุ่น 490 Elite ทุกประการครับ แรงติดเท้าในแบบฉบับรถครอบครัวตัวถังใหญ่ แม้จะไม่ได้แรงแบบหลังติดเบาะ แต่ก็สามารถไต่ระดับความเร็วไปได้เรื่อย ๆ แบบไร้แรงหน่วง รู้ตัวอีกทีความเร็วก็ไปตันอยู่ที่ท็อปสปีด 163 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ถูกล็อคเอาไว้ ถ้าถามว่าแต่ละโหมดให้ความรู้สึกอย่างไร ผมขอตอบแยกทีละโหมด ดังนี้ครับ

โหมด Eco เป็นโหมดประหยัดพลังงาน ในโหมดนี้จะถูกจำกัดความเร็วไว้ที่ 130 กม./ชม. และคันเร่งจะไม่ได้ไวมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอืดแต่อย่างใด เหมาะกับการใช้งานแบบทั่วไป สามารถใช้โหมดนี้ในชีวิตประจำวันได้

โหมด i-Pedal เป็นโหมดประหยัดพลังงานเช่นเดียวกับโหมด Eco แต่จะต่างตรงที่ เมื่อเรายกคันเร่ง ตัวรถจะหน่วงมาก คล้ายกับเราแตะเบรก ซึ่งจังหวะนี้มอเตอร์จะรีเจนไฟกลับไปเก็บในแบตเตอรี่มากขึ้น ถือเป็นไฟที่เราได้มาแบบฟรี ๆ เลย ทำให้การขับขี่ในโหมดนี้ จะได้ระยะทางที่มากกว่าโหมดการขับขี่อื่น หากใครที่เคยใช้รถน้ำมันมาก่อน แล้วมาใช้รถไฟฟ้าในโหมดนี้ จะไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะรถมันจะเบรกให้เองเมื่อยกคันเร่ง แรกๆจะทำให้คุณมึนหัว แต่ถ้ารู้หลักการทำงานของระบบ และใช้งานไปซักระยะเพื่อทำความคุ้นชิน คุณจะหลงรักโหมดนี้ทันที เพราะรถจะค่อย ๆ เบรกให้เองจนถึงจุดหยุดนิ่ง คุณแทบไม่ต้องสลับเท้าไปเหยียบเบรก ส่วนการทำความเร็วของโหมดนี้จะเหมือนกับโหมด Eco ครับ คือถูกล็อคเอาไว้ที่ 130 กม./ชม.

โหมด Normal หรือโหมดปกติ ในโหมดนี้คุณสามารถใช้ความเร็วได้จนถึงท็อปสปีด คือ 163 กม./ชม. แต่สิ่งที่ต่างจากโหมด Eco ก็คือ คันเร่งจะไวขึ้น ได้ความรู้สึกว่ารถมีพละกำลังมากขึ้น ขับขึ้นเนินชัน รวมถึงจังหวะที่เร่งแซง ก็ไปได้แบบสบายมั่นใจหายห่วง ไม่รู้สึกอืด แต่เมื่อความเร็วไปแตะช่วง 140 กม./ชม. จะมีความรู้สึกตื้อเล็กน้อย แต่คุณก็สามารถเค้นกำลังไปจนถึงความเร็วท็อปสปีดได้ไม่ยากครับ

โหมด Sport เป็นโหมดที่แรงที่สุดของรถคันนี้ คันเร่งจะไวกว่าทุกโหมดที่ได้กล่าวมา แค่แตะคันเร่งเบา ๆ รถจะพุ่งทันที เป็นโหมดที่ขับสนุกมาก เหมาะสำหรับขาซิ่งที่ชอบความเร็วแบบวาร์ป แต่ก็จะแลกกับอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน ที่กินไฟแบบลดฮวบ มากกว่าในโหมดอื่น ๆ

สำหรับระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม จะเซ็ทมาแบบกลาง ๆ ไม่ย้วย ไม่แข็งกระด้าง ให้ความนุ่มนวลกำลังดี เมื่อขับผ่านทางขรุขระ เช่น ขับผ่านเส้นชะลอความเร็ว จะมีความรู้สึกสะเทือนเล็กน้อย ช่วงล่างยึดเกาะถนนได้ดีทั้งในทางตรง และทางโค้ง ที่ช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณขับเปลี่ยนเลนแบบรุนแรง หรือขับซิ่งปาดซ้าย มุดขวา ที่ความเร็ว ตัวรถจะรู้สึกโคลงเคลงทันทีครับ เอาเป็นว่ารุ่นนี้เน้นขับใช้งานทั่วไปแบบรถครอบครัว แต่ถ้าจะเอามาขับซิ่ง แนะนำว่าเซ็ทโช้คอัพให้แข็งขึ้นอีกนิด น่าจะพอเอาอยู่

สรุปโดยรวมจากการที่ได้ทดลองใช้งาน ผมว่ารุ่น 490 Premium น่าสนใจมากครับ ราคาตัวรถแค่ 995,900 บาท ถือว่าราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัดตัวถังใหญ่โตแบบนี้ และถ้าเราไปเทียบกับรุ่น 490 Elite เท่ากับว่าเราจะจ่ายเพิ่ม 96,000 บาท แต่ได้ออปชั่นเพิ่มเติม 24 รายการ ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ หากซื้อรถเงินผ่อน ก็จะจ่ายเพิ่มเพียงแค่เดือนละประมาณ 2 พันบาท เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า ในราคาที่เข้าถึงได้

หากท่านใดสนใจ ผมแนะนำให้พาสมาชิกในครอบครัวไปลองนั่ง ลองขับ ลองทดสอบระบบต่าง ๆ ของตัวรถ แล้วดูว่าฟังก์ชันต่าง ๆ ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าชอบออปชั่นแน่น ๆ ก็จัดรุ่น 490 Premium ราคา 995,900 บาท แต่ถ้าอยากได้แค่ออปชั่นพื้นฐาน ก็จัดรุ่นเริ่มต้น 490 Elite ราคา 899,900 บาท

อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com

ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ