เปิดตัวรถยนต์ MG HS เจเนอเรชันใหม่ โมเดลปี 2025 มีให้เลือกระบบขับเคลื่อนทั้งเบนซิน และปลั๊กอินไฮบริด มาพร้อมหน้าใหม่รวมถึงการปรับปรุงระบบขับเคลื่อนอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น
MG HS เจเนอเรชันใหม่ MY2025 ขุมพลัง PHEV และ ICE
ถือเป็นรถยนต์ที่ขายดีอีกรุ่นสำหรับ MG HS ซึ่งได้รับความนิยมมากในสหราชอาณาจักร ติดอันดับรถยนต์ขายดีที่สุด 10 อันดับแรกในปี 2567 และเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มียอดขายแข็งแกร่งที่สุดในปี 2566 ที่ผ่านมา จึงไม่แปลกที่ได้เสียงตอบรับอย่างท่วมท้นเมื่อทราบข่าวการมาของเจเนอเรชันใหม่โมเดลปี 2025 ในงาน "Goodwood Festival of Speed" ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ MG
MG HS MY2025
สำหรับ MG HS เจเนอเรชันใหม่ โมเดลปี 2025 มีการปรับโฉมใหม่ที่ดูสวยและพรีเมียมขึ้นเยอะเลยค่ะ มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 2 แบบ ได้แก่ เบนซิน และปลั๊กอินไฮบริด นอกจากนี้ยังมอบคุณสมบัติใหม่ๆ มากมาย มีพื้นที่ห้องโดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม อีกทั้งยังยกระดับมาตรฐานอุปกรณ์และฟังก์ชันต่างๆ จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นเยอะเลย
ตัวเลือกระบบส่งกำลัง เบนซิน และปลั๊กอินไฮบริด
MG HS มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบปลั๊กอินไฮบริด ทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า) และมอเตอร์ไฟฟ้า 154 กิโลวัตต์ ใช้พลังงานงานแบตเตอรี่ขนาด 24.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขนาด 67 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้าได้ระยะทาง 120 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ด้วยเวลา 6.8 วินาที นั่นหมายความว่า MG HS เจเนอเรชันใหม่นี้เพิ่มความน่าประทับใจมากกว่าบรรดาคู่แข่ง ทั้งในเรื่องของอัตราเร่ง รวมถึงการเดินทางระยะที่ไกลขึ้นโดยปราศจากการปล่อยไอเสียจากท่อไอเสีย
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 125 กิโลวัตต์ (169 แรงม้า) แรงบิด 275 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ด้วยเวลา 9.4 วินาที
มีสไตล์ที่โดดเด่น สวย พรีเมียมยิ่งขึ้น
ความแตกต่างจากในรุ่นก่อนเห็นได้อย่างชัดเจนจากกระจังหน้าโครเมียมแบบใหม่ มีฐานล้อยาวขึ้นจึงทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น หากเทียบสัดส่วนใหม่จะกว้างขึ้น 14 มิลลิเมตร เป็น 1,890 มิลลิเมตร ยาวขึ้น 45 มิลลิเมตร เป็น 4,655 มิลลิเมตร (ในรุ่น PHEV จะยาว 4,670 มิลลิเมตร) แต่ปรับลดความสูงลงประมาณ 30 มิลลิเมตร เพื่อความทันสมัยและสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น ในส่วนของระยะฐานล้อ ถูกขยายให้ยาวขึ้น 45 มิลลิเมตร เป็น 2,765 มิลลิเมตร มาพร้อมกับไฟหน้า LED ที่เพรียวบางลง ทำให้ดูโฉบเฉี่ยวและดุดันมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออันยอดเยี่ยม รวมถึงความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น มีการออกแบบที่ทันสมัย สวย พรีเมียม มีสไตล์ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลอินโฟเทนเมนท์ความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว ติดตั้งระบบนำทางพร้อมอัปเดตการจราจรและสภาพอากาศแบบ Real Time รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android Auto™ และ Apple CarPlay® สำหรับในรุ่นท็อปจะได้รับการติดตั้งกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360° และ Wireless Charger มาให้ด้วย สำหรับหน้าจอแสดงผลของคนขับจะเชื่อมต่อมาจากหน้าจออินโฟเทนเมนท์เลย มีขนาดเท่ากันคือ 12.3 นิ้ว สามารถปรับ Theme ความสว่าง และโหมดการแสดงผลได้ 3 โหมด รวมถึงแสดงแผนที่, ADAS, ข้อมูลการขับขี่ต่างๆ และการแสดงภาพยานพาหนะ สภาพแวดล้อมแบบ Real Time อีกด้วย
ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม ออกแบบให้มีบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายยิ่งขึ้น มาพร้อมกับรายละเอียดใหม่เล็กๆ น้อยๆ อาทิ พวงมาลัยสามก้าน สวิตช์เกียร์ และคันเกียร์ Shuttle Style แบบใหม่ และมีความจุของห้องเก็บสัมภาระเพิ่มขึ้น 44 ลิตร ทำให้มีขนาดความจุสูงสุดเท่ากับ 507 ลิตร มั่นใจได้ว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับสิ่งของในชีวิตประจำวัน
ไฮไลท์สำคัญของ MG HS MY2025
MG ยังคงอัพเกรดคุณสมบัติสำคัญๆ หลายประการไม่ว่าจะเป็น ล้ออัลลอยลาย Diamond Cut ขนาด 19 นิ้ว ไฟตัดหมอกหน้า กระจกมองข้างปรับด้วยระบบไฟฟ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง มาพร้อมระบบปรับอุณหภูมิและ Memory Seat ประตูท้ายเปิดด้วยระบบไฟฟ้า ติดตั้งกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360° ลำโพงรอบทิศทาง 8 ตัว และมี Vehicle-to-Load (หรือ V2L) ให้ในรุ่น PHEV
ติดตั้ง MG Pilot ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ มาพร้อมกับระบบเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ ระบบตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน ระบบช่วยรักษาเลนพร้อมระบบเตือนการออกนอกเลน ระบบตรวจจับจุดบอดพร้อมระบบช่วยเปลี่ยนเลน ระบบเตือนการชนด้านหน้า แจ้งเตือน Traffic Alert และ Door Open Warning และยังมี Adaptive Cruise Control, Traffic Jam Assist และระบบช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ ติดตั้งเสริมขึ้นมาจากรุ่นเดิมให้ด้วย
MG HS เจเนอเรชันใหม่ โมเดลปี 2025 มีสีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ White Pearl, Black Pearl, Sterling Silver Metallic, Hampstead Grey Metallic และ Dynamic Red Tri-Coat และมาพร้อมกับสีภายในสีแทนใหม่ เพิ่มความแตกต่างที่น่าดึงดูดทั่วทั้งห้องโดยสาร คาดการณ์ราคาจำหน่ายเบื้องต้น ในรุ่นน้ำมันเบนซิน ราคา 24,995 ปอนด์ หรือประมาณ 1,170,515 บาท ในรุ่น PHEV ปลั๊กอินไฮบริด ราคา 33,995 ปอนด์ หรือประมาณ 1,591,985 บาท
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น