ความแตกต่างระหว่าง "Segment A B C D E" และอื่นๆ ที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มของรถยนต์แต่ละประเภท ตามแบบฉบับของยุโรป เค้าแบ่งไว้ยังไง? ไปชมกันค่ะ
แบ่งประเภทรถยนต์ตาม Segment ในแบบฉบับของยุโรป
หากพูดถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ แน่นอนว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่ในด้านของปริมาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อีกด้วย โดยส่วนใหญ่จะใช้รูปแบบของตัวถังที่แตกต่างกันจำแนกออกเป็นกลุ่มๆ อาทิ แฮทช์แบ็ก ซีดาน ซัลลูน เอสยูวี เป็นต้น หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินคอลัมนิสต์สายรถยนต์พูดถึง "Segment A B C D E" และอื่นๆ มาบ้าง วันนี้เลดี้จะพาไปดูการแบ่งประเภทรถยนต์ในแต่ละเซกเมนต์ ตามสไตล์ของยุโรปว่าเค้าแบ่งไว้ยังไงบ้าง
A Segment
เริ่มต้นกันที่ A Segment รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีขนาดเล็กที่สุด หรือ “Minicompact Car” มีขนาดตัวรถตั้งแต่ 2.7 เมตร - 3.7 เมตร มีขนาดเครื่องยนต์ 600 ซีซี ไม่เกิน 1,000 ซีซี เน้นประหยัดเชื้อเพลิง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง สะดวก และกะทัดรัด หรือที่เรียกกันติดปากว่า Kei Car เป็นรถที่นิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น เพราะมีภูมิประเทศตั้งอยู่บนเกาะจึงมีพื้นที่ใช้สอยจำกัด และรถยนต์ในกลุ่ม A Segment ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการเดินทางไกลบน Highway ขึ้นได้นะ แต่ควรขึ้นในระยะทางสั้นๆ เนื่องจากไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้นั่นเอง
ตัวอย่างรถยนต์ A Segment : Suzuki Celerio, Mitsubishi Mirage
B Segment
ขยับขนาดขึ้นมาอีกนิด สำหรับในกลุ่มของ B Segment เป็นประเภทของรถยนต์ที่มีขนาดตัวถังไม่เกิน 4 เมตร มีขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,000 ซีซี ไม่เกิน 1,500 ซีซี มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงขนาดเล็กกะทัดรัด เน้นการขับขี่ที่คล่องตัวอยู่ หรือเรียกง่ายๆ ว่า Compact Car มีทั้งแบบ 4 ประตู และแบบ Hatchback 5 ประตู ซึ่งยังรวมถึงกลุ่ม Eco Car เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิง และการปล่อยมลพิษ
ตัวอย่างรถยนต์ B Segment : Honda City, Toyota Yaris, Mazda 2, Mini Hatch 3 Door
C Segment
รถยนต์ C Segment หรือ รถเก๋งซีดาน ที่มีขนาดตัวถังประมาณ 4.4 เมตร - 4.75 เมตร และมีขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี - 2,200 ซีซี เหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆ ประมาณ 3-4 คน มีประสิทธิภาพการขับขี่ที่สูงขึ้นกว่าทั้ง A และ B Segment ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในบ้านเราเพราะมีขนาดไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป อีกทั้งราคาก็ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าตลาดในไทยอีกด้วย
ตัวอย่างรถยนต์ C Segment : Honda Civic, Toyota Corolla Altis, Mazda 3
D Segment
D Segment เป็นประเภทรถเก๋งซีดานที่มีภายในหรูหรา และมีประสิทธิภาพเครื่องยนต์การขับขี่ที่เหนือกว่า C Segment หรือเรียกว่าเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลาง ที่มีราคาจำหน่ายสูงกว่า C Segment อย่างชัดเจน มีขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 2,200 ซีซี ซึ่งเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้งานในระดับผู้จัดการ หรือผู้ประกอบการ SME ขนาดย่อม
ตัวอย่างรถยนต์ D Segment : Mercedes-Benz C-Class, BMW 3-Series, Audi A4, Honda Accord, Toyota Camry
E Segment
มาถึงในรุ่น Executive ซีดานอย่าง E Segment กันบ้าง ซึ่งสำหรับในประเภทนี้จะเป็นรถยนต์ที่มีระยะฐานล้อยาวที่สุด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยตอนหลัง โดยเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียม ที่ผลิตด้วยความประณีต เพิ่มความหรูหราให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ ขนาดของเครื่องยนต์ใน E Segment มีให้เลือกหลากหลายมาก ไฮไลท์จะอยู่ที่สิ่งอำนวยสะดวกภายในห้องโดยสาร อาทิ เบาะนั่งแบบนวดผ่อนคลายพร้อมระบบปรับอุณหภูมิร้อน-เย็น ที่นั่งตอนหลังสามารถควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์ได้เต็มรูปแบบ ติดตั้งตู้เย็นขนาดเล็ก เป็นต้น (ในบางประเทศจะแบ่งประเภทของ Hiend Sedan ไว้อีกเซกเมนต์ ซึ่งก็คือ F Segment)
ตัวอย่างรถยนต์ E Segment : Rolls Royce Phantom, Bentley Continental 4 Door, BMW 7 series, Mercedes-Benz S-Class
J Segment
หากใครที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถลุยได้ในทุกสภาพถนน แต่ยังคงให้การขับขี่ที่สะดวกสบาย ต้องประเภท J Segment ซึ่งก็คือกลุ่มของรถยนต์ SUV 4x4 ยกสูง รวมไปถึงครอสโอเวอร์อีกด้วย มีระบบกันการสั่นสะเทือนที่ดี ขับได้ทั้งในเมืองและพื้นที่ต่างจังหวัด
ตัวอย่างรถยนต์ J Segment : Range Rover, Toyota Land Cruiser, Nissan Juke, Suzuki Jimny, Mazda CX-5
M Segment
สำหรับในกลุ่มนี้จะเป็นรถ MPV ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุดได้ 6-7 ที่นั่ง ซึ่งสามารถปรับรูปแบบของเก้าอี้ได้มากมายตามการใช้งานจริง โดยนับรวมไปถึงรถตู้อเนกประสงค์ รถตู้เก็บของ และรถมินิแวน ซึ่งใน M Segment นี้โด่งดังเป็นอย่างมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาในบ้านเรา เนื่องจากการใช้งานที่อเนกประสงค์ มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง แถมยังเหมาะกับการเดินทางเป็นครอบครัวใหญ่ และใช้ในธุกิจขนส่งขององค์กรทั้งเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายระดับและหลายราคา
ตัวอย่างรถยนต์ M Segment : Toyota Alphard, Kia Carnival, Hyundai Starex, Mercedes V-Class
S Segment
มาถึงประเภทของรถยนต์สปอร์ตคาร์แบบ 2 ประตูกันบ้าง ในกลุ่ม S Segment นี้สามารถเป็นได้ทั้งแบบ Coupe และ Cabriolet รวมไปถึงรถยนต์ Muscle Car หรือ GT ของแต่ละค่าย โดยจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจอย่างเต็มรูปแบบแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร ความหรูหรามีให้เห็นบ้างแต่จะเน้นไปที่สมรรถนะการขับขี่ ซึ่งตัวอย่างของกลุ่ม S Segment ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ ดารานักแสดงหรือเหล่าเซเลปไฮโซ
ตัวอย่างรถยนต์ S Segment : Ferrari F8 Tributo, Porsche 911, Toyota 86, Nissan GT-R
Pickup
รถยนต์กระบะหรือ Pickup ในความเป็นจริงแล้วตามหลักของ Euro Car Segment ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่หลักของรถยนต์ที่ใช้งานในบ้านเค้า ดังนั้นแล้วจึงจัดให้อยู่เป็นกลุ่มเฉพาะของเค้าเอง นับตั้งแต่กระบะขนาดเล็ก (MINI Truck) ไปจนถึงกระบะบรรทุกหนัก แต่สำหรับในบ้านเรานั้นถือเป็นกลุ่มที่สำคัญและมีการใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เศรษฐกิจ ไร่ ฟาร์ม หรืออุตสาหกรรมการเกษตร เป็นต้น
ตัวอย่างรถยนต์ Pickup : Isuzu D-Max, Toyota Hilux Revo, Mitsubishi triton, Ford Ranger Raptor
PPV (Pickup-Platform Vehicles)
สำหรับประเภทนี้ก็คือรถยนต์ที่ใช้ Platform ตัวถังของรถกระบะ (Pickup-Platform Vehicles) ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 7 ที่นั่ง ซึ่งจริงๆ แล้วก็สามารถนำเข้าไปไว้ใน J Segment ได้เช่นกัน โดยจะอยู่ในฐานะรถ SUV ขนาดกลาง แต่หากต้องการแยกประเภทอย่างชัดเจน ให้เรียกว่ารถยนต์แบบ PPV จะทำให้เข้าใจโครงสร้างของตัวถังได้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างรถยนต์ PPV : Ford Everest, Toyota Fortuner, Isuzu Mu-X
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น