ครั้งแรกของ Isuzu MU-X ที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า ตอบโจทย์การเดินทางได้ดียิ่งขึ้น ไม่ต้องทนเมื่อยแขนอีกต่อไป
Isuzu MU-X รถอเนกประสงค์เจ้าตลาดที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ใส่พวงมาลัยไฟฟ้ามาให้แล้ว พร้อมกับหน้าตาที่ปรับใหม่ ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นย่อยใหม่ RS ที่แต่งหล่อมาให้แล้วจากโรงงาน
ย้อนกลับไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้าที่จะทำรีวิวนี้ขึ้นมา ผมมีโอกาสได้ลองขับเจ้า Isuzu MU-X 2024 มาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดย ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ เป็นการขับทดสอบทางไกลบนเส้นทาง เชียงใหม่ – เชียงราย และร่วมทำกิจกรรม CSR บริจาคสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงมอบอาหารกลางวันให้กับน้องๆ และบุคลากร กว่า 50 คน ที่ “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านดอยสะโง๊ะ” อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางทั้งหมดในทริปนั้นที่เราขับกัน 461 กิโลเมตร ซึ่งตอนนั้นผมใช้ Isuzu MU-X 2024 รุ่น RS 3.0 4X2 AT เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้วยความที่เราไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ ขับรถไกลข้ามจังหวัด ผมเลยเน้นทดสอบเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่างเป็นหลัก ส่วนระบบอื่นๆ ของตัวรถก็มีแตะบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้ลองแบบจริงจัง ในทริปนั้นผมรู้สึกประทับใจหลายๆอย่างของตัวรถ โดยเฉพาะพวงมาลัยไฟฟ้าที่ใส่มาให้ ทำให้การขับขี่ได้ความคล่องตัวขึ้นเยอะเลยหากเทียบกับในรุ่นเก่า
หลังจากจบทริปนั้น อารมณ์ความประทับใจในตัวรถมันยังค้าง อยากลองขับแบบจริงจังอีกครั้งแบบหลายๆวัน ก็เลยยืมรถจากทางตรีเพชรอีซูซุ มาขับต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ แต่รุ่นที่ผมยืมมาในครั้งนี้คือ RS 3.0 4X4 AT ดีไซน์ตัวรถรวมถึงการตกแต่งเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่รอบก่อนเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ส่วนรอบนี้เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เลยขอรวบรีวิวทั้งสองรุ่นที่ได้ขับมาไว้ในบทความเดียวไปเลย
ครั้งนี้ที่เอารถมาขับทดสอบ ถือว่าใช้งานหนักเลยล่ะครับ เพราะผมใช้งานทุกวัน ได้ลองขับแบบจริงจังทั้งในเมืองที่รถติดๆ อย่างเช่น ถนนสุขุมวิท สาธร สีลม ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ที่ผมขับพาทีมงานไปเที่ยวพักผ่อนที่ชะอำ รุ่งขึ้นเช้าวันจันทร์ผมขับไปจังหวัดนครนายกต่อ เพื่อหาสถานที่สวยๆถ่ายรูป เรียกได้ว่ามีโอกาสได้ทดสอบทั้งสมรรถนะเครื่องยนต์ และระบบต่างๆของตัวรถ เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังครับ
ดีไซน์ภายนอก Isuzu MU-X RS 3.0 4X4 AT
เริ่มกันที่ดีไซน์ของตัวรถกันก่อนเลยครับ ในรุ่น 3.0 RS เป็นรุ่นย่อยใหม่ที่แต่งหล่อมาให้จากโรงงาน โดยรุ่นนี้ผมว่าเป็นรถที่ตกแต่งมาได้แบบลงตัวครับ การเล่นสีสันดูไม่เลอะเทอะ ภายนอกเน้นการใช้สีดำหลายจุดเพื่อตัดกับสีของตัวรถ เช่น กระจังหน้าสีดำ คิ้วซุ้มล้อดำ กระจกมองข้างสีดำ หลังคาสีดำ และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วสีดำ เมื่อมองในภาพรวมจะได้ลุคความสปอร์ต และดูโดดเด่นมากเมื่อวิ่งบนท้องถนน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นย่อยใหม่ที่ไม่ต้องเอาไปตกแต่งอะไรเพิ่มเลยล่ะครับ
ในส่วนของออพชั่นต่างๆที่ให้มา โดยรวมถือว่าครอบคลุมการใช้งานครับ เช่น ไฟหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ให้แสงสว่างที่ชัดเจนและไม่แยงตาคันหน้า จากการที่ได้ทดลองระบบเปิดไฟสูงต่ำอัตโนมัติ ถือว่าระบบนี้ทำงานได้ไวมากครับ เมื่อวิ่งในทางมืดไม่มีแสงไฟ ระบบจะปรับเป็นไฟสูงให้ทันที และถ้ามีรถวิ่งสวนมาหรือตรวจพบแสงไฟ ระบบก็จะปรับเป็นไฟต่ำให้ทันทีครับ
สำหรับไฟท้าย ก็มาในดีไซน์ใหม่เช่นกัน ลายเส้นของแสงไฟสวยงามกำลังดี แต่ถ้าเส้นไฟคมกว่านี้อีกนิดจะดีมากครับ
ในรุ่นนี้มีกล้องรอบคันมาให้แล้ว เราสามารถดูภาพตัวรถได้แบบ 360 องศาผ่านหน้าจอกลาง และมีกล้อง ADAS คู่ ที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า สำหรับทำหน้าที่ในการตรวจจับวัตถุ เส้นเลนถนน รถยนต์ ซึ่งกล้องตัวนี้ถือเป็นพระเอกของระบบความปลอดภัยเลยครับ
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่ผมชอบ คือระบบฝาท้ายที่เป็นแบบ Smart Tailgate เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ทำงานร่วมกับระบบ Step Sensor เพียงแค่เดินเข้าใกล้เซนเซอร์ด้านท้าย แล้วเดินถอยหลังออกมาประมาณ 2 ก้าว ฝาท้ายก็จะเปิดให้เอง โดยไม่ต้องใช้มือหรือเท้าเตะไปที่ใต้ท้องรถ ตอบโจทย์สายช้อปที่ต้องหิ้วของพะรุงพะรัง
นอกจากนี้ยังมีระบบสตาร์ตรถทางไกลผ่านกุญแจรีโมท เราสามารถใช้กุญแจรีโมทสั่งสตาร์ทรถทางไกลได้ในรัศมี 20 เมตร พร้อมกับเปิดแอร์รอเย็นฉ่ำ แต่รถจะยังถูกล็อคประตูเอาไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรม
หรือในกรณีที่เราลืมล็อครถ ก็ไม่ต้องกังวลครับ เมื่อเราเดินออกจากตัวรถประมาณ 8 ก้าว ระบบจะทำการล็อครถให้เองแบบอัตโนมัติ
อีกหนึ่งจุดที่ทำให้รถดูลงตัว คือล้อสีดำขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Dueler H/T 684 ไซส์ 265/50R20
ดีไซน์ภายใน Isuzu MU-X RS 3.0 4X4 AT
สำหรับภายในของรุ่น RS จะใช้เป็นเบาะหนัง Cool Max ที่มีคุณสมบัติไม่อมความร้อน เบาะสีดำเดินด้ายเย็บสีเขียว ขอสารภาพตามตรงเลยว่าสีของด้ายเย็บมันขัดใจผมมาก เพราะโดยส่วนตัว ผมจะชินกับความสปอร์ตที่เป็นสีแดงมากกว่า แต่หลังจากที่ใช้ชีวิตขลุกอยู่ในรถหลายวัน พอมองไปมองมา "เออ...มันก็ดูสวยเหมือนกันนี่หว่า"
พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชัน ด้านหลังมีแป้น Paddle Shift สำหรับการเปลี่ยนเกียร์ ปุ่มทางฝั่งซ้ายบนพวงมาลัยสำหรับควบคุมจอกลาง ส่วนปุ่มทางฝั่งขวาสำหรับควบคุมมาตรวัดเรือนไมล์ และมีปุ่มสำหรับตั้งค่า Adaptive Cruise Control ซึ่งเป็นระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันที่ทำงานจนถึงจุดหยุดนิ่ง Stop & Go และเมื่อกดปุ่มนี้ซ้ำไปอีกที จะเข้าสู่ระบบการตั้งลิมิตความเร็วของตัวรถ ส่วนปุ่มที่อยู่ข้างกันคือปุ่มเว้นระยะห่างระหว่างรถเรากับคันหน้า เลือกความห่างได้ 3 ระดับ และปุ่มรูปพวงมาลัย คือระบบที่จะช่วยประคองตัวรถให้อยู่ในเลน หากเราเปิดระบบนี้ไว้ช่วงที่เป็นทางโค้งแบบไม่ลึกมาก พวงมาลัยจะหมุนเลี้ยวไปตามโค้งให้เอง แต่ทั้งนี้ ผู้ขับขี่จะต้องเอามือประคองที่พวงมาลัยด้วยนะครับ หากปล่อยมือจากพวงมาลัย ที่หน้าจอจะขึ้นสัญลักษณ์พร้อมเสียงเตือน ซึ่งระบบที่ได้กล่าวมาจะทำงานควบคู่กับระบบ Adaptive Cruise Control
จอเครื่องเล่นแบบทัชสกรีน ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว ภาพถือว่าคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน รองรับการเชื่อมต่อ Apple CayPlay และ Andriod Auto แบบไร้สาย เมื่อกดปุ่ม View ที่พวงมาลัยฝั่งซ้าย หน้าจอจะแสดงภาพรอบคัน 360 องศา รวมถึงภาพใต้ท้องรถด้วย หรือจะเลือกดูกล้องแต่ละมุมก็ได้เช่นกัน มีเส้นนำเลี้ยวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตอบโจทย์สายออฟโรดเลยทีเดียว เพราะในจังหวะของการขับลุย หากหัวรถเชิดขึ้น เราจะมองไม่เห็นเส้นทาง แต่ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะเราสามารถดูเส้นทางผ่านที่จอกลางได้ แต่ถ้าเราใช้ความเร็วเกิน 28 กม./ชม. หน้าจอจะตัดการทำงานไปเป็นหน้าจอปกติ
หัวเกียร์จับถนัดกระชับมือ มีเกียร์ +- ให้เล่น ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลูกบิด 2H เป็นการขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ,4H เป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ และ 4L ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ความเร็วต่ำ เช่นในตอนที่ขับลุยออฟโรดแบบโหด ๆ
เบาะแถวสองสามารถพับได้เรียบ ขึ้นลงง่าย จากการทดลองนั่งในระยะทางไกล ถือเป็นเบาะที่นั่งสบาย ฐานเบาะใหญ่นั่งเต็มก้น พนักพิงสามารถปรับเอนได้เยอะ มีแอร์เพดาน แต่แอบเสียดายที่รุ่นใหม่นี้โดนตัดฟังก์ชั่นปลั๊กไฟ AC 220 v ออก เหลือไว้ให้แค่เพียงช่อง USB Type-C 2 ช่อง สำหรับชาร์จโทรศัพท์
สำหรับเบาะแถวสามนั้น การขึ้นลงทำได้สะดวก เพียงแค่ดึงสลักที่เบาะแถวสอง แล้วก้าวเท้าขึ้นไปนั่งที่เบาะแถวสามได้เลย จากการทดลองนั่งแบบนาน ๆ ต้องยกนิ้วให้เลยครับ เพราะนั่งได้สบาย ขนาดว่าผมเป็นคนตัวสูง แต่นั่งแล้วหัวเข่าไม่ได้ตั้งชันจนเกินไป และยังมีแอร์ที่เบาะแถวสามให้อีกด้วยครับ เท่ากับว่าคันนี้มีแอร์ให้ทุกตำแหน่งที่นั่ง เย็นฉ่ำทั้งคันแน่นอน
เสริมลุคความสปอร์ตด้วยไฟสร้างบรรยากาศ หรือ Ambient light สีแดง จะมีที่แผงข้างประตูทั้ง 4 บาน และที่คอนโซลด้านหน้า แสงไฟตอนกลางคืนถือว่าสวยใช้ได้เลยทีเดียวครับ
ขุมพลังเครื่องยนต์
ในรุ่น RS ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร รหัส 4JJ3-TCX (มาตรฐานยูโร 5) ความจุกระบอกสูบ 2,999 ซีซี 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเร็คอินเจ็กชั่น พร้อม VGS Turbo Intercooller ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันดีเซล B20 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Rev Tronic
ทดสอบการขับขี่ Isuzu MU-X RS 3.0 4X4 AT
ในรุ่นใหม่นี้ยังคงใช้เครื่องยนต์ และเกียร์เดิม แต่เป็นมาตรฐานยูโร 5 เพิ่มปุ่มสำหรับล้างเขม่า ในเรื่องของอัตราเร่งก็ไม่ได้มีอะไรต่างจากรุ่นก่อนครับ เหมือนเดิมทุกประการ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก็คือเป็นรถที่ขับได้ง่ายขึ้น เพราะใช้เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองได้ดี พวงมาลัยน้ำหนักเบา หมุนมือเดียวได้สบาย ถูกใจสาวๆแน่นอน ในย่านความเร็วสูงก็ทำได้ดีเช่นกันครับ ไม่ร่อนไปมา เป็นการปรับเซ็ตที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป มีระยะฟรีเล็กน้อยตามสไตล์รถใช้งาน และช่วงที่ขับออฟโรด พวงมาลัยเก็บอาการดีมากครับ ไม่ตีมือ
ทางด้านพละกำลังเครื่องยนต์ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร 190 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตัวเมตร ซึ่งมันเพียงพอต่อการใช้งานแบบเหลือเฟือ อัตราเร่งดีตั้งแต่ออกตัว เติมคันเร่งนิดหน่อยตัวรถลื่นไหลได้ดีแทบไม่มีแรงหน่วง ส่วนการขับขี่ในทางไกล ผมว่าเจ้าคันนี้เหมาะมากครับ รอบเครื่องไม่สูงมาก หากใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. รอบเครื่องจะอยู่ที่ 1,500 รอบ เร่งแซงได้มั่นใจแบบไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเค้นกำลังเครื่องยนต์ ซึ่งเส้นทางที่ทดสอบ มีทางคดเคี้ยวอยู่หลายจุด ตัวรถเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ แต่ต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสมด้วยนะครับ ถ้าใช้ความเร็วมากเกินไปในทางโค้ง จะมีอาการโคลงเคลงบ้างตามสไตล์ของรถยกสูง ในส่วนของระบบช่วงล่าง ด้านหน้าจะเป็นแบบปีกนกคู่ ด้านหลังเป็นแบบ 5 ลิงก์ ยึดเกาะถนนได้ดีระดับนึงครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยางติดรถที่ให้มาเป็นยาง HT ซึ่งยางประเภทนี้จะเหมาะกับถนนไฮเวย์ที่ใช้ความเร็ว แต่จะด้อยประสิทธิภาพลงเมื่อวิ่งในทางออฟโรด ในรุ่นใหม่นี้ยังคงใช้ช่วงล่างเดิมจากในรุ่นก่อนไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเพิ่ม แต่ความรู้สึกผม เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า ผมว่ารุ่นใหม่นี้ช่วงล่างมันนุ่มและกระฉับกระเฉงขึ้น หรืออาจเป็นเพราะว่าการเปลี่ยนแปลงบางจุดของตัวรถ ทำให้ส่งผลไปถึงช่วงล่างด้วย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่เอาเป็นว่าฟีลลิ่งของช่วงล่างผมว่ามันดี ในช่วงที่ต้องขับผ่านทางขรุขระ หรือแม้แต่การจั้มเนินหรือคอสะพาน ช่วงล่างจะออกแนวเฟิร์ม ไม่กระเด้ง และไม่ย้วยยวบยาบ ให้ความรู้สึกที่กำลังดี
ในส่วนของระบบป้องกันการออกนอกเลน และรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน ผมว่ามันยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ครับ ยังดูงึกๆงักๆ อยู่บ้าง รวมถึงระบบเบรกฉุกเฉินด้านหน้า ถ้าลดความเซนซิทีฟให้ทำงานช้าลงอีกสักนิดน่าจะลงตัวมากกว่านี้ และสำหรับในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ถ้าให้ยางติดรถเป็นแบบ A/T จะทำให้การลุยออฟโรดสนุกขึ้น
สรุปอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง MU-X RS 3.0
จากการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง รุ่น RS 3.0 4X2 และ RS 3.0 4X4 จะกินน้ำมันพอกันครับ (รุ่น 4X4 หนักกว่า 85 กก.)
- วิ่งในเมืองรถติด กินน้ำมัน 8-10 กม./ล.
- วิ่งแบบรถติดสลับถนนโล่ง กินน้ำมัน 12 กม./ล.
- วิ่งออกต่างจังหวัดถนนโล่ง ใช้ความเร็ว 100-110 กม./ชม. กินน้ำมัน 14-16 กม./ล. แต่ถ้าขับแบบซิ่งๆ หน่อย หรือมีช่วงที่ต้องขับขึ้นเขา จะกินน้ำมันประมาณ 12 กม./ล.
สรุปโดยรวม ในรุ่นใหม่นี้ ได้มีการปรับปรุงใหม่หลายจุดเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีมากยิ่งขึ้น ภายนอกและภายในมีความโดดเด่น ได้ลุคความสปอร์ต ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ ก็มีให้แบบครบครัน ครอบคลุมการใช้งาน หากใครที่เล็ง MU-X ไว้ตั้งแต่ในรุ่นเก่าแต่ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ผมว่ารุ่นใหม่นี้ถ้าคุณได้ไปลองขับอาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
ราคา Isuzu MU-X 2024
- 4x2 1.9 Active A/T 1,184,000 บาท (พวงมาลัยแบบเดิม)
- 4x2 1.9 Elegant A/T 1,419,000 บาท (พวงมาลัยแบบเดิม)
- 4x2 3.0 Elegant A/T 1,464,000 บาท (พวงมาลัยแบบเดิม)
- 4x2 1.9 Ultimate A/T ราคา 1,544,000 บาท (พวงมาลัยไฟฟ้า)
- 4x2 3.0 Ultimate A/T ราคา 1,589,000 บาท (พวงมาลัยไฟฟ้า)
- 4x2 3.0 RS A/T ราคา 1,659,000 บาท (พวงมาลัยไฟฟ้า)
- 4x4 3.0 RS A/T ราคา 1,759,000 บาท (พวงมาลัยไฟฟ้า)
หากเป็นตัวถังสีขาวมุก เพิ่มเงิน 12,000 บาท
Isuzu MU-X 2024 มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
เปรียบเทียบ ISUZU MU-X RS Vs Toyota Fortuner GR Sport
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น